หมอหญิงยอดมือสังหาร - ตอนที่ 845 ปราบปรามและปกครอง (2)
ตอนที่ 845 ปราบปรามและปกครอง (2)
หนานกงมั่วยิ้มบาง เอ่ย “ขายหน้าต่อท่านแล้ว หลายวันมานี้มีสิ่งใดละเลยต่อทุกท่านหรือไม่”
คนที่สามารถตามมาพบหนานกงมั่วได้ แน่นอนว่าไม่ใช่คนประเภทที่คิดจะจับหนานกงมั่วมาดุด่าเพื่อแสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีต่อบ้านเมืองของตนเอง ยิ่งไปกว่านั้น ภักดีไม่ภักดีต่อกษัตริย์เรื่องเช่นนี้ก็ไม่ใช่ปัญหาที่ทหารชั้นผู้น้อยอย่างเขาจะต้องมาพิจารณา คนพวกนี้เกรงว่าคงจงรักภักดีต่อแม่ทัพของตนมากกว่ากษัตริย์เสียอีก มิเช่นนั้น เหตุใดจึงต้องตอบสนองเยี่ยงนั้นเมื่อมีพวกนายทหารยศสูงคิดก่อการกบฏต่อราชวงศ์เล่า เป็นเพราะกษัตริย์โง่เขลาไร้ความสามารถจนทหารทุกนายมีความเกลียดชังและเคียดแค้นจนมีศัตรูคนเดียวกันจริงๆ หรือ
หมอชราส่ายหน้า เอ่ยถามขึ้นอย่างตรงไปตรงมา “ไม่ทราบว่าจวิ้นจู่เรียกข้าน้อยมาพบ มีคำสั่งอันใดหรือ”
หนานกงมั่วยิ้มเอ่ย “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด เพียงมีเรื่องที่อยากจะขอร้องท่านหมอสักเล็กน้อยเท่านั้น”
หมอชราขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ “ข้าน้อยเป็นเพียงแค่หมอธรรมดา ไม่รู้ว่ามีเรื่องอันใดที่สามารถช่วยจวิ้นจู่ได้”
หนานกงมั่วเอ่ย “เย่ว์โจวเกิดภัยแล้งติดต่อกันหลายปี ชาวเมืองต้องลำบากไม่สามารถอยู่อย่างเป็นสุขได้ ชาวเมืองบางคนแทบไม่มีเสื้อผ้าห่มกาย อาหารมีไม่พอให้กินอิ่ม ป่วยไม่มียารักษา ตายก็ไม่มีผ้าห่อศพ หนานกงมั่วแม้จะเป็นสตรี แต่ก็มีความหวังว่าชาวเมืองเย่ว์โจวจะมีชีวิตที่มั่นคง เพราะเหตุนี้จึงอยากให้ท่านหมอและหมอในกองทัพทุกท่านช่วยทำการรักษาให้ชาวเมืองเย่ว์โจวเป็นการกุศล ส่วนยาที่จำเป็น พวกข้าจะเป็นคนจัดการเอง ท่านหมอคิดเห็นเยี่ยงไร”
หมอชราชะงักไป นึกไม่ถึงว่าหนานกงมั่วจะเอ่ยถึงเรื่องนี้ สองคิ้วขมวดพร้อมเอ่ย “ข้าน้อยขอบพระคุณจวิ้นจู่แทนชาวเมืองเย่ว์โจวด้วย ทว่ายามนี้สิ่งที่เย่ว์โจวต้องการเกรงว่าจะไม่ใช่ยาและการรักษาแต่เป็นอาหารเสียมากกว่า ยานั้นไม่อาจทำให้ท้องอิ่มได้และหมอก็ไม่สามารถรักษาอาการคนที่อดตายได้”
ฉินจื่อซวี่ยิ้มแล้วจึงเอ่ย “ท่านหมออาจยังไม่รู้ทั้งหมด วันแรกหลังจากที่กองทัพข้าเข้าสู่เมืองเย่ว์โจว จวิ้นจู่ก็มีคำสั่งให้เปิดคลังเสบียงทุกแห่งเพื่อระบายข้าว แม้ไม่อาจรับรองได้ว่าชาวบ้านทุกคนจะได้กินข้าว แต่พวกเราได้พยายามสุดความสามารถ ยังมีจุดที่ไม่ดีพอ หวังอย่างยิ่งว่าทุกคนจะพยายามไปด้วยกัน”
หมอชราไม่รู้ข่าวนี้ พอได้ฟังคำบอกเล่าของฉินจื่อซวี่ เขาหันไปสบสายตากับเหล่าแพทย์คนอื่นๆ ก่อนจะหันไปเอ่ยกับหนานกงมั่ว “หากเป็นดั่งที่จวิ้นจู่เอ่ย แน่นอนว่าพวกเราไม่อาจปฏิเสธ”
รอยยิ้มงดงามปรากฏบนใบหน้าหนานกงมั่ว “เช่นนั้นก็ดีเลย พวกท่านช่างมีคุณธรรมสูงส่งนักหนานกงมั่วไม่มีสิ่งใดจะตอบแทน นี่คือหนังสืออ่านเล่นที่ข้าเก็บไว้อ่านยามว่าง หวังว่าพวกท่านทั้งหลายจะไม่รังเกียจ” หนังสือที่หนานกงมั่วหยิบออกมาแท้จริงนั้นไม่ใช่หนังสืออ่านเล่นแต่อย่างใด ทว่าเป็นหนังสือเกี่ยวกับการแพทย์ฉบับหายากที่มีเพียงเล่มเดียว ครานั้นที่คนเป่ยหยวนเข้ายึดจงหยวน ตำราล้ำค่ามากมายถูกเผาไปกับกองเพลิง รวมไปถึงหนังสือเกี่ยวกับการแพทย์ อย่างเช่นที่หนานกงมั่วเอ่ยมาแล้วทำให้หมอชราปวดใจไม่ไหวก็คือ “วิชาฝังเข็มเฉียนคุนผู่ตู้” และที่มีชื่อเสียงควบคู่กันมาอย่าง “วิชาฝังเข็มจินเจินตู้เอ้อ” เพียงแต่สำนักของหนานกงมั่วมีตำราเหลือเอาไว้จำนวนไม่น้อย หนานกงมั่วสุ่มเลือกมาเพียงสองเล่มก็เพียงพอให้หมอเหล่านี้มีความสุขได้ไม่น้อย
เป็นเช่นนั้น หมอชราพลันรู้สึกเหมือนได้ค้นพบขุมทรัพย์ล้ำค่า สายตามองไปยังหนานกงมั่วอย่างลึกซึ้งและสนิทสนมมากขึ้น
หนานกงมั่วส่งแพทย์ทหารกลับไปพร้อมยิ้มร่าหลังจากได้รับคำสัญญาหนักแน่นว่าจะชักชวนแพทย์ทหารทั้งหมดร่วมช่วยกันรักษาเพื่อการกุศลครั้งนี้ ตอนนั้นเองที่หนานกงมั่วหันกลับไปมองสำรวจบุรุษวัยกลางคนตรงหน้าด้วยใบหน้าคล้ายจะยิ้มทว่าไม่ยิ้ม สองปีที่ไม่ได้พบกัน คนผู้นี้ไม่มีอันใดเปลี่ยนแปลงไปเลยแม้เพียงนิด หนานกงมั่วเจอทหารในกองทัพมาไม่น้อย แต่ภาพจำอย่างสุดซึ้งต่อบุรุษผู้นี้นอกจากครั้งแรกที่เขาเกือบถูกนางตัดหัวแล้ว ก็อาจเป็นเพราะว่าคนผู้นี้ดูเอ้อระเหยลอยชายราวกับไม่สนใจสิ่งใด ทว่ากลับราวกับมองเรื่องทุกอย่างได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง เพียงแต่นิสัยเช่นนี้บางครั้งก็ทำให้คนเกลียดได้
“ทำไมกัน ผู้นี้…ตอนนี้ไม่อยากตายอีกแล้วหรือ ข้ายังคิดว่าเจ้าไม่ยี่หระต่อความเป็นความตายตั้งนานแล้วเสียอีก” หนานกงมั่วเลิกคิ้วถาม
ฉินจื่อซวี่ได้ยินเช่นนั้น คิ้วขมวดมุ่นมองสำรวจชายวัยกลางคนผู้นั้น นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าจวิ้นจู่จะรู้จักกับคนผู้นี้
ชายวัยกลางคนลูบจมูกยิ้มเจื่อน เอ่ย “ได้รับคำสอนของจวิ้นจู่ในครานั้น ข้าน้อยก็กลับเนื้อกลับตัวแล้วมิใช่หรือ”
หนานกงมั่วนั่งกลับลงไปบนเก้าอี้ และตอบคำถามอย่างเหนื่อยหน่าย “ว่ามาเถิด มีเรื่องอันใดต้องมาพบข้า”
ชายวัยกลางคนผายมือออกจากกันพลางเอ่ย “แน่นอนว่าเพราะหาทางรอดให้กับเหล่าพี่น้องของข้า จวิ้นจู่ ข้าไม่สนว่าท่านกับคุณชายเว่ยคิดจะทำอันใด ข้าและพี่น้องใต้บังคับบัญชาของข้ายินดีติดตามพวกท่าน ท่านคิดเห็นเช่นไร” หนานกงมั่วหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ “อาศัยผู้ใต้คังคับบัญชาหนึ่งร้อยคนของเจ้าน่ะหรือ”
ชายวัยกลางคนมีท่าทีเขินอายอย่างหาได้ยาก “ก็…ไม่ใช่เพียงหนึ่งร้อยคนหรอกขอรับ”
“เช่นนั้นมีเท่าใดกัน”
ชายวัยกลางคนเอ่ย “ราวๆ…พันสองพันคนน่าจะได้ขอรับ”
หนานกงมั่วนั่งตัวตรง มองสำรวจเขาอย่างจริงจัง “เป็นเพียงผู้บังคัญบัญชากองร้อยผู้หนึ่ง แต่กลับมีคนพันสองพันคนที่ฟังเจ้าหรือ ช่างมีความสามารถ”
“แหะๆ จวิ้นจู่ล้อเล่นแล้ว” ชายวัยกลางคนรีบเอ่ย “เอ่อ…ความจริง หากไม่มีเรื่องในตอนนี้ พวกเราเองก็วางแผนจะไม่เป็นทหารแล้วขอรับ”
“ทำไมหรือ” หนานกงมั่วเอ่ยถามอย่างแปลกใจ ชายวัยกลางคนส่งเสียงหยันในลำคอ เอ่ยด้วยท่าทีไม่พอใจ “จวิ้นจู่เองก็รู้ หลายปีมานี้ผลผลิตเมืองเย่ว์โจวไม่ดีนักพวกเราที่เป็นทหารเอาชีวิตมาเสี่ยงตาย ไม่ได้เพราะคาดหวังว่าจะได้กินอิ่ม มีเงินเหลือให้ทางบ้าน ข้าตัวคนเดียวไม่มีครอบครัวไม่เป็นไร พี่น้องคนอื่นๆ กลับมีครอบครัวต้องกินต้องใช้ แต่สองปีมานี้ แม้แต่ข้าวก็ไม่มีให้พวกเรากิน ผู้บัญชาการกองกำลังรักษาการณ์เย่ว์โจวกลับสมคบคิดกับผู้ว่าการเย่ว์โจวอมเงินเดือนของทหารที่มาจากราชสำนัก ผูกขาดราคาอาหารในเย่ว์โจวอย่างลับๆ บรรดาพี่น้องหิวจนหน้าเหลืองร่างกายซูบผอม ไหนเลยจะมีกำลังไปทำศึกสงคราม ดังนั้นจึงได้พ่ายแพ้แก่พวกท่านอย่างไรเล่า” ประโยคสุดท้ายนั้นเอ่ยพึมพำเสียงเบา
ฉินจื่อซวี่ยิ้มพลางเอ่ย “เกรงว่าต่อให้พวกเจ้ากินจนท้องอิ่มก็คงไม่อาจเอาชนะได้อยู่ดีกระมัง” ทหารเฝ้าประจำการธรรมดาคิดจะต่อสู้กับกองกำลังไท่หนิงที่รบมากว่าร้อยครั้งได้หรือ ฝันกลางวันชัดๆ
หนานกงมั่วหลุบตาลงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ไม่เอ่ยตอบแต่อย่างใด ชายวัยกลางคนเห็นเช่นนั้นจึงร้อนรนขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “จริงนะขอรับ จวิ้นจู่ ขอเพียงมีข้าวกินอิ่มท้อง บรรดาพี่น้องของเราจะจงรักภักดีกับจวิ้นจู่และคุณชายเว่ยอย่างแน่นอน”
หนานกงมั่วมองเขา “ต่อให้ข้าเชื่อเจ้า เจ้ามีสิ่งใดมารับรองว่าคนเหล่านั้นที่เจ้าเอ่ยถึงจะจงรักภักดีไปพร้อมกับเจ้า อย่างไรเสีย ยามนี้ในสายตาของพวกเจ้าพวกเราก็คงเป็นกบฏใช่หรือไม่”
“พวกเราไม่สนใจว่าใครเป็นกษัตริย์ พวกเรามาเป็นทหารเพราะไม่อยากทนหิว ใครให้ข้าวพวกเรา พวกเราก็ถวายชีวิตให้ผู้นั้น” ชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้นด้วยอารมณ์ที่ร้อนขึ้นมาบ้างแล้ว
หนานกงมั่วยิ้ม เอ่ย “เอาล่ะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้…ข้าจะลองเชื่อเจ้า อีกทั้งแต่งตั้งเจ้าขึ้นเป็นหัวหน้าผู้บัญชาการกองพัน ในช่วงนี้ เรื่องค่ายเชลยเหล่านั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้า หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง หากสามารถเกลี้ยกล่อมเหล่าทหารทั้งหมดมาเข้ากับข้าได้ ข้าจะรายงานจวินมั่วให้เขามอบรางวัลต่อเจ้า”
“ไม่มีปัญหาขอรับ” ชายวัยกลางคนรับปาก ขณะเดียวกันก็ถอนหายใจออกมา หลายวันมานี้พวกเขาถูกขังอยู่ในค่ายเชลย ทว่าไม่มีใครมาเกลี้ยกล่อม พวกเขาเองก็ไม่คิดต่อสู้ ได้ข่าวมาว่าเจ้าหน้าที่และนายทหารชั้นสูงหลายคนถูกสังหาร ความจริงพวกเขากลัวจริงๆ ว่าอีกฝ่ายจะไม่เอ่ยสิ่งใดก็เอาตัวพวกเขาไปประหาร แม้ในพื้นที่กักขังจะมีทหารไม่มาก แต่ก็มีกว่าสองสามหมื่นคน
หนานกงมั่วพยักหน้า ออกคำสั่งกับองครักษ์ด้านข้าง “ไปเชิญเฉินซิวมา”