หมอหญิงยอดมือสังหาร - ตอนที่ 953 การทะเลาะกันของพี่น้อง (3)
ตอนที่ 953 การทะเลาะกันของพี่น้อง (3)
“จวิ้นจู่ ไม่รู้ว่า…ท่านอ๋องจะฟื้นขึ้นมาเมื่อใดหรือ” เฉินอวี้หันไปเอ่ยถามหนานกงมั่ว
หนานกงมั่วถอนหายใจ เอ่ย “เดิมเสด็จลุงก็บาดเจ็บภายในอยู่แล้ว ธนูดอกนั้นของไห่รื่อกู่ไม่เพียงทำให้เสด็จลุงบาดเจ็บ อีกทั้งยังทำให้บาดแผลภายในเดิมของเสด็จลุงฉีกขาดขึ้นมาอีกครั้ง” สีหน้าของเฉินอวี้ไม่ดีขึ้นมา “ไห่รื่อกู่ขึ้นชื่อว่าเป็นมือธนูอันดับหนึ่งของเป่ยหยวน ได้ยินมาว่าสามารถยิงทะลุม้าสองตัวในระยะหนึ่งร้อยจั้งได้”
พลังธนูของไห่รื่อกู่หนานกงมั่วเองก็เคยได้สัมผัส วันนั้นที่นางรับลูกธนูของไห่รื่อกู่ที่ชายแดนโยวโจวโดยระยะไกลเพียงนั้น มือของนางก็เจ็บไปนาน วันนั้นไห่รื่อกู่ไม่ได้ใช้กำลังเต็มที่ ครั้งนี้เจอกับเยี่ยนอ๋องเห็นชัดว่าตั้งใจสังหารในดอกเดียว พละกำลังไม่ต้องบอกก็รู้ได้
หนานกงมั่วเอ่ย “หากสถานการณ์ดี วันมะรืนเสด็จลุงก็คงฟื้นขึ้นมาได้ เพียงแต่…” หนานกงมั่วมองไปยังทุกคน เอ่ยเสียงเข้ม “ทางที่ดีทุกท่านต้องเตรียมใจเอาไว้ เวลาที่เสด็จลุงฟื้นขึ้นมาอาจไม่ได้นานนัก อีกทั้งเกรงว่าคงยังทำอันใดไม่ได้” หากเป็นไปได้ หนานกงมั่วไม่อยากให้เยี่ยนอ๋องตื่นขึ้นมาในตอนนี้ การสะสมกำลังต่างหากคือสิ่งที่เขาควรทำในตอนนี้ นอนไปอีกสักสองวันก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีอันใด แต่หนานกงมั่วเองก็รู้ หากเยี่ยนอ๋องไม่ฟื้นขึ้นมา เกรงว่าจิตใจของเหล่าทหารคงไม่มั่นคง
เฉินอวี้ขมวดคิ้ว เอ่ย “เอ่ยเช่นนี้ ในระหว่างนี้…ต่อให้ท่านอ๋องฟื้นแล้วก็ไม่อาจทำอันใดได้อย่างนั้นหรือ”
หนานกงมั่วพยักหน้า “เอ่ยเช่นนั้นก็ได้”
“เช่นนั้น…ธุระในกองทัพจะทำเยี่ยงไร” เป็นไปไม่ได้ที่จะไร้ผู้นำไปตลอด การเคลื่อนทัพโจมตียิ่งไม่ใช่สิ่งที่คนไม่กี่คนหารือแล้วจะดำเนินการได้ หากเป็นเช่นนี้ไม่เพียงขวัญกำลังใจของทหารจะลดน้อยลง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีการต่อสู้กันเองอย่างลับๆ และเปิดเผย ต่างฝ่ายต่างแยกตัวเป็นอิสระ ดังนั้นจำเป็นต้องหาคนที่มาดำเนินการสั่งการทางทหารแทนเยี่ยนอ๋องชั่วคราว
เมื่อเฉินอวี้เอ่ยเช่นนั้นออกไป บรรยากาศในกระโจมใหญ่จึงอึดอัดขึ้นมา ทุกคนมองหน้าสบตากัน
ชั่วครู่ต่อมาก็ได้ยินเสียงขุนพลผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น “ในเมื่อท่านอ๋องบาดเจ็บ แน่นอนว่ากองทัพต้องมีซื่อจื่อมาดำเนินการแทน”
เฉินอวี้พยักหน้า มองไปยังคนอื่นๆ เว่ยจวินมั่วเองก็พยักหน้า แสดงท่าทีเห็นด้วย แต่ว่าไม่ใช่ทุกคนจะยอมรับผลลัพธ์นี้ได้ “เรื่องใหญ่ที่มีกองทัพหลายแสนเพียงนี้จะโยนให้ผู้ใดง่ายๆ ได้เยี่ยงไร ซื่อจื่อทำสงครามไม่เป็นด้วยซ้ำ จะให้มาจัดการธุระแทนท่านอ๋องอย่างนั้นหรือ”
ดวงตาของเซียวเชียนชื่อทะมึนขึ้น มองน้องชายทั้งสองตรงหน้าไม่เอ่ยวาจา เซียวเชียนจย่งกลับเอ่ยขึ้นดั่งที่ใจคิด “เอ่ยไม่ผิด พี่ใหญ่นั้นทำสงครามไม่เป็นด้วยซ้ำ”
หนานกงมั่วที่นั่งอยู่ด้านข้างเว่ยจวินมั่วแทบยกมือกุมขมับ หากไม่ใช่ว่าตอนนี้อยู่ต่อหน้าคนมากมาย อยากจะตบศีรษะของเขาสักครั้ง เห็นอยู่ว่าไม่คิดจะแย่งชิง กลับเอาตนเองเข้าไปมีส่วนร่วมโดยไม่รู้ตัว นายทหารชั้นสูงที่ถูกโต้แย้งพลันรู้สึกไม่พอใจ “ซื่อจื่อเป็นบุตรชายคนโตของท่านอ๋อง ถูกต้องตามธรรมนองครองธรรม มีสิ่งใดไม่ถูกต้อง เช่นนั้นพวกเจ้าคิดว่าผู้ใดเหมาะสมเล่า”
ขุนพลอีกคนลุกขึ้น เอ่ย “หากเอ่ยถึงการออกศึก คงเป็นคุณชายรองที่เชี่ยวชาญอยู่บ้าง”
ได้ยินเช่นนั้น เซียวเชียนจย่งก็ยิ่งไม่พอใจ หรือว่าข้าทำสงครามไม่เป็นอย่างนั้นหรือ เพียงแต่เขาไม่คิดอยากเข้าไปยุ่งเรื่องยุ่งยากของกองทัพ สิ่งที่เขาสนใจคือขี่ม้าต่อสู้ในสนามรบ อีกทั้งพี่รองดูเหมือนจะเก่งกว่าพี่ใหญ่เล็กน้อย ดังนั้นครั้งนี้เซียวเชียนจย่งจึงไม่คิดตอบโต้
“ไม่ได้ พี่น้องตามลำดับ คุณชายรองจะข้ามหน้าข้ามตาซื่อจื่อไปได้เยี่ยงไร” ชายที่มีท่าทางราวกับนักวิชาการลุกขึ้นเอ่ยเสียงดัง ผู้นี้คือหนึ่งในกุนซือของเยี่ยนอ๋อง นับว่าเป็นบุคคลที่เยี่ยนอ๋องให้ความสำคัญ แม้ว่าสองปีมานี้มีเนี่ยนหย่วนอยู่ข้างกายเยี่ยนอ๋อง เหล่าที่ปรึกษาเช่นพวกเขาไม่มีโอกาสออกหน้ามากนัก แต่สามารถปรากฏตัวอยู่ในกระโจมใหญ่ครั้งนี้เห็นได้ว่าเขามีตำแหน่งในกองทัพสูงไม่น้อย
คนตรงหน้าย่นจมูก “ลำดับพี่น้องอย่างนั้นหรือ หากทำลายการใหญ่ที่ท่านอ๋องสร้างมา เจ้าจะเอาสิ่งใดมาชดเชย เห็นชัดว่าควรใช้ผู้มีความสามารถ”
“ไร้สาระ เจ้ารู้ได้เยี่ยงไรวว่าซื่อจื่อทำสงครามไม่เป็น”
“เหอะ หรือว่าระยะเวลาสองปีมานี้ไม่อาจยืนยันได้เล่า” นั่นไปถึงขั้นเหยียดหยันเซียวเชียนชื่อแล้ว ในฐานะผู้ใต้บัญชานับว่าเสียมารยาท ความจริงสองปีมานี้ใช่ว่าเซียวเชียนชื่อจะไม่มีผลงานการรบ เพียงแต่เมื่อเทียบกับน้องชายทั้งสองจึงไม่ได้โดดเด่นนัก เขาร่ำเรียนตำรา ไม่เหมาะจะอยู่ในสนามรบ ดังนั้นส่วนใหญ่เยี่ยนอ๋องจึงเก็บเขาไว้ข้างกายเพื่อจัดการงานในกองทัพ กระทั่งเขามีเรื่องกับเซียวเชียนเหว่ยทำให้เยี่ยนอ๋องหงุดหงิดจึงถูกส่งไปอยู่ไกลถึงกองทัพกับเซวียเจิน
“บังอาจ กล้าเสียมารยาทกับซื่อจื่อ”
“เจ้าสิบังอาจ คิดจะทำลายการใหญ่ของท่านอ๋อง เจ้ามีความละอายใจอยู่หรือไม่”
“เจ้า…”
เซียวเชียนชื่อมองการโต้เถียงไม่หยุดของขุนพลทั้งสองด้วยใบหน้าแข็งกระด้าง ในใจนั้นวุ่นวายไม่น้อย มองเซียวเชียนเหว่ยที่นั่งอยู่ไม่ไกล เซียวเชียนเหว่ยหลุบตามองลงต่ำราวกับไม่ได้ยินสิ่งใด ทว่ากลับเป็นเซียวเชียนจย่งที่มีท่าทีสนอกสนใจ
เซียวเชียนชื่อถอนหายใจ มองไปยังเว่ยจวินมั่วและเฉินอวี้ เอ่ยถาม “พี่ชาย พี่สะใภ้ แม่ทัพเฉิน พวกท่านทั้งสามมีความเห็นเช่นไร” หนานกงมั่วยักไหล่ กุมมือเว่ยจวินมั่ว เอ่ย “นี่เป็นเรื่องของกองทัพโยวโจวและจวนเยี่ยนอ๋อง พวกเราไม่อาจยื่นมือเข้าไปยุ่ง” เป็นเช่นนั้น เยี่ยนอ๋องเพิ่งล้มป่วย การต่อสู้แย่งชิงระหว่างพี่น้องก็ไม่อาจซ่อนเอาไว้ได้อีกแล้ว เซียวเชียนชื่อยิ้มขมขื่น “พี่สะใภ้ล้อเล่นแล้ว พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน หากเสด็จพ่อมีสติก็คงเอ่ยเช่นเดียวกัน”
เฉินอวี้ส่งเสียงหยัน เอ่ย “เรื่องนี้ ข้าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ควรเข้าไปยุ่ง ขอคุณชายทั้งสามเห็นแก่การใหญ่ของท่านอ๋องที่กว่าจะมีวันนี้ ได้โปรดระมัดระวังด้วย หากทั้งสามท่านสามารถร่วมมือกันได้ คิดว่าการก้าวข้ามด่านยากตรงหน้าคงไม่ใช่เรื่องยาก”
วาจาของเฉินอวี้นั้นง่ายมาก หากทั้งสามคนเห็นแก่การใหญ่ของเยี่ยนอ๋องถอยกันคนละก้าว ประคองสถานการณ์ตรงหน้ารอท่านอ๋องฟื้นขึ้นมาค่อยวางแผนจะดีที่สุด
เพียงแต่…เวลาเช่นนี้ยังถอยได้หรือ ยามนี้เพียงหนึ่งก้าวก็สามารถกุมอำนาจกองกำลังรักษาการณ์โยวโจวเอาไว้ในมือได้ ถอยหนึ่งก้าว…อนาคตคงไม่อาจเอ่ยได้แล้ว ต่อให้พวกเขายอมถอย ขุนพลที่คอยสนับสนุนพวกเขาอยู่เบื้องหลังจะยินยอมได้อย่างนั้นหรือ
เยี่ยนอ๋อง…จะฟื้นขึ้นมาได้จริงๆ หรือ