หลงรักเมียเจ้าเล่ห์ - ตอนที่ 810 มารบังเกิด
ตอนที่ 810 มารบังเกิด
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เปรมศักดิ์ก็ไม่มีการปรากฏตัวอีกเลย
อย่างน้อยในมุมมองของชกรแล้วเขาก็ไม่ได้มาอีก
พูดขึ้นมาแล้ว มนุษย์ก็เป็นสัตว์ที่แปลก เมื่อพวกเขามา คุณก็ตะโกนไล่พวกเขาไป แต่เมื่อเขาไปจริงๆ ก็กลับรู้สึกสูญเสียขึ้นมาเสียอย่างนั้น
อย่างน้อยที่สุด ในความเห็นของกชกรนั้นเขาควรจะมา ส่วนอยากจะให้เขาอยู่ต่อหรือไม่นั้นเป็นเรื่องของเธอ
มนุษย์มีความซับซ้อนในความย้อนแย้ง
อีกสองวันต่อมา เขาก็ยังไม่ปรากฏตัว กชกรไม่ได้มีอารมณ์ไม่พอใจมากนัก แต่ท่าทางล้วนไม่มีชีวิตชีวา
จันทนียังคงวิ่งมาทางนี้ มาดูแลกชกร แต่กชกรก็ทำสีหน้าไม่ดีใส่
“หนูกช ไม่ว่าเธอจะโกรธแค่ไหน แต่อย่าปล่อยปละละเลยร่างกายตัวเองเลยนะ มันส่งผลเสียกับสุขภาพของเธอทั้งนั้น” จันทนีเตือนอย่างขมขื่น
จนถึงกลางคืน เมื่อมันดึกแล้ว จันทนีถึงเพิ่งออกไป
และหลังจากที่เพิ่งออกมา ก็เห็นเปรมศักดิ์ยืนอยู่หน้าประตู
“เจ้าเปรม…”
เปรมศักดิ์เดินไปหา “เธอเป็นยังไงบ้างครับ”
“เพิ่งทานอะไรไปหน่อยและก็นอนอยู่น่ะ” จันทนีบอก
เปรมศักดิ์พยักหน้า
“ในเมื่อแกมาแล้ว ทำไมไม่เข้าไปดูหน่อยล่ะ” จันทนีเอ่ยถาม
“ไม่ดีกว่าครับ เธอไม่อยากเจอผม ผมเข้าไปก็มีแต่จะทำให้ทะเลาะกันหนักขึ้น เธอจะได้ไม่ต้องใส่อารมณ์มากเกินไป” เปรมศักดิ์พูดด้วยน้ำเสียงบางเบา ไม่มีความรู้สึก ทำให้คนอื่นยากที่จะมองออกว่าเขาคิดอะไรอยู่
จันทนีถอนหายใจ “ไม่มีคู่ไหนที่ไม่ทะเลาะกัน เดี๋ยวทุกอย่างก็จะผ่านไป หวังว่าหนูกชจะฟื้นตัวได้โดยเร็ว”
เปรมศักดิ์ไม่ได้พูดอะไร
“จริงสิ ดัมพ์รงค์บอกว่าพรุ่งนี้หนูกชจะออกจากโรงพยาบาลแล้ว และอยากพาเธอกลับไปพักที่บ้านสักพักน่ะ” จันทนีถอนหายใจ
เปรมศักดิ์ค่อนข้างแปลกใจ เงยหน้าขึ้นมองจันทนี ดวงตาลึกล้ำทำให้คนยากจะเข้าใจ จนสุดท้ายเขาก็พูดว่า “แบบนั้นก็ดีครับ”
“ดีอะไร ต้องรู้นะว่าถ้าเป็นแบบนั้นเรื่องมันจะยิ่งเลวร้ายลง เจ้าเปรม มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ถึงได้ต้องวุ่นวายมาจนถึงจุดนี้น่ะ!” จันทนีสอบถาม
“คุณแม่ครับ เรื่องนี้คุณอย่ากังวลไปเลย ผมจะจัดการเอง” เขาพูด
“ทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องนี้ก็ไม่ให้ถาม แต่จะให้ปล่อยไปแม่ก็ไม่อยาก แม่ไม่อยากให้แกกับเธอเป็นแบบนี้ สำหรับผู้หญิงแล้วน่ะ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องราวอะไรขึ้น ก็แค่ง้อๆเธอหน่อยเดี๋ยวก็ดี เด็กคนนี้นี่แกไม่รู้จุดเริ่มหรือยังไง!” จันทนีเอ่ยปากตำหนิอยู่กลายๆ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดใจ
เรื่องแบบนี้…
สามารถง้อให้ดีได้จริงๆน่ะเหรอ
ในความเห็นของกชกร ในตอนนี้ในจิตใจของเธอเต็มไปด้วยปัญหา ไม่ใช่ว่าง้อแล้วจะง้อหายได้
ในเมื่อดัมพ์รงค์ต้องการจะพาเธอกลับไปบ้าน…งั้นก็ให้ไปสงบสติให้เย็นลงสักพักเถอะ บางทีนี่อาจเป็นการดีสำหรับพวกเขาทุกคน
“เอาล่ะครับคุณแม่ ผมจะไปส่งคุณกลับบ้านนะครับ” เปรมศักดิ์บอก
จันทนีถอนหายใจ ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มอีก เดินตามเขาออกไป
วันรุ่งขึ้น
จิดาภามาเยี่ยมกชกรอีกครั้ง
จงใจหลีกเลี่ยงบรรดาคนอื่นที่มา มองกชกรที่นอนอยู่บนเตียงแล้วเธอก็เอ่ยปากว่า “พี่สะใภ้คะ เป็นยังไงบ้าง วันนี้รู้สึกดีขึ้นบ้างไหม”
แววตาของกชกรยังคงห่างเหินและเย็นชา “เลิกเรียกฉันว่าพี่สะใภ้ ฉันรับไม่ไหว จิดาภา ถ้าเธอไม่ได้ล้อฉันเล่นก็อย่ามาเรียกฉันแบบนี้อีก!” กชกรพูดอย่างรังเกียจ
จิดาภาพยักหน้า ไม่อยากทะเลาะกับเธอ “ได้ กชกร”
กชกรหัวเราะน้ำเสียงเย็นชา “ยังไง มีเรื่องอะไรล่ะ”
“ฉันเอาซุปไก่มาให้ อยากดื่มสักหน่อยไหม”
“ไม่ต้อง มีเรื่องอะไรก็พูดมา”
ท่าทีของเธอใจร้อนมาก แต่จิดาภาก็ไม่ได้โกรธ สาเหตุที่กชกรเป็นแบบนี้ มันก็เป็นความรับผิดชอบของเธอด้วย
เธอครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยปากว่า “กชกร ฉันอยากคุยกับเธอ คุยกันด้วยการไม่ใช้อารมณ์”
กชกรไม่ได้พูดอะไร แค่มองเธออย่างเย็นชา
เห็นเธอไม่พูดจึงเริ่มต้น จิดาภาเอ่ยปากว่า “ฉันรู้ว่าเธอโกรธฉัน โทษฉัน เกลียดฉัน แต่นอกเหนือจากการขอโทษ ฉันมีบางอย่างจะบอกเธอ”
“ฉันรู้ว่าช่วงนี้เธอไม่สามารถปล่อยวางมันได้ และก็ไม่สามารถให้อภัยฉันได้ แต่ฉันก็ยังอยากจะบอกเธอ ชีวิตของคนเรามันมีเรื่องราวมากมายหลายสิ่ง แต่โชคดีที่บางเรื่องราว มันถูกกำหนดไว้ตั้งแต่แรกแล้วและจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ”
“ฉันคิดว่าเธอคงจะรู้ว่าฉันไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆของตระกูลสวันนีย์” พูดอย่างนั้นแล้วจิดาภาก็ยกยิ้มมุมปากจางๆ มีความขมขื่นแต่ก็มีความโล่งใจมากกว่า “ใครเป็นพ่อแม่ที่แท้จริงของฉันนั้นฉันไม่รู้ ตอนฉันเป็นวัยรุ่น ตอนที่เพิ่งรู้ความจริง ในตอนนั้นฉันไม่สามารถรับมันได้ ถึงขนาดคิดจะแยกความรู้สึกออกห่างจากพวกเขา เลิกเรียนบริหารธุรกิจ เพราะกลัวว่าจะเกิดการต่อสู้เพื่อทรัพย์สินกับพี่ใหญ่ ฉันไม่ต้องการอะไรจากพวกเขา ในตอนนั้นสิ่งที่ฉันคิดเป็นแบบนี้ ค่อยๆออกห่างจากพวกเขาไป หลังจากนั้นก็แต่งงานกับพันเดช และต่อมาก็หย่า แล้วฉันก็ไปต่างประเทศ ทั้งหมดนี่มันเหมือนกับว่ามันถูกจัดเตรียมไว้แล้ว ฉันไม่อยากกลับไป ไม่อยากเผชิญหน้ากับพวกเขา ฉันไม่อยากเผชิญหน้ากับคนที่ตลอดมาคิดว่าเป็นญาติสนิทที่สุด แต่กลับไม่ใช่คนที่เป็นญาติสนิทที่สุดของฉัน แต่หลังจากนั้นฉันเพิ่งรู้ว่ามันผิดอย่างร้ายแรง ในมุมมองของพวกเขา ฉันเป็นเหมือนลูกสาวแท้ๆของพวกเขา และไม่มีการแยกฉันออกเพราะสายเลือด แต่ตอนนั้นฉันเพิ่งเข้าใจเหตุผลทั้งหมด!”
“ดังนั้นฉันจึงรู้สึกขอบคุณความรักของคุณพ่อ คุณแม่ และพี่ใหญ่ที่มีต่อฉัน และฉันดีใจมากที่ตัวเองได้เข้าสู่ครอบครัวที่มีความสุขเช่นนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขา ฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะมีชีวิตแบบไหน ดังนั้นนอกเหนือจากความรู้สึกรักที่มีต่อครอบครัวของพวกเขาแล้วฉันยังรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณอย่างลึกล้ำอีกด้วย!”
“เธอคิดจะบอกฉันเรื่องพวกนี้งั้นเหรอ” กชกรถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง มองเธอด้วยสายตาที่ยังคงห่างเหินและเย็นชา
จิดาภาพูด “ฉันอยากจะบอกเธอว่าความสุขอยู่ในมือของตัวเอง ฉันกับพี่ใหญ่นั้นถูกกำหนดความสัมพันธ์ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว และมันจะเป็นแบบนี้ไปตลอดชีวิต บางทีเธออาจจะเห็นในบางสิ่ง แต่นั่นมันเป็นเพียงแค่จุดเริ่มแรก เป็นช่วงอายุที่ยังไม่รู้ความ ต่อให้คนคนนั้นไม่ใช่ฉันก็จะเป็นคนอื่นอยู่ดี เพราะงั้นกชกร ฉันขออวยพรให้เธอกับพี่ใหญ่จากใจจริง และก็ถือว่าเธอเป็นพี่สะใภ้จากใจจริง!”
ต้องยอมรับว่าคำพูดของเธอทำให้กชกรกระเจิดกระเจิงไปบางส่วน
ใช่ ต่อให้ไม่ใช่เธอ ก็จะเป็นคนอื่นอยู่ดี
แต่หากเป็นคนอื่น เธอยอมรับได้ แต่พอเป็นจิดาภา เธอกลับรับไม่ได้…เพราะเธอไม่สามารถทำได้ในตอนนี้ ในวันข้างหน้ากับการที่ต้องเผชิญหน้ากับพวกเขา เพราะว่าเธอรู้ว่าตัวเองที่แค่ไม่กี่วัน ไม่สามารถเทียบกับเธอที่หัวใจของเปรมศักดิ์ฝังรากลึกมานานนับสิบปียิ่งรู้ว่าไม่ว่าเธอจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถแทนที่การมีอยู่ของเธอได้!ความเกลียดชังที่เกิดจากความรัก บางทีมันอาจจะเป็นแบบนี้!ดวงตาของกชกรแดงเรื่อ แต่ไม่ได้มีการพูดอะไร แต่จิดาภากลับยกมือขึ้นมาจับ “กชกร หัวใจของพี่ใหญ่ไม่ได้ทำเพื่อฉัน ตอนนี้ฉันมีความสุขมาก รักพันเดช รักลูกในท้องของฉัน รักชีวิตของฉันตอนนี้ ทั้งหมดนี่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกแล้ว ดังนั้นเธอไม่ต้องสนใจฉัน ฉันสามารถมองออกได้ว่าเขาแตกต่างไปเพราะเธอ ตราบใดที่เธอพยายาม ความสุขก็จะเป็นของเธอ!”“ฉันไม่มีแรงเหลือแล้ว!” เธอบอกจิดาภามองเธอ“รักผู้ชายที่ไม่รักตัวเองมันคือความเศร้า แต่ฉันจะไม่ปล่อยให้ความเศร้านี้มันแพร่กระจายต่อไป!”จิดาภาไม่รู้ว่าน้ำตาของเธอหมายถึงอะไร แต่เธอรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว ถ้ากชกรยังยืนยันที่จะเกลียดเธอ โทษเธอ ถ้าอย่างนั้นเธอก็ทำอะไรไม่ได้ในตอนนี้กชกรดึงมือกลับ “เธอไปเถอะ ฉันอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ”เมื่อเป็นอย่างนี้ จิดาภาจะพูดอะไรมากอีกก็คงไม่ดี จึงพยักหน้า “งั้นก็ได้ เธอพักผ่อนให้สบายนะ”เห็นกชกรพลิกตัวหันหลังให้ จิดาภาจึงลุกขึ้นยืนและเดินออกไป…เธอเพิ่งเดินออกมาไม่นาน โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น “เป็นยังไงบ้าง ออกมาแล้วเหรอ”“ค่ะ เดี๋ยวตอนนี้จะกลับเข้าบริษัทเลย”“เดี๋ยวผมไปรับคุณ”“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันขับรถกลับไปเองก็ได้”“สิบนาที ไม่นานก็ถึงแล้ว”จิดาภาถือโทรศัพท์มือถือพร้อมกับยิ้มอย่างมีความสุข “ได้ค่ะ!”เดินออกมาจากข้างในโดยใช้เวลาไม่กี่นาที รออยู่ที่ประตูไม่กี่นาที ไม่นานก็เห็นรถคุ้นตาเข้ามาในสายตารถแล่นเข้ามาตรงหน้าเธอ พันเดชลงมาจากรถ รูปร่างมาตรฐาน สูงสง่า ผอมบาง ให้คนรู้สึกถึงความปลอดภัย ไม่รู้ว่าทำไม ตอนนี้จิดาภาอยากจะกอดเขาคิดอย่างไรก็ทำอย่างนั้นจิดาภายื่นมือออกไป เข้าสู่อ้อมแขนของเขาพันเดชกอดเธอไว้ในอ้อมแขนพร้อมกับยิ้ม แล้วก็เอ่ยถามว่า “เกิดอะไรขึ้น”“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่อยากกอดคุณ”“ภรรยา ยอมรับเถอะว่าคุณน่ะห่างจากผมไม่ได้” พันเดชกอดเธอและพูดด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุข“ค่ะ ฉันยอมรับ” จิดาภาอยู่ในอ้อมแขนของเขาและยอมรับอย่างอ่อนโยนพันเดชยิ้มและจูบที่หน้าผากของเธอ แล้วทั้งสองคนก็ขึ้นรถไปด้วยกันที่บริษัท ในห้องทำงานของพันเดชจิดาภามองเขาด้วยความลังเลเล็กน้อย “คุณเดชคะ หรือว่าคุณไม่อยากถามจริงๆเหรอว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”พันเดชมองเธอ “ทำไมเหรอ”“ที่จริงแล้ว ฉันสามารถบอกคุณด้วยตัวเองได้นะคะ” จิดาภาพูดในตอนนี้พันเดชยื่นมือออกมากอดเธอไว้ในอ้อมแขน ให้มานั่งบนตักตัวเอง “ผมรู้ว่าคุณอยากพูดอะไร ผมรู้ทั้งหมดแต่ผมไม่อยากฟัง ผมแค่อยากรู้ว่าตรงนี้ของคุณ เป็นของผมก็พอแล้ว” เขาพูดพร้อมกับชี้ไปตรงตำแหน่งของหัวใจของเธอมองที่มือของเขา จิดาภาก็พลันแววตาอ่อนโยน ยื่นมือออกไปกอดพันเดชพร้อมกับมอบจูบให้…เห็นเธอแบบนี้แล้วพันเดชยังจะสุภาพอะไรอีก สิ่งที่เขาชอบมากที่สุดก็คือการเริ่มก่อนของจิดาภา ดังนั้นจึงเอื้อมมือไปสัมผัสที่ท้ายทอยของเธอ และก็เพิ่มจูบที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น…เอลิสต์เป็นอันดับหนึ่งในรายการค้นหายอดนิยมบนเว่ยป๋อติดต่อกันเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ เอลิสต์กับไปรยาจึงถูกขังเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์แล้วเมื่อพวกเขาคิดว่าจะยังต้องคงถูกขังอยู่แบบนี้เรื่อยไป ก็มีข่าวดีจากพีทเอลิสต์ได้เล่นละครทางทีวี และการเล่นละครทางทีวีนี้เป็นการเปิดตัวของเอลิสต์“ทำไมถึงเป็นสองล่ะ”“โปรดิวเซอร์สองคนนี้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับฉัน ดังนั้นฉันจึงตั้งใจเอาบทมาเพื่อดูว่าเอลิสต์ซื่อสัตย์ต่อสิ่งนั้น ให้เลือกมาหนึ่งเรื่องสำหรับการเปิดตัวเป็นผลงานแรก” พีทบอกเอลิสต์มองดู จนสุดท้ายก็มองไปรยา “คุณคิดว่าไง”“ฉันเหรอ” ไปรยาชี้ตัวเองเอลิสต์พยักหน้าดังนั้น ไปรยาจึงหยิบทั้งสองบทละครขึ้นมาวางบนโต๊ะ หนึ่งชื่อเรื่องว่า《เวลาที่ผ่านมา》อีกเรื่องชื่อว่า《ข้ากลับ》ทั้งสองล้วนเป็นเรื่องของรักสามเส้า ไปรยาเพียงแค่มองดูไม่เท่าไหร่พีทพูด “เรื่องข้ากลับ บทพระเอกยังไม่ได้ตัดสินใจ ถ้าพยายามสักหน่อยก็สามารถช่วงชิงมาได้ แต่เรื่องเวลาที่ผ่านมากำหนดพระเอกแล้ว”ฟังพีทอธิบายแล้วไปรยาก็พยักหน้า หลังจากดูบทแล้ว ในฐานะที่เป็นผู้ชม เธอชอบเรื่องเวลาที่ผ่านมามาก มันเป็นความรักสมัยใหม่ทั่วไป และพล็อตมันลึกซึ้งมาก ไปรยาสามารถมองเห็นได้ชัดเจนส่วนข้ากลับ มันเกี่ยวกับเรื่องของการแต่งงาน ไปรยาดูแล้วสุดท้ายก็พูดว่า “ฉันคิดว่า《เวลาที่ผ่านมา》ไม่เลว!”“เพราะอะไร”“ในฐานะคนรักชู้สาว มันเป็นสัญชาตญาณ!” ไปรยาพูดเอลิสต์เอาสคริปต์จากมือของเธอ แล้วพลิกมันดูลวกๆ มองพีทพลางพูดว่า “งั้นก็อันนี้แหละ!”“แต่ข้ากลับมีความเป็นไปได้ที่จะได้เป็นพระเอกนะ” พีทพูดไปรยาครุ่นคิดแล้วเอ่ยปากว่า “ฉันคิดว่าเอลิสต์เพิ่งเปิดตัว การได้เป็นพระเอกมันจะยากที่จะหลีกเลี่ยงความสงสัยทุกรูปแบบ ต่อให้พระรองก็ยังเลี่ยงได้ยาก มองไปที่ตลาดในตอนนี้ ฉันคิดว่าเวลาที่ผ่านมาเหมาะสมกับภาพลักษณ์ของเอลิสต์” ไปรยาพูดพีทดันกรอบแว่นพลางยิ้มหวานให้กับไปรยา “คิดไม่ถึงเลยว่าคุณยังมีวิสัยทัศน์ที่ดี ถึงแม้ว่าข้ากลับจะเป็นบทพระเอก แต่ผมก็คิดว่าเวลาที่ผ่านมาก็ไม่เลว และเมื่อเกิดความนิมยม ผมเชื่อว่าจะต้องถูกจัดอยู่อันดับสูงแน่นอน!”ได้ยินคำชมจากพีท ไปรยาก็ยิ้มด้วย “พูดอย่างนี้แล้ว งั้นก็《เวลาที่ผ่านมา》โอเคไหม”“โอเค!”เห็นพีทตกลง ไปรยาก็ยินดีมาก “มันจะเริ่มเมื่อไหร่เหรอคะ”“อีกไม่กี่วันจะจัดพิธีบวงสรวงครับ เมื่อถึงเวลาคุณก็ไปเป็นเพื่อนเขา และก็เริ่มแต่งหน้าและก็ถ่ายรูป” พีทบอกไปรยาพยักหน้าซ้ำๆ “ก็เอาตามนั้นค่ะ จะได้ไม่ต้องอุดอู้อยู่ที่นี่ทั้งวัน” พูดอย่างนั้นแล้วไปรยาก็ส่งเสียเย้!เอลิสต์ที่นั่งอยู่ข้างๆ มองเธอเหมือนสัตว์ที่ถูกขังในกรง มุมปากก็อดไม่ได้ที่จะยกขึ้นตอนนี้ พีทลุกขึ้น “อดทนอีกหน่อยเดี๋ยวมันก็ผ่านไป เริ่มเปิดกล้องเมื่อไหร่ผมจะให้คนมารับพวกคุณ เดี๋ยวตอนนี้ผมไปติดต่อกับพวกเขาก่อน”“ได้”“ขอบคุณคุณพีท” ไปรยายิ้มพลางพูดพีทหันหน้ากลับไปขยิบตาให้ไปรยาแล้วก็เดินไปไปรยาเองก็ยังโบกมือให้ด้วยมองพีทเดินไปแล้ว ในห้องเหลือเพียงพีทกับไปรยาหลังจากเหตุการณ์วันนั้น ไปรยานั้นโดยพื้นฐานแล้วก็ไม่มีอะไรแค่ซ่อนตัวอยู่แต่ในห้องและเล่นกับคอมพิวเตอร์ เป็นการลดโอกาสคลุกคลีกับเอลิสต์ตอนที่ไปรยากำลังยิ้มอย่างมีความสุข ก็พลันหันหน้าไปเห็นว่าเอลิสต์กำลังมองตัวเองอยู่ จึงเกิดการยิ้มอย่างเรียกว่ามารบังเกิดดังนั้นเธอจึงหัวเราะซ้ำแล้วก็พูดไปอีกทาง “ในเมื่อไม่มีเรื่องอะไรแล้ว งั้นฉันกลับไปที่ห้องก่อนแล้วกัน!” พูดแบบนี้แล้วก็กำลังจะไป แต่เธอเพิ่งกระโดดลงจากโซฟา ตอนนี้เอลิสต์ก็ยื่นมือออกมาจับเธอไว้เสียก่อนแล้ว และดึงกลับมากดไว้บนโซฟาเอ่อ…สถานการณ์ตอนนี้ดูเหมือนจะคุ้นๆนะ!เหมือนกับวันนั้นที่เธอนอนทับเอลิสต์…ใกล้มาก…เพียงแค่ครั้งนี้ เอลิสต์อยู่บน ส่วนเธออยู่ล่างขนตายาวกะพริบ ไปรยามองดูเขา หัวใจเต้นแรงตึกตักขึ้นมาอีกครั้ง ภายในห้องเงียบกริบ นอกจากเสียงหายใจของกันและกัน ก็มีเพียงเสียงหัวใจเต้นของไปรยา“เอ่อ…อะ…อะไร” เป็นนานกว่าไปรยาจะได้สติกลับมา มองปากแดงของเอลิสต์“ยังอยากจะหลบผมอีกเหรอ” เอลิสต์ถาม“เปล่า เปล่านะ!” ไปรยาพูดอย่างตะกุกตะกัก“เปล่าเหรอ งั้นแล้วทำไมคุณถึงเอาแต่หลบอยู่ในห้องล่ะ ไม่ดูรายการโปรดทางทีวีของคุณเหรอ” เอลิสต์ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ในสายตาแสดงเสน่ห์ของปีศาจอ๊ากกกก!เขาต้องจงใจแน่!จงใจหลอกและล่อเธอ!!!ไปรยาถูกบังคับให้กดปุ่มหัวใจเต้นแรงดั่งกวางกระโดด เธอกะพริบตาปริบๆ “ฉัน ฉันดูอยู่ในห้อง…”“งั้นเหรอ”ไปรยาพยักหน้าหงึกหงัก“หลังจากนี้อย่าดูในห้องอีก คอมพิวเตอร์มันเล็กเกินไป เสียสายตา”“อ้อ!”ทั้งสองคนยังไม่ได้มีการขยับเขยื้อน ยังคงนิ่งเหมือนเมื่อครู่ และตอนนี้ไปรยาก็เอ่ยปากว่า “คุณ ตอนนี้ลุกขึ้นได้หรือยัง”เอลิสต์มองเธอ มุมปากยกยิ้ม จากนั้นก็ปล่อยเธอไปรยาอยู่ยนโซฟา นั่งไขว่ห้างมองไปที่ทีวีตรงหน้า และยังมีอาการค่อนข้างเขินอาย“เอ่อ…” ไปรยาเอ่ยปาก“อะไร”“วันนั้น คุณเมาแล้วพูดว่า…”“พูดว่าอะไร”“ก็คือวันนั้น…” จู่ๆไปรยาก็หันไปมองเอลิสต์ แต่คำพูดอีกครึ่งหนึ่งกลับกลืนมันลงไป มองเอลิสต์อยู่นานก็ไม่ได้พูดอะไรส่วนเอลิสต์เลิกคิ้วมองเธอ “หืม จะพูดอะไร”แต่ไปรยากลับส่ายหน้า “เปล่าๆ ไม่ได้จะพูดอะไร”เอลิสต์จ้องมองเธอด้วยสายตาเจือความสำรวจแต่ไปรยากลับมองดูผลไม้บนโต๊ะน้ำชา หยิบมันขึ้นมาและทานมัน “เปล่าๆ ไม่มีอะไรเลยจริงๆ…” เธอพูดและก็ยังอธิบายเพิ่มด้วยบางที บางทีเอลิสต์ก็อาจจะเมาและจำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น แล้วทำไมเธอต้องสารภาพเองด้วยล่ะ!“อืม เปล่า ไม่มีอะไร…” ไปรยาพูดต่อเอลิสต์นั่งอยู่ข้างๆ ดูการเคลื่อนไหวของเธอ ทุกๆสายตา การเคลื่อนไหว ทั้งหมดล้วนน่ารักมากแล้วเขาก็ยิ้ม หยิบผลไม้บนโต๊ะขึ้นมาทาน “ก็ไม่เลว…”“คะ?”“ผลไม้นี่ก็ไม่เลว”ไปรยามองเอลิสต์ที่กำลังทานผลไม้จึงพยักหน้า “อืม ไม่เลว…’แค่ทำไม หัวใจเธอยังเต้นแรง แถมหน้าก็ยังแดงอยู่เลยล่ะ!ในเวลานี้ เสียงโทรศัพท์มือถือของไปรยาดังขึ้น มันเป็นโทรศัพท์ช่วยชีวิต ไปรยาจึงรีบหยิบมันขึ้นมา“ฮัลโหล จิเหรอ…”“เป็นสายของจิ ฉันกลับไปห้องก่อนนะ!” พูดจบก็วางผลไม้ลง ไปรยาแล่นฉิวหายวับกลับไปที่ห้องมองด้านหลังของเธอแล้วเอลิสต์ก็ยิ้มไปรยากลับไปที่ห้องแล้วก็รู้สึกโล่งอก แม้แต่จิดาภาที่อยู่ปลายสายยังจับสังเกตได้“เป็นอะไร ต้องรีบกลับห้องขนาดนั้นเลยเหรอ”“ฮะ…อ้อเปล่าหรอก นี่ไม่ได้หมายความว่าฉันอยากคุยกับเธอเงียบๆหรอกเหรอ!” ไปรยาหาข้ออ้างให้ผ่านๆไป เธอจะไม่ยอมรับว่าเธออยู่กับเอลิสต์ หัวใจเธอเต้นไม่หยุดเลยจิดาภายิ้ม “ชายหญิงอยู่ตามลำพัง ไปรยา เธอคงจะไม่ลงมือทำอะไรกับเอลิสต์หรอกใช่ไหม!”“จิดาภา!!!” ไปรยาร้องเสียงหลง “เธอเชื่อถือฉันหน่อยได้ไหม อย่างน้อยฉันก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งนะ ถ้าลงมือก็ควรจะเป็นเขาสิ ฉันจะไปลงมือก่อนได้ยังไง!”“จริงเหรอ” จิดาภาสอบถาม“อะไรที่ว่าจริงเหรอ เธอในฐานะเพื่อนสนิทของฉัน หรือว่าไม่ห่วงความปลอดภัยส่วนตัวของฉันเลยเหรอ” พูดอย่างนั้นแล้วไปรยาก็กลิ้งไปบนเตียง หาเหตุผลที่ชอบธรรมเพื่อแก้คำถามของจิดาภาจิดาภายิ้ม “ฉันเชื่อในตัวเอลิสต์!”“ความหมายของเธอคือไม่เชื่อในตัวฉันเหรอ”“ฉันแค่ไม่เชื่อในสมาธิของเธอ!!!”“จิดาภา เลิกคบกันไปเลย!”จิดาภายิ้มกับโทรศัพท์ “เอาล่ะ เลิกล้อเธอเล่นแล้ว!”“หึหึ!”“ฉันเพิ่งได้ยินข่าวมา เอลิสต์จะเล่นละครทีวีเหรอ” จิดาภาถามได้ยินอย่างนั้น ไปรยาก็คลานไปข้างเตียงทันที “เธอได้ยินเรื่องนี้เร็วจังล่ะ เพิ่งได้รับการยืนยันเอง มันน่าจะยังไม่ได้ประกาศออกไปเลยนะ”“ฉันเพิ่งได้ยินคุณเดชพูดน่ะ ละครเรื่องนี้คุณพันเดชเป็นสปอนเซอร์ แน่นอนว่าฉันต้องได้รู้พวกข้อมูลสิ”ได้ยินอย่างนั้นแล้วไปรยาก็พยักหน้า คิดว่าได้รับการสนับสนุนจากกรุ๊ปใหญ่อย่างCA แน่ใจว่าละครเรื่องนี้ต้องออกมาดีแน่ และอีกอย่างดูเหมือนว่าโปรดักชั่นหลังจากนี้จะไม่เลวร้ายด้วยในจิตใจ ไปรยาบูชาตัวเองอีกรอบ‘ไปรยาจ๊ะ สายตาในเรื่องบทของเธอยังดีมากไม่เปลี่ยนเลยนะ!’“นี่ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะถูกต้องแล้วใช่ไหม” จิดาภาเอ่ยถามไปรยาพยักหน้า “ใช่ เพิ่งตัดสินใจไป เล่นเป็นพระรองน่ะ!”“ฉันได้ยินมาว่าละครโทรทัศน์ดัดแปลงมาจากนวนิยาย ความคาดหวังของผู้ชมเลยสูงมาก!”“ใช่ ยังต้องแบกรับความกดดันอย่างมาก ต้องรู้นะว่าถ้าการแสดงไม่ดีหรืออะไรซักอย่าง ก็จะถูกคนตำหนิจนตายแน่!”“มีคนชอบก็ต้องมีคนเกลียด ภาพลักษณ์ของเอลิสต์น่ะไม่เลว ฉันรู้สึกว่าจะต้องไม่มีปัญหาแน่นอน”“ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน” ทันทีที่ได้ยินคำยกย่องเอลิสต์ ไปรยาก็มีความสุขมาก มันเหมือนกับการยกย่องตัวเอง ช่างมีความสุขเหลือเกิน“วางใจเถอะ!”“จริงสิ จิ ในเมื่อพันเดชเป็นสปอนเซอร์ แน่นอนว่าจะต้องมีข้อมูลลับมากมายแน่ ถึงเวลาเมื่อไหร่ก็บอกฉันด้วยนะ” ไปรยาพูดฟังแบบนี้แล้วจิดาภาก็ยิ้ม “ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นผู้ช่วยที่ดีเลยนะ ยังรู้จักการล้วงข้อมูลด้วย”“มันก็แน่นอนสิ ฉันต้องต่อสู้เพื่อสิทธิและผลประโยชน์สูงสุดสำหรับเอลิสต์” ไปรยาพูดตามหลักเหตุผล“ไม่มีความรู้สึกส่วนตัวเลยเหรอ”“จิดาภาเธอจริงจังหน่อยสิ”จิดาภายิ้ม “เอาล่ะ ฉันรู้แล้ว ถ้ามีข้อมูลอะไรเดี๋ยวฉันจะบอกให้เธอรู้เองนะ!”“โอเค งั้นเรื่องนี้ฉันคงต้องพึ่งเธอแล้ว ไว้เดี๋ยวฉันจะเลี้ยงข้าวเธอทีหลังนะ!”“คำไหนคำนั้น!”……