หมอหญิงยอดมือสังหาร - ตอนที่ 630 ขอนนางผู้ซื่อสัตย์ (2)
ตอนที่ 630 ขอนนางผู้ซื่อสัตย์ (2)
หนานกงมั่วยิ้มเจื่อน เอ่ยอย่างจนใจ “เอ้อกั๋วกงคงจะ…มาหาหม่อมฉันเองเพคะ”
นางยังไม่ลืม ก่อนหนีมาจินหลิงนางหลอกใช้เอ้อกั๋วกงไปหนึ่งครั้ง แม้นางคิดว่านางทำในสิ่งที่สมควรแต่ยังรู้สึกละอายใจต่อเอ้อกั๋วกงผู้ซื่อสัตย์คนนี้อยู่บ้าง องค์หญิงฉังผิงเองก็รู้ดีว่าเกิดอันใดขึ้น จึงต้องพยักหน้า เอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เชิญเอ้อกั๋วกงเข้ามาเถิด”
สาวใช้ตอบรับ ไม่นานเอ้อกั๋วกงในชุดธรรมดาก็เดินเข้ามา เดินเข้ามาด้วยท่าทีองอาจ แม้จะอายุมากแล้วแต่เอ้อกั๋วกงที่อยู่ในสนามรบมานานก็นับว่ายังมีบุคลิกไม่เลว ก้าวเดินขึ้นไปคารวะต่อองค์หญิงฉังผิงอย่างนอบน้อม “กระหม่อมถวายพระพรต้าจั่งกงจู่”
องค์หญิงฉังผิงยิ้มบางๆ เอ่ย “มิกล้า ฉู่กั๋วกงอย่าได้มากพิธี เชิญนั่งเถิด”
เอ้อกั๋วกงกล่าวขอบคุณองค์หญิงฉังผิง นั่งลงในตำแหน่งรองลงมา ก่อนจะหันไปหาหนานกงมั่วที่นั่งอยู่ซ้ายมือองค์หญิงฉังผิง เอ่ย “ซิงเฉิงจวิ้นจู่ สบายดีหรือไม่”
หนานกงมั่วลุกขึ้น ย่อตัวเคารพเบาๆ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณเอ้อกั๋วกงที่เป็นห่วง ข้าสบายดี กั๋วกงเองก็ดูสบายดีนะเจ้าคะ เดินทางไกลมายังทางเหนือก็ยังดูมีชีวิตชีวา”
เอ้อกั๋วกงหัวเราะ มองสำรวจหนานกงมั่ว เอ่ย “ข้าเจอผู้คนมามาก แต่ก็ไม่เคยเห็นใครมีคารมคมคายเช่นจวิ้นจู่มาก่อน”
หนานกงมั่วฝืนยิ้มออกมา “กั๋วกงชมเกินไปแล้ว เมื่อเทียบกับซั่นจยาจวิ้นจู่แล้ว หนานกงมั่วคงไม่อาจเชิดหน้าชูตาได้”
“ซั่นจยาจวิ้นจู่หรือ” เอ้อกั๋วกงขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่านึกถึงสิ่งใดขึ้นมา ดูเหมือนว่าจะมีภาพจำต่อจูชูอวี้ไม่ดีนัก คล้ายจะยิ้มทว่าไม่ยิ้ม เอ่ย “หากซั่นจยาจวิ้นจู่มีคารมคมคายยิ่งกว่าจวิ้นจู่ ไยซั่นจยาจวิ้นจู่ไม่เคยล่วงเกินข้า ข้ากลับไม่ชอบนางเล่า ตรงกันข้าม จวิ้นจู่หลอกใช้คนอย่างไร้ความปรานี ไยข้ากลับยิ่งชื่นชมจวิ้นจู่เล่า เห็นได้ว่า…ซิงเฉิงจวิ้นจู่ร้ายกาจยิ่งกว่าซั่นจยาจวิ้นจู่”
หนานกงมั่วถอนหายใจอยู่ในใจ สุดท้ายก็หนีจากเรื่องนี้ไม่พ้น ก่อเรื่องเอาไว้อย่างไรก็ต้องชดใช้
ประสานมือขึ้นมามองไปยังเอ้อกั๋วกง หนานกงมั่วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องที่จินหลิง ผู้น้อยเองก็ไม่มีทางเลือก ขอเอ้อกั๋วกงให้อภัยด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
เอ้อกั๋วกงโบกมือ มองหนานกงมั่ว เอ่ย “ข้าไม่รู้ว่าเจ้ามีเรื่องแค้นเคืองอันใดกับฝ่าบาท แต่เรื่องที่จินหลิงอย่างไรฝ่าบาทก็ทำไม่ถูก ข้ามาครั้งนี้ก็ไม่ได้มาเพื่อเอาความกับจวิ้นจู่”
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว มองเอ้อกั๋วกงผมสีเทาเริ่มขาวตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจความหมายของเขานัก เอ้อกั๋วกงส่งเสียงหยัน “จวิ้นจู่และคุณชายเว่ยมีพระคุณต่อชีวิตของฮองเฮา ต่อให้ข้าไม่รู้ความก็ยังรู้ว่าบุญคุณต้องตอบแทน เรื่องในจินหลิง จวิ้นจู่เองไม่ต้องเอามาใส่ใจ” แม้ตอนแรกที่ได้สติรู้ว่าถูกหนานกงมั่วหลอกใช้จะรู้สึกโกรธอยู่บ้าง แต่เมื่อคิดได้แล้วก็ไม่มีอันใดต้องเอ่ยอีก ฮ่องเต้มีจุดประสงค์ชัดเจนว่าจะเอาชีวิตเว่ยซื่อจื่อและซิงเฉิงจวิ้นจู่ จะไม่ให้พวกเขาปกป้องตนเองหรือ หากเว่ยจวินมั่วและหนานกงมั่วทำความผิดร้ายแรงไม่อาจให้อภัยได้ยังว่าได้ แต่การกระทำเช่นนั้นของฝ่าบาทเห็นชัดว่าทำไปเพราะเรื่องส่วนตัว อีกด้าน เอ้อกั๋วกงยังชื่นชมต่อปัญญาของหนานกงมั่ว มาครั้งนี้ก็เพื่อมาพูดคุยให้ชัดเจน หนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วช่วยชีวิตฮองเฮาและองค์ชายน้อยสองชีวิต สำหรับตระกูลหยวนแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญกว่าสิ่งใด
หนานกงมั่วหลุบตาลง เอ่ยเสียงเบา “เอ้อกั๋วกงกล่าวหนักแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ข้าควรทำ”
เอ้อกั๋วกงมองไปยังหนานกงมั่วและองค์หญิงฉังผิง เอ่ยเสียงเข้ม “เรื่องครั้งนี้เป็นฝ่าบาทเองที่ทำไม่ถูก แต่ว่า…ฝ่าบาทอายุยังน้อย ถ้าหากฝ่าบาท…กลับตัวกลับใจ ต้าจั่งกงจู่ เว่ยซื่อจื่อ อีกทั้งซิงเฉิงจวิ้นจู่ยินยอม…” ไม่รอให้เอ้อกั๋วกงเอ่ยจบ หนานกงมั่วพลันเอ่ยขึ้น “กั๋วกง ขอบคุณสำหรับน้ำใจของท่าน แต่ว่า…เรื่องนี้คงไม่ใช่พระประสงค์ของฝ่าบาทใช่หรือไม่”
เอ้อกั๋วกงชะงัก พยักหน้าเบาๆ เอ่ย “ขอเพียงจวิ้นจู่และเว่ยซื่อจื่อยินยอม ข้าจะให้ฐานะของตระกูลข้าเพื่อคุ้มกันความปลอดภัยแก่พวกท่านทั้งสาม”
หนานกงมั่วส่ายศีรษะ เอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “กั๋วกง จิตใจของฝ่าบาท เกรงว่าท่านคงยังไม่เข้าใจ หากพวกข้ากลับจินหลิงไป อย่าว่าแต่ชีวิตของตระกูลท่านเลย เกรงว่าต่อให้ต้องชดใช้ด้วยชีวิตเชื้อพระวงศ์ทั้งหมด ฝ่าบาทก็ไม่มีทางเปลี่ยนความคิดเป็นแน่”
เอ้อกั๋วกงตกใจ “ไยจึงเป็นเช่นนี้เล่า” ในสายตาของเอ้อกั๋วกง ปมในใจของเซียวเชียนเยี่ยที่มีต่อเว่ยจวินมั่วและหนานกงมั่วนั้นคงเป็นเพราะอดีตฮ่องเต้ให้ความสำคัญต่อเว่ยจวินมั่วและการที่เว่ยจวินมั่วไม่ไว้หน้าฮ่องเต้หลายต่อหลายครั้งเท่านั้น ส่วนเรื่องของวังจื่อเซียว การก่อตั้งสำนักมือสังหารเป็นการส่วนตัวแม้จะเป็นเรื่องใหญ่ แต่เพียงสลายวังจื่อเซียว ยอมรับผิดอย่างจริงใจ ยังมีหลิงอี๋ต้าจั่งกงจู่รวมไปถึงเยี่ยนอ๋องฉีอ๋องคอยปกป้อง อย่างไรฝ่าบาทก็ต้องให้อภัย ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้กองทัพขาดแคลนแม่ทัพผู้มีความสามารถ เดิมทีเอ้อกั๋วกงนั้นชื่นชอบเว่ยจวินมั่ว แม้รู้ว่าฝ่าบาทระแวงเยี่ยนอ๋องไม่ยอมให้เว่ยจวินมั่วมีกำลังทหารในมือมาก ทว่าเว่ยจวินมั่วนั้นเป็นคนมีความสามารถรอบด้านที่หาได้ยากยิ่ง
คนมีความสามารถเช่นนี้ถูกบีบบังคับให้หนีมาอยู่โยวโจว แม้จะมีเยี่ยนอ๋องคอยสนับสนุน ทว่ายังนับว่าน่าเสียดายแล้ว
หนานกงมั่วเอ่ย “ทางที่ดีเอ้อกั๋วกงอย่าได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ต่อฝ่าบาทเลยเจ้าค่ะ มิเช่นนั้นเกรงว่าจะไม่เป็นการดีต่อตัวท่านกั๋วกงเองด้วย” หนานกงมั่วไม่คิดสงสัยว่าเอ้อกั๋วกงจะเป็นคนที่เซียวเชียนเยี่ยส่งมาโน้มน้าว เซียวเชียนเยี่ยต่อให้โง่เพียงใดก็รู้ว่าเพราะเหตุผลนั้นอย่างไรพวกนางก็ไม่มีทางกลับไปจินหลิงอีกแล้ว ไม่ว่าจะส่งใครมาเกลี้ยกล่อมก็ไม่ต่างกัน ยิ่งไปกว่านั้นจะให้เอ้อกั๋วกงหลอกพวกเขาให้กลับไป เขาก็ต้องบอกเหตุผลที่ต้องสังหารเว่ยจวินมั่ว เพียงแต่ช่วงนี้เซียวเชียนเยี่ยคงไม่ยอมบอกเล่าเหตุผลนี้แก่เอ้อกั๋วกงผู้ซื่อตรงอย่างแน่นอน
เอ้อกั๋วกงขมวดคิ้ว หนานกงมั่วเอ่ยชัดเจนเพียงนี้แล้วเอ้อกั๋วกงก็เข้าใจว่าคงมีเรื่องที่เขายังไม่รู้อยู่อีก สำหรับเซียวเชียนเยี่ยบุตรเขยผู้นี้ เดิมทีเอ้อกั๋วกงคิดว่าตนเองยังเข้าใจเขาอยู่บ้าง แต่หลังจากเขาขึ้นครองบัลลังก์เป็นต้นมาจึงพบว่าตนเองนั้นไม่เคยเข้าใจเขาเลย อย่างเช่นเรื่องระหว่างเซียวเชียนเยี่ยและเซียวฉุนเขาก็ไม่รู้เรื่องอันใดเลย กับเรื่องลอบสังหารเว่ยจวินมั่วเยี่ยงนี้เขายิ่งไม่เข้าใจเลยแม้เพียงนิด เขานึกถึงคำพูดของเซียวฉุนในคืนปิดล้อมพระราชวัง และท่าทางที่เซียวเชียนเยี่ยต้องการชิงสังหารเซียวฉุนก่อนโดยไม่สนสิ่งใดทั้งสิ้น เอ้อกั๋วกงรู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้ ไม่กล้าคิดต่อไป
เห็นท่าทีของเอ้อกั๋วกง หนานกงมั่วก็รู้ว่าเขาเข้าใจแล้ว ความจริงหลายเรื่องไม่ใช่ว่าผู้คนจะดูไม่ออก เพียงแต่พวกเขายินดีที่จะไม่เข้าใจต่อไป เพียงมีคนเอ่ยเตือน ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ไม่รับรู้ใดๆ แล้ว
เมื่อเข้าใจแล้ว สีหน้าของเอ้อกั๋วกงยิ่งตึงเครียดขึ้นมา ไม่เพียงเพื่อหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่ว เขายังกังวลเผื่ออนาคตของต้าเซี่ยอีกด้วย ฝ่าบาทส่งเขาและโจวเซียงมายังโยวโจว เห็นชัดว่าไม่ไว้ใจต่อเยี่ยนอ๋อง แต่ว่าตอนนี้…ฮ่องเต้ไม่คิดเลยหรือว่าการกระทำของพระองค์นั้นรีบร้อนเกินไป เพิ่งขึ้นครองบัลลังก์ได้ครึ่งปีก็คิดโจมตีผู้ปกครองเมือง เกรงว่าหากรัชทายาทเป็นผู้ขึ้นครองบัลลังก์ก็คงไม่รีบร้อนเพียงนี้
หนานกงมั่วและองค์หญิงฉังผิงนั่งดื่มชาอยู่ด้านข้างเงียบๆ เนิ่นนาน เอ้อกั๋วกงจึงพ่นลมหายใจออกมา ยกมือขึ้นประสานหันไปยังองค์หญิงฉังผิง “กระหม่อมมุทะลุ ขอต้าจั่งกงจู่ได้โปรดอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”