หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้ - ตอนที่ 25 แท้งลูก
ฉันคิดมาตลอดว่าลู่เว่ยกั๋วจะมาพบฉันด้วยตัวเอง แต่ผ่านมาเกือบหนึ่งสัปดาห์ก็ยังไม่มีการติดต่อใดๆ จากเขา
เย็นนี้ลู่จือสิงไม่ได้กลับมากินข้าวที่บ้าน ฉันจึงทำอาหารเพียงสองอย่างสำหรับตัวเอง เมื่อกินไปได้ครู่เดียวอยู่ๆ ก็เริ่มรู้สึกปวดท้องขึ้นมาเรื่อยๆ จนตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติ เมื่อก้มลงไปมองจึงเห็นว่ามีเลือดเปื้อนอยู่บนเก้าอี้
ฉันสับสนมึนงงไปหมด รีบกดโทรศัพท์หาลู่จือสิง แต่เขาอาจอยู่ระหว่างการประชุมจึงไม่ได้รับสายฉัน
ฉันปวดท้องมากขึ้นเรื่อยๆ จนมือที่ถือโทรศัพท์อยู่นั้นสั่นไปหมด ฉันรีบกดเบอร์โทรไปที่ 120
พวกเขาบอกว่าจะมาถึงภายในห้านาที แต่ฉันคิดว่าฉันทนรอจนถึงตอนนั้นไม่ไหวแน่ๆ
เลือดยังคงไหลออกมาไม่หยุด พร้อมกับความรู้สึกสิ้นหวังที่ถาโถมเข้ามา ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าควรทำยังไง ฉันจะทำยังไงดีเพื่อรักษาลูกของฉันไว้!
ความเจ็บปวดในช่องท้องยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น ฉันกลัวว่าหน่วยแพทย์จะเข้ามาไม่ได้จึงแข็งใจพาตัวเองเดินเกาะผนังไปยังห้องโถงเพื่อเปิดประตูทิ้งไว้
ทันทีที่เปิดประตูเสร็จฉันก็ล้มลงไปกองอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวด ร่างกายของฉันสั่นสะท้าน เหงื่อไหลท่วมตัว และสติเริ่มเลือนลางลงทุกที
“ฮือ… ลู่จือสิง…”
ฉันหวังเหลือเกินว่าเขาจะมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายฉันในเวลานี้
ฉันเกือบจะหมดสติไปแล้วเมื่อหน่วยแพทย์มาถึง ฉันจำได้แค่ว่าพวกเขาถามอาการของฉัน ฉันรวบรวมสติเฮือกสุดท้ายบอกพวกเขาไปว่าฉันกำลังท้องและอาจจะแท้ง
พอพูดจบภาพตรงหน้าก็ค่อยๆ ดำมืด แล้วฉันก็หมดสติไป
ฉันไม่รู้ตัวว่าหลับไปนานแค่ไหน พอลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลและได้ยินเสียงของลู่จือสิงดังมาจากเหนือศีรษะ “รู้สึกตัวแล้วหรือ”
ฉันหันไปมองเขา ความทรงจำต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นค่อยๆ กลับคืนมา จนฉันรีบเอื้อมมือไปคว้ามือเขาไว้ “ลู่จือสิง… ลูกเป็นยังไงบ้าง”
เขามองฉันด้วยสีหน้าที่ยุ่งยากใจและไม่ยอมบอกอะไร
ฉันรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี แล้วน้ำตาก็ค่อยๆ ไหลอาบแก้ม… ฉันไม่อยากเชื่อ… ฉันจับเขาเขย่าเหมือนคนเสียสติ “บอกฉันสิ ลู่จือสิง บอกฉัน ลูกไม่เป็นอะไรใช่ไหม…”
ลู่จือสิงเอื้อมมือมาดึงฉันเข้าไปกอดทันที “ซูยุ่น… จากนี้ไปเราจะมีลูกด้วยกันอีกหลายๆ คนเลยนะ”
ถึงจะคิดไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ แต่พอได้ยินลู่จือสิงพูดออกมาฉันกลับยอมรับมันไม่ได้ ฉันใช้มือทั้งสองข้างผลักเขาออก “ฉันไม่เชื่อ ลู่จือสิง คุณโกหกใช่ไหม คุณต้องโกหกฉันอยู่แน่ๆ เขาอยู่ดีๆ มาตลอด มันจะเป็นไปได้ยังไง… พูดได้ยังไงว่าเขาไม่อยู่แล้ว? เขาอยู่อย่างดีมาตลอดนะ… จะเป็นไปได้ยังไง…”
“ซูยุ่น!”
ฉันบีบมือลู่จือสิงแน่น โวยวายใส่เขาไม่ต่างอะไรจากคนเสียสติ “หมอว่ายังไงบ้าง ลูกจะไม่อยู่ได้ยังไง! ฉันเชื่อฟังหมอมาตลอด ฉันใส่ใจการกิน ฉันพักผ่อนเพียงพอ ฉันระวังตัวทุกครั้งเวลาเดิน ทำไมลูกถึงจะไม่อยู่!”
จู่ๆ เขาก็ดันตัวฉันออกห่างแล้วก้มลงมองฉัน “อย่าคิดถึงมันเลยนะ มันไม่ใช่ความผิดของคุณ… เรากับลูกคงมีวาสนาต่อกันแค่นี้”
ดวงตาของฉันพร่ามัวไปด้วยน้ำตา ฉันชะงักไปในขณะที่เขาโน้มตัวลงมาจุมพิตที่เปลือกตาของฉัน ฉันกอดเขาไว้แน่นและร้องไห้ออกมาอย่างหนัก “ฉันเสียใจเหลือเกิน ลู่จือสิง”
น้ำหูน้ำตาของฉันไหลเปรอะเปื้อนชุดสูทราคาแพงของเขา แต่เขากลับไม่รังเกียจและปล่อยให้ฉันร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างนั้น
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน อารมณ์ของฉันเริ่มสงบลง แต่ทว่าภายในใจยังคงเจ็บปวด
เมื่อเงยหน้ามองลู่จือสิงฉันจึงเห็นว่าเขาเองก็แย่เหมือนกัน คิดๆ แล้วก็นึกได้ว่าเขาเองก็คงเสียใจมาก เพราะถึงอย่างไรนั่นก็คือลูกของเขาเหมือนกัน
ฉันรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก “ฉันขอโทษที่ดูแลเขาไม่ดี”
“เรากับเขาคงมีวาสนาต่อกันเพียงเท่านี้”
เขาเช็ดน้ำตาให้ฉันด้วยความอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ฉันมองเขาอย่างเลื่อนลอย เป็นกังวลว่าเมื่อไม่มีลูกแล้ว ฉันกับลู่จือสิงจะเป็นอย่างไรต่อไป?