เกษียณทหารแล้วไปทำฟาร์มที่ต่างโลก - ตอนที่ 176
ประตูไม้เก่าเปิดออกจากด้านใน พร้อมกับที่คนทั้งห้าเดินออกมาจากโกดังด้วยสีหน้าสบายใจไร้ซึ่งความวิตกกังวลใดๆ แต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น เมื่อกองอัศวิน และจอมเวทย์เข้ามาล้อมรอบพวกเขาอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้ตั้งตัว รอยยิ้มที่มีกลับกลายเป็นใบหน้าตื่นตระหนกทันที
ลูแชงค์เจ้าหน้าที่แผนกที่ดินประจำเมืองฟลอริสตี้ที่เพิ่งพาผู้เช่าใหม่มาดูสถานที่เสร็จสิ้น รีบออกมาเสนอตัวเจรจาที่ด้านหน้ากลุ่มของพวกเขาอย่างรวดเร็ว ก่อนเรื่องราวจะบานปลายมากเกินไป ซึ่งเมื่ออัศวินบนหลังม้าเห็นหน้าชายหนุ่มก็ต้องชะงักเล็กน้อย และหยุดลูกน้องของตัวเองที่กำลังจะพุ่งเข้าไปทันทีเช่นกัน
“ท่านลูแชงค์นั่นเอง ไม่ทราบว่าท่านมากับพวกเขาอย่างนั้นรึ?” อัศวินวัยกลางคนกล่าวทักทายชายหนุ่มอย่างนอบน้อม และน้ำเสียงกับสีหน้าบ่งบอกได้ว่าเขาประหลาดใจที่ได้พบกับชายหนุ่มที่นี่
“ใช่แล้วขอรับ นี่คือท่านภามเป็นผู้เช่าใหม่ของโกดังแห่งนี้ ข้าพาเขามาแนะนำสถานที่หลังจากทำสัญญาเช่าเรียบร้อย แล้วไม่ทราบว่าท่านอัศวินพาทหารมากมายรวมทั้งหน่วยจอมเวทย์มาด้วยเหตุใดหรือขอรับ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นรึเปล่า?” ชายหนุ่มผมทองถามกลับด้วยท่าทางไม่เข้าใจ
“อ้อ คือข้าที่ลาดตระเวนอยู่แถวนี้ ได้รับแจ้งจากท่านจอมเวทย์ให้มาช่วยดูสิ่งผิดปกติพร้อมกันน่ะ” อัศวินในชุดเกราะอธิบายแล้วผายมือบ่งบอกว่าจอมเวทย์ชราที่ยืนอยู่ด้านข้างตนเป็นคนเรียกมา
ซึ่งเมื่อลูแชงค์หันไปมองดูชัดๆก็พบว่าเป็นจอมเวทย์ชราคนหนึ่งที่ประจำการอยู่ในเขตย่านการค้าของเมืองตามปกติเท่านั้น จึงก้มหัวคารวะไปตามมารยาท ส่วนชายชราในผ้าคลุมจอมเวทย์สีแดงยาวลากพื้นนั้นกลับมีสีหน้างงไม่เข้าใจกับอะไรบางอย่างอยู่ แต่ภามที่จ้องมองเขาอยู่นั้นเข้าใจดีเลยทีเดียว
นั่นก็เพราะคลื่นพลังเวทย์มหาศาลที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากศิลาเวทย์ เมื่อครู่นั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย แม้ว่าปกติเวทมนต์จะมีการทิ้งร่องรอยเวทย์เอาไว้เป็นระยะเวลาพอสวมควรตามแต่ความเข้มข้นของมัน แต่เจ้าของกิจการขนส่งคนปัจจุบันก็ลบพวกมันออกไปโดยไม่เหลือให้ตามสืบหาได้แม้แต่น้อย
‘ไม่นึกเลยนะเนี่ยว่าทุกคนจะแสดงได้แนบเนียนขนาดนี้ ไม่แสดงพิรุธใดๆออกมาให้พวกทหารเห็นเลยแม้แต่น้อย แต่ว่าตอนนี้คนของโอเมก้าก็กำลังจับตาเราอยู่ด้วยสินะ’ ภามอดชื่นชมกับการควบคุมอารมณ์ของเพื่อนใหม่ทั้งสามไม่ได้ ที่ตีเนียนทำเป็นไม่รู้เรื่องราวอะไร อย่างไรก็ตามเหตุที่เกิดขึ้นตรงหน้าโกดังนี้ย่อมได้รับความสนใจจากผู้คนแน่นอน รวมไปถึงศัตรูในเงามืดที่คอยมองพวกเขาอยู่ด้วย
เพียงไม่นานลูแชงค์ก็คลี่คลายสถานการณ์ตรงหน้าได้อย่างเรียบร้อย แม้ว่าจอมเวทย์ชราจะบอกว่าตัวเองคงจะตรวจสอบผิดพลาด แต่เพื่อเป็นการยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง ภามจึงเชิญทั้งจอมเวทย์ พร้อมกับเหล่าทหารเข้ามาชมด้านในโกดัง และนั่นก็เป็นหลักฐานชั้นดีว่าทุกอย่างปกติไม่มีปัญหาใดๆ
ในเวลาหลังจากนั้นไม่นาน อีกด้านหนึ่ง ณ ปราสาทโบราณด้านตะวันตก นอกเมืองฟลอริสตี้ ภายในห้องห้องหนึ่งที่ตรงกลางมีโต๊ะกลมตัวใหญ่ตั้งอยู่ ซึ่งนั่งล้อมรอบไปด้วยคน 13 คนที่กำลังคุยกันด้วยเรื่องสำคัญที่อันเป็นปัญหาหนักใจน่ากังวลบางอย่าง
และสักครู่นกพิราบขาวตัวหนึ่งก็บินเข้ามาเกาะอยู่ตรงริมหน้าต่าง ด้วยใจที่จดจ่ออยู่แล้วชายผู้หนึ่งเมื่อเห็นนกพิราบก็รีบลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วเข้าไปจับตัวนกน้อยขึ้นมาทันที หากสังเกตให้ดีที่ขาของมันมัดไว้ด้วยท่อทรงกระบอกเล็กๆที่บรรจุม้วนกระดาษจิ๋วไว้ภายใน
ชายผู้นั้นหยิบม้วนกระดาษขึ้นมาอ่านด้วยใจที่ร้อนรน และเนื้อหาในนั้นยิ่งทำให้สีหน้าของเขายิ่งไม่สู้ดีเข้าไปใหญ่
“บัดซบ! สายของเรารายงานว่าด้านในโกดังนั้นว่างเปล่าไม่มีอะไร ทั้งจอมเวทย์ และอัศวินของทางการไม่เห็นความผิดปกติใดๆทั้งสิ้น” หลังจากอ่านข้อความนั้นจบเขาก็สบถออกมาอย่างหัวเสีย แล้วหันไปแจ้งข่าวกับคนอื่นๆ
“พลังเวทย์นั่นแม้จะแผ่ออกมาเพียงชั่วครู่เท่านั้น แต่มันรุนแรงจนจอมเวทย์ทั่วทั้งเมืองฟลอริสตี้สัมผัสได้อย่างแน่นอน เป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่พบร่องรอยอะไรเลย จอมเวทย์นั่นรู้เห็นเป็นใจกับพวกโลเลี่ยนรึเปล่า?” หญิงชราในชุดขุนนางสูงศักดิ์กล่าวขึ้น
“ไม่หรอกขอรับ สายของเราที่ส่งข่าวมาแฝงตัวเข้าไปเป็นทหารในกลุ่มนั้น และได้เข้าไปดูในโกดังด้วยตัวเอง ถ้าหากเขาพบพิรุธใดแม้แต่น้อยจะต้องรายงานมาทางเราแน่นอน แต่นี่ไม่พบอะไรเลยอย่างกับไม่เคยมีเรื่องเกิดขึ้น น่าแปลกจริงๆ” ชายผู้อ่านสาสน์กล่าวด้วยความมั่นใจในการประเมินสถานการณ์ของสายข่าวของตน
ทั้งสิบสามคนเงียบไปสักครู่ ชายชราในชุดหรูหราก็ค่อยๆลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวสิ่งที่ตัวเองได้ตัดสินใจออกมา
“เรื่องนี้มันแปลกเกินไปแล้ว พลังเวทย์มหาศาลนั่นควรจะออกมาจากศิลาเวทย์ยักษ์นั่นตามที่เหล่าจอมเวทย์รับรู้ได้ แต่เมื่อเข้าไปดูกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นสักนิด ข้าว่าเรื่องนี้มันต้องมีการจัดการที่รัดกุมมากแน่ๆ และคนที่ทำแบบนั้นได้จะต้องเป็นจอมเวทย์ที่มีฝีมือไม่ธรรมดา สั่งการลงไป! ให้จับตามองจอมเวทย์แปลกหน้าที่เข้ามาในเมืองนี้ทุกคน” ชายชราสั่งการออกไปดุจดั่งตัวเองเป็นผู้นำของคนทั้งหมดในห้องนี้
“รับทราบขอรับ/เจ้าค่ะ!” ทุกคนในห้องตอบรับอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่โต้แย้งใดๆ
ณ ฟาร์มกลางหุบเขาลึกลับ ในโกดังเก็บผลผลิต
ตอนนี้เหล่าผู้นำของฟาร์มต่างก็รวมตัวกันอยู่ที่นี่ เพื่อชื่นชมศิลาผลึกเวทย์ยักษ์ที่กำลังเรืองแสงสีฟ้าสดใส และยังต้องประชุมหารือว่าจะจัดการกับของมีค่าชิ้นนี้อย่างไรดีถึงจะเหมาะสมกับสถานการณ์ตอนนี้มากที่สุด โดยมีอดีตบารอนอองรี มูเน่เป็นประธานการประชุมครั้งนี้
“แม้ว่าท่านภามจะให้เราเก็บผลึกยักษ์ไว้ก่อน แต่ข้าคิดว่าควรจะลองสกัดออกมาบางส่วนเพื่อสร้างเป็นไอเทมเวทมนตร์ดูนะขอรับ อย่างน้อยก็จะได้เป็นการเริ่มสร้างต้นแบบอาวุธของเราในอนาคต ยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งเป็นการดีต่อการพัฒนา ตอนนี้เครื่องมือของเราก็พร้อมแล้วด้วย” เบ็น ยอดฝีมือสายป้องกันเสนอความคิดเห็นออกมา ในใจตอนนี้เขาอยากได้อาวุธเวทย์ใจจะขาด
“แต่นอกจากท่านวานีล และท่านมีอาก็ไม่มีใครรู้เรื่องวิธีการสร้างอุปกรณ์เวทย์เลยนะ ข้าว่าเราควรหาผู้เชี่ยวชาญโดยตรงมาก่อนไม่ดีรึ? หากเกิดผิดพลาดขึ้นมาจะทำอย่างไร” หัวหน้าหน่วยนักธนูแอดเลอร์กล่าวค้านสหายของตน ด้วยความคิดที่รอบคอบ
“เจ้าสองคนที่รู้เรื่องมากที่สุดแล้วคิดว่ายังไงล่ะ? วานีล มีอา” เมื่อเห็นว่าคนอื่นๆเงียบกันหมดเพราะคิดไม่ตก บีดีเลียบุตรสาวเจ้าเมืองผู้ที่มีความเป็นผู้นำในสายเลือด จึงเริ่มถามความคิดเห็นเพื่อจะได้นำมาช่วยกันวิเคราะห์
เพื่อนสาวทั้งสองคนของท่านหญิงแห่งตระกูลเรโคลเต้สะดุ้งออกจากภวังค์หลังจากที่ถูกเรียกชื่อ เหมือนกับว่าเรื่องของผลึกเวทย์ และการสร้างอุปกรณ์จะเป็นเรื่องที่ใหญ่สำหรับพวกเธอเช่นกัน แม้ว่าจะมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้พอสมควรก็ตาม
“เอิ่ม…ข้าคิดว่าเรื่องนี้ควรจะรอถามท่านภามก่อนจะดีกว่า เห็นว่าผลึกนี้เป็นของที่พันธมิตรโลเลี่ยนต้องการ และเป็นคนให้ข้อมูลนี้กับเขา เราไม่ควรจะทำอะไรกับมันโดยพลการ ถึงแม้ว่าเราจะมีความสามารถที่จะทำก็ตาม” วานีลคิดอย่างรอบคอบแล้วบอกสิ่งที่ควรทำแก่ที่ประชุม
“ข้าก็เห็นด้วยกับวานีลนะ แต่ถ้าพวกท่านฝ่ายการทหารต้องการให้เริ่มวิจัยอุปกรณ์เวทย์เลย ข้าก็สามารถเริ่มงานได้เลย ด้วยผลึกเวทย์ที่ข้ามีอยู่เดิมก็เพียงพอที่จะทำของต้นแบบขึ้นมาได้ แต่ส่วนตัวข้าคิดว่าท่านภามน่าจะมีความคิดเกี่ยวกับเรื่องอาวุธอยู่แล้ว เขาน่าจะมีวิธีการที่ดี และรวดเร็วกว่าอยู่แน่นอน” มีอาจอมเวทย์ผู้ถนัดการปรุงยาไม่ได้รีบร้อนดำเนินการ เพราะเธอรู้อยู่แล้วว่าภามมีเครื่องมีวิเศษที่ใช้สร้างประตูมิติแบบต่างๆ ซึ่งน่าจะใช้สร้างอาวุธได้ด้วย
สุดท้ายแล้วในที่ประชุมอองรีก็สรุปว่าให้รอถามจากเจ้าของฟาร์มอีกครั้งหนึ่ง แต่โดยส่วนตัวชายชราก็ได้ขอให้หญิงสาวทั้งสองร่วมกันทดลองสร้างอุปกรณ์เวทย์ขึ้นมาบางส่วนก่อน เพราะถ้าทุกอย่างต้องพึ่งพาแต่เจ้านายของพวกเขาเพียงอย่างเดียว งานทุกอย่างคงต้องล่าช้าออกไปอย่างไม่มีกำหนดแน่นอน