หมอหญิงยอดมือสังหาร - ตอนที่ 1236-4 ภพนี้ได้เจอเจ้า โชคดีสามภพ
ตอนที่ 1236-4 ภพนี้ได้เจอเจ้า โชคดีสามภพ
“กรี๊ด” ปิ่นปักผมผ่านทะลุผู้คนไป เฉียดเข้าที่ใบหน้าของจูชูอวี้ เดิมทีจะปักเข้าที่ลำคอของจูชูอวี้ น่าเสียดายที่ยามนี้หนานกงมั่วไม่มีกำลังภายในแล้วจริงๆ เมื่อถูกคนขวางเอาไว้จึงลอยไปโดนใบหน้าของจูชูอวี้ เช่นนี้ ใบหน้าของจูชูอวี้จึงมีรอยแผลลึกที่เต็มไปด้วยเลือดขึ้นมา
เมื่อร่วงมาอยู่ด้านข้างเว่ยจวินมั่ว หนานกงมั่วจึงเอ่ยอย่างจนปัญญา “ข้าไม่เป็นไร ท่านโกรธอันใดกัน”
เว่ยจวินมั่วก้มหน้ามองนาง “ก่อนหน้านี้ไม่มีแผนนี้ ข้าไม่ชอบ”
“…” ก่อนหน้านี้ข้าก็ไม่คิดว่าฮองเฮาจะถูกจับตัวนี่
“หนานกงมั่ว!” จูชูอวี้ยกมือกุมใบหน้า เลือดไหลซึมไม่หยุดออกมาจากง่ามนิ้วของนาง นางจ้องมองคู่รักสองคนนั้นด้วยใบหน้าโกรธแค้น
หนานกงมั่วมองไปที่นางอย่างรู้สึกผิด “ขอโทษด้วย กำลังไม่พอพลาดไปเล็กน้อย” รูปโฉมของสตรีสำคัญยิ่งกว่าชีวิต ระหว่างที่เอ่ย ไม่รู้หยิบยาหนึ่งเม็ดมาจากที่ใดยัดเข้าปาก พร้อมยิ้มบางให้กับจูชูอวี้ เอ่ย “การไม่มีกำลังภายใน สำหรับข้าแล้วไม่ได้มีผลต่อการฆ่าคน” ชาติที่แล้วนางไม่ได้มีกำลังภายในก็ไม่ได้ฆ่าคนหรอกหรือ เพียงแต่ไม่อาจช่วยฮองเฮาได้ ยังรู้สึกเสียดายเล็กน้อย จูชูอวี้เองไม่ได้โง่ ฮองเฮามีสถานะพิเศษ ร่างกายก็ไม่ดี ต่อให้หนานกงมั่วมีกำลังภายในการช่วยฮองเฮาก็มิใช่เรื่องง่าย จัดการกับคนด้านข้างฮองเฮาไม่ยาก แต่จะพาฮองเฮาที่ร่างกายอ่อนแอหนีไปด้วยนับว่าเป็นเรื่องยุ่งยาก
ฮ่องเต้ไท่ชูเห็นหนานกงมั่วหลุดออกมาได้ก็โล่งใจ แม้ว่าเขาจะไม่ได้เห็นหนานกงมั่วสำคัญที่สุด แต่เขารู้ถึงตำแหน่งของลูกสะใภ้ผู้นี้ในใจของบุตรชาย เขารู้ว่าเว่ยจวินมั่วไม่มีทางสังหารตนเพราะหนานกงมั่ว แต่หากเกิดอันใดขึ้นกับหนานกงมั่ว เกรงว่าบุตรชายที่เก่งกาจผู้นี้ของเขาคงได้พังทลายแล้ว ในเมื่อไม่มีสิ่งใดต้องพะวง แน่นอนว่าจัดการอันใดได้ง่ายขึ้นมาก
ฮ่องเต้ไท่ชูกวาดตามองผู้คนเงียบๆ เอ่ย “พอแล้ว ข้าไม่มีเวลามาเล่นโอ้อวดความเป็นเลิศกับพวกเจ้า น้องหก ข้าคิดไม่ถึงว่าเจ้าจะยื่นเท้าเข้ามายุ่ง”
แรกเริ่มทุกคนก็ไม่ได้สังเกตเห็นโจวอ๋องที่เดินตามหลังจูชูอวี้เข้ามา ได้ยินสิ่งที่ฮ่องเต้ไท่ชูเอ่ยจึงมองไป ด้านหลังของกลุ่มคนมีชายร่างอ้วนท้วมในอาภรณ์ชินอ๋องสีหน้าไม่ดีนักเดินออกมา ไม่ใช่โจวอ๋องจะเป็นผู้ใดเล่า
ฮ่องเต้ไท่ชูเอ่ยถาม “เจ้าทำเพื่อบุตรชายของเจ้าหรือ”
โจวอ๋องยิ้มเย็นไม่เอ่ยวาจา ฮ่องเต้ไท่ชูส่ายศีรษะ เอ่ย “ไม่ บุตรชายตายไปเจ้าคงจะเสียใจ แต่ยังไม่เพียงพอให้เจ้าทำเรื่องเช่นนี้ หากเจ้ามีความโกรธแค้นฝังลึกเพียงนั้น ตอนนั้นที่ข้าต่อสู้กับเซียวเชียนเยี่ยเจ้าต้องยื่นมือออกมาแต่ไม่ใช่ในเวลานี้ ร่วมมือกับโจวเซียง เขาสัญญาอันใดกับเจ้า อนาคตหากเซียวเชียนเยี่ยได้บัลลังก์กลับคืน เจ้าจะได้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนอย่างนั้นหรือ เจ้าเชื่อเขาง่ายเพียงนี้เลยหรือ หรือว่า…เจ้าคิดจะเป็นตั๊กแตนไล่จับจั๊กจั่น แล้วนกขมิ้นอยู่ข้างหลังใช่หรือไม่ รอโจวเซียงจัดการข้าได้ เจ้าจึงจะชิงเอาผลประโยชน์อย่างนั้นหรือ อย่างไรโจวเซียงดูแล้วคงมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงสองปี ใช่หรือไม่”
โจวอ๋องมองฮ่องเต้ไท่ชู เอ่ยเสียงเย็น “ในเมื่อพระองค์รู้แล้ว ยังมีอันใดให้ถามกันเล่า”
ฮ่องเต้ไท่ชูส่ายศีรษะ เอ่ย “ข้าเพียงอยากรู้ สำหรับเจ้าแล้วบัลลังก์สำคัญเพียงนี้เลยหรือ”
โจวอ๋องราวกับได้ยินเรื่องตลก มองฮ่องเต้ไท่ชูด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “คำถามนี้ ไม่ใช่ว่าพี่สามเข้าใจเป็นอย่างดีหรอกหรือ บัลลังก์ไม่สำคัญ ท่านก่อกบฏทำไมเล่า อ้อ ท่านเรียกว่าสยบความวุ่นวาย”
ฮ่องเต้ไท่ชูไม่ได้สนใจการเย้ยหยันของเขา เอ่ย “ข้าถาม ในเมื่อบัลลังก์สำคัญกับเจ้าเพียงนี้ ไยตอนแรกเจ้าจึงไม่ลงมือ ข้าต้องการบัลลังก์ ข้าไปเอามันมาด้วยตนเอง แต่เจ้า ทำได้เพียงขโมยหรือ” โจวอ๋องกัดฟัน เส้นเลือดบนใบหน้าหดเกร็ง ฮ่องเต้ไท่ชูมองเขา เห็นชัดว่าเป็นการมองธรรมดาทว่ากลับดูเป็นการมองต่ำลงมาจากที่สูง “เจ้าไม่กล้า เจ้ากลัวตาย”
โจวเซียงมุมปากกระตุก ราวกับถูกกระตุ้น กัดฟันพลางเอ่ย “ท่านเพียงโชคดีกว่าข้าเท่านั้น มีบุตรชายที่ร้ายกาจ ยังมีบุตรสะใภ้ที่ร้ายกาจอีกด้วย เซียวโยว ท่านคิดว่าท่านแข็งแกร่งกว่าข้าเท่าใดกัน”
“ดังนั้น เจ้ากำลังริษยาข้าหรือ” ฮ่องเต้ไท่ชูเลิกคิ้ว เอ่ย “กลัวตายก็อยู่เฉยๆ ข้าไม่เกลียดคนที่แสดงตัวออกมาเป็นศัตรูกับข้าอย่างโจ่งแจ้ง แต่ว่า…ไม่ชอบคนที่คอยลอบสร้างความปั่นป่วนให้กับข้า เพื่อลากพวกเจ้าออกมาทั้งหมด ข้าต้องยอมทนกับโจวเซียงมากว่าครึ่งปี นับว่าคุ้มค่า”
สีหน้าโจวอ๋องพลันเปลี่ยน “ท่านรู้มาตั้งแต่แรก…”
ฮ่องต้ไท่ชูเอ่ย “เรื่องที่ข้าต้องทำมีมากมาย เวลาครึ่งปีเป็นเวลานานที่สุดที่ข้าจะให้ได้แล้ว ข้าเองไม่อยากรับมือกับความวุ่นวายอันไม่มีที่สิ้นสุดของพวกเจ้าต่อไป แต่ว่าข้าคาดไม่ถึงจริงๆ ว่ายังมีเจ้า น้องหก เจ้าทำให้ข้าผิดหวังแล้ว”
โจวอ๋องชะงักไปชั่วครู่ ในที่สุดก็ก้มหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรง เนิ่นนานก่อนจะถอนหายใจยาว “ข้าสู้ท่านไม่ได้”
ฮ่องเต้ไท่ชูไม่มองโจวอ๋องอีก สายตาวาดผ่านจูชูอวี้ เซียวเชียนเหว่ย สุดท้ายมาหยุดอยู่ที่โจวเซียง
โจวเซียงสีหน้าไม่เปลี่ยน มองฮ่องเต้ไท่ชูพร้อมถอนหายใจ เอ่ย “เจ้าเป็นคนที่คล้ายอดีตฮ่องเต้ที่สุดแล้ว ตอนแรกเจ้าปล่อยข้าไป ข้าคิดเพียงว่าเจ้าทำเพื่อชื่อเสียง ไม่คิดว่า…หากตอนแรกข้าใช้ชีวิตอยู่เงียบๆ เจ้าจะทำเยี่ยงไร” ฮ่องเต้ไท่ชูส่งเสียงหยัน “หากเจ้าใช้ชีวิตอยู่เงียบๆ ไยข้าต้องสนใจเจ้า” โจวเซียงที่อยู่นิ่งเฉยเป็นเพียงคนแก่ที่ไร้ประโยชน์เท่านั้น ไม่มีค่าให้ฮ่องเต้ไท่ชูต้องสนใจ
โจวเซียงเพียงยิ้ม พยักหน้าเอ่ยชื่นชม “เอ่ยได้ไม่เลว เพียงแต่เรื่องมาถึงขั้นนี้…พระชายาฉู่อ๋องหลุดออกไปได้แล้ว ไม่รู้ว่าฝ่าบาทจะเอาสิ่งใดมาแลกฮองเฮากลับคืนไป”
“ไม่จำเป็น” ฮองเฮาที่ถูกคนจับกุมตัวอยู่อีกฝั่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“เสด็จแม่” ตั้งแต่ต้นจนจบ ฮองเฮาไม่เอ่ยแม้เพียงประโยค ยามนี้พลันเอ่ยขึ้น เซียวเชียนเหว่ยสามพี่น้องเองก็เอ่ยเรียกอย่างอดไม่ได้
ฮองเฮามองไปยังเซียวเชียนเหว่ยที่แววตาเต็มไปด้วยความละอายใจ พยักหน้าพลางเอ่ย “ลูกชายที่ข้าสั่งสอนมา”
“เสด็จแม่…” กระบอกตาของเซียวเชียนเหว่ยแดงขึ้น มองฮองเฮาด้วยความเจ็บปวด
ฮองเฮาไม่มองเขาอีก หันมองไปยังเซียวเชียนชื่อและเซียวเชียนจย่ง สายตาอ่อนโยนขึ้นมาก เอ่ยเสียงเบา “ชื่อเอ๋อร์ จย่งเอ๋อร์ พวกเจ้าดีมาก”
“เสด็จแม่” เซียวเชียนชื่อสองพี่น้องเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
ฮองเฮามองไปยังฮ่องเต้ไท่ชู เอ่ย “ฝ่าบาท หม่อมฉันไร้ความสามารถสั่งสอนลูก ทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้ ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องกังวลต่อหม่อมฉัน”
“เสด็จแม่ เสด็จพ่อ” เซียวเชียนชื่อสองพี่น้องตื่นตกใจ ตะโกนเสียงดังด้วยความหวาดกลัว เซียวเชียนจย่งจะรีบพุ่งไปข้างหน้า “ปล่อยเสด็จแม่ของข้า เซียวเชียนเหว่ย เจ้ามันคนเนรคุณ” ทว่าถูกคนด้านข้างกดไหล่เอาไว้ไม่อาจขยับตัวได้ เขาที่ร้อนใจปล่อยหมัดออกไปโดยที่ไม่มอง แรงที่กดลงมาบนบ่าไม่เบา เสียงของเว่ยจวินมั่วดังขึ้นข้างหูเขา “อย่าทำอันใดบุ่มบ่าม”
“พี่ใหญ่” เซียวเชียนจย่งได้สติ รีบจับเว่ยจวินมั่วเอาไว้ “พี่ใหญ่ ช่วยเสด็จแม่ของข้าด้วย ได้โปรด”
เว่ยจวินมั่วตบไหล่ของเขาเบาๆ “วางใจ”
ฝั่งงานเลี้ยงด้านหน้าจุดดอกไม้ไฟขึ้นมาอีกครั้ง เว่ยจวินมั่วหันไปเอ่ยกับฮ่องเต้ไท่ชู “เสด็จพ่อ ถึงเวลาแล้ว เสด็จพ่อต้องไปรับคำอวยพรจากเหล่าขุนนางที่ด้านหน้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ทุกคนพลันนึกขึ้นได้ ยามนี้ฟ้ามืดลงแล้ว ถึงเวลาที่งานเลี้ยงต้องเริ่มแล้ว ต่อให้ไปสาย ก็ต้องมีเหตุผลที่สมเหตุสมผล
ฮ่องเต้ไท่ชูมองฮองเฮา กังวลเล็กน้อย แม้ว่าเขากับฮองเฮาจะไม่ได้มีความสัมพันธ์อย่างเว่ยจวินมั่วและหนานกงมั่ว ทว่าก็เป็นสามีภรรยากันมายี่สิบกว่าปีจนกลายเป็นคนสนิทที่สุดของกันและกันไปแล้ว ฮองเฮาถูกจับกุมตัว แม้ฮ่องเต้ไท่ชูจะไม่อาจรับปากต่อข้อเสนอใดๆ ของโจวเซียง แต่ก็ไม่ต้องการให้เกิดเรื่องอันใดกับนาง
หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “เสด็จพ่อวางใจ ที่นี่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเราเถิดเพคะ”
ฮ่องเต้ไท่ชูถอนหายใจ พลันเข้าใจความหมายของหนานกงมั่ว พยักหน้าแล้วจึงเอ่ย “เช่นนี้ ความปลอดภัยของฮองเฮาให้เป็นหน้าที่ของพวกเจ้าแล้ว”
“ขอเสด็จพ่อวางใจเป็นพอเพคะ” หนานกงมั่วเอ่ย
ฮ่องเต้ไท่ชูไม่เอ่ยอันใดมาก โบกมือพาเซวียเจินจากไปแล้ว หาได้ยากที่จะเห็นโจวเซียงมีใบหน้าเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวคล้ำ หนานกงมั่วหัวเราะขึ้นมาอย่างพออกพอใจ สำหรับโจวเซียงแล้ว มีเรื่องอันใดน่าโมโหยิ่งกว่าการจัดฉากขึ้นมาหนึ่งฉาก สุดท้ายตัวละครแสดงไปได้เพียงครึ่ง นักแสดงตัวสำคัญบอกว่าเบื่อจากนั้นถอนตัวออกไปแล้วเล่า
สิ่งที่โจวเซียงทำทั้งหมดเพื่อทำให้ฮ่องเต้ไท่ชูลำบาก ฮ่องเต้ไท่ชูไปแล้ว ต่อให้มีตัวเบี้ยมากเพียงใดก็กลายเป็นละครน่าเบื่อและน่าตลก ต่อให้ฮองเฮาตายต่อหน้าเว่ยจวินมั่วแล้วอย่างไร เซียวเชียนเหว่ยและเซียวเชียนจย่งก็อยู่ ความผิดก็ยังตกไปอยู่ที่เซียวเชียนเหว่ยบุตรชายแท้ๆ ผู้นี้อยู่ดี ยังห่างไกลกับเว่ยจวินมั่วผู้เป็นบุตรชายของภรรยาคนเก่าอยู่มาก ต่อให้ถูกแพร่งพรายออกไปส่งผลต่อชื่อเสียงของเว่ยจวินมั่ว เช่นนั้นผลกระทบก็ยังมีขีดจำกัด
ห้องทรงอักษรถูกความเงียบเข้าปกคลุม เนิ่นนานก่อนจะได้ยินเสียงโจวเซียงดังขึ้น “ฉู่อ๋อง เยี่ยมยอดเสียจริง เพื่อคืนนี้ เกรงว่าฉู่อ๋องเองก็คงลงทุนไปไม่น้อยกระมัง การก่อกบฏ เงียบหายไปในวังหลัง แม้แต่งานเลี้ยงด้านหน้ายังไม่ได้รับผลกระทบแม้เพียงนิด” เว่ยจวินมั่วเอ่ยเสียงเย็น “ปล่อยฮองเฮา ยอมจำนนเสีย”
โจวเซียงเอ่ยเสียงเย็น “หากข้าบอกว่าไม่เล่า”
เว่ยจวินมั่วโบกมือ คนผู้หนึ่งถูกพาตัวมาอยู่ต่อหน้าผู้คน คนผู้นั้นถูกโยนลงบนพื้น พยายามลุกขึ้นนั่งจึงมองออกว่าเป็นเซียวเชียนเยี่ย สีหน้าโจวเซียงพลันเปลี่ยน กัดฟันเอ่ย “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขา”
ลิ่นฉังเฟิงรู้สึกน่าขัน “ท่านผู้เฒ่าโจว นับตั้งแต่ท่านเริ่มเรื่องเหล่านี้ขึ้นมา เรื่องเหล่านี้ก็ไม่มีทางที่จะไม่เกี่ยวกับเขาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ท่านมีเงินมากมายไปซื้อตัวมือสังหาร คงเพราะเขาให้กระมัง” เซียวเชียนเยี่ยนั่งอยู่บนพื้น มองสิ่งตรงหน้าทั้งหมด แม้จะหวาดหวั่นแต่ก็ไม่แก้ตัวให้ตนเองราวกับยอมรับเรื่องทั้งหมดอยู่เงียบๆ
โจวเซียงเอ่ยเสียงดัง “เรื่องทั้งหมดข้าทำเพียงคนเดียว เขาคือคนที่อดีตฮ่องเต้ส่งต่อราชบัลลังก์ให้ เซียวโยวแย่งชิงบัลลังก์ของเขาไปยังไม่พอ ยังคิดสังหารเขาอีกหรือ ไม่เกรงกลัวต่อปากของราษฎร ต่อประวัติศาสตร์ที่ราวกับคมมีดหรอกหรือ”
กระบี่อ่อนในมือของเว่ยจวินมั่วสะบัด เอ่ยเสียงเรียบ “คนที่สังหารเขาไม่ใช่เสด็จพ่อ เป็นข้า”
“เจ้า…” โจวเซียงจ้องมองเขา ริมฝีปากขยับทว่าไม่ได้เอ่ยสิ่งใด หนานกงมั่วเอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะ “ท่านโจว ท่านใช้เวลายาวนาน ความจริงเป้าหมายคงสำเร็จแล้วกระมัง” โจวเซียงเงียบ หนานกงมั่วเอ่ย “สร้างความวุ่นวายใหญ่หลวงเพียงนี้ ทำให้รู้สึกว่าทั่วเมืองจินหลิงไม่สงบ ชักจูงองค์ชายผู้หนึ่ง ตระกูลขุนนางหลายตระกูลสร้างความปั่นป่วนเช่นนี้ ต่อให้เสด็จพ่อซุกซ่อน ตระกูลขุนนางมากมายเพียงนี้ไม่ใช่จะจัดการเงียบๆ ได้ ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ยุยงให้องค์ชายก่อกบฏ…มากพอให้เสด็จพ่อลำบากแล้ว เดิมที่ท่านก็ไม่คิดว่าจะสำเร็จทั้งหมดมิใช่หรือ”
โจวเซียงยิ้ม “พระชายาฉู่อ๋องช่างฉลาด หากไม่มีทั้งสองพระองค์อยู่ ข้าก็มั่นใจว่าต่อให้ไม่สำเร็จถึงสิบส่วนแต่ก็คงสำเร็จกว่าแปดส่วน ต่อให้สุดท้ายจะสูญเปล่า…บัลลังก์ของเซียวโยวก็คงไม่อาจมั่นคงได้ น่าเสียดาย…ไม่ใช่เวลาของข้า สวรรค์ไม่เข้าข้างข้า ทำอย่างไรได้”
หนานกงมั่วเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไยท่านโจวจึงไม่ถือโอกาสวางมือเสีย”
“วางมือหรือ” สีหน้าของโจวเซียงแปลกประหลาด หนานกงมั่วเอ่ย “ท่านโจวคงจะไม่รู้ เสด็จพ่อที่เป็นฮ่องเต้บางทีอาจต้องกังวลเรื่องชื่อเสียง แต่ว่า…เราสองสามีภรรยากลับไม่มีความกังวลนั้น ส่วนประวัติศาสตร์ มีตำราประวัติศาสตร์สักี่เล่มกันที่เป็นความจริง แล้วมีความจริงมากมายเพียงใดที่หายไปจากประวัติศาสตร์ หลังจากข้าตาย ใครจะสนใจเล่าว่าชื่อเสียงจะเหม็นเน่าไปเป็นหมื่นปีหรือไม่”
“หรือว่าในอนาคตฉู่อ๋องจะไม่ขึ้นครองบัลลังก์หรือ” โจวเซียงโต้แย้ง เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อคำของหนานกงมั่ว
กระบี่ในมือของเว่ยจวนมั่วถูกส่งจ่อไปที่คอของเซียวเชียนเยี่ย เอ่ยเสียงเย็น “ไม่เกี่ยวกับเจ้า ปล่อยคนเสีย”
โจวเซียงมองเว่ยจวินมั่วอยู่นาน ก่อนจะส่ายศีรษะ หันกลับไปโค้งคำนับเซียวเชียนเยี่ยอย่างนอบน้อม ถอนหายใจเอ่ย “ฝ่าบาท กระหม่อมไร้ความสามารถ…ความผิดครั้งนี้ไม่อาจให้อภัยได้”
“ท่านโจว…” เซียวเชียนเยี่ยที่นิ่งเงียบในที่สุดก็เงยหน้าขึ้นมา มองไปยังโจวเซียงพร้อมถอนหายใจยาว เอ่ย “เป็นข้าที่ไร้ความสามารถ ทำให้ท่านโจวต้องทำเช่นนี้ ไยท่านต้อง…”
เสียงหัวเราะของโจวเซียงดูสิ้นหวัง “กระหม่อม…กระหม่อมเพียงไม่อาจยอมได้ นึกถึงกระหม่อมที่มีชื่อเสียงดังแต่ยังเยาว์ ทว่าระหกระเหินเร่ร่อนกว่าครึ่งชีวิต ได้รับความเมตตาจากฝ่าบาทและอดีตองค์รัชทายาท สุดท้ายกลับ…ทำสิ่งใดไม่สำเร็จสักอย่าง…” คุณชายฉังเฟิงลูบจมูก เอ่ย “ทำสงครามบนกระดาษ มีความรู้สูงส่งทว่าไร้ความสามารถจะโทษผู้ใดได้ เจ้าเอาเวลาวางแผนมากมายไปศึกษาวิธีการปกครองแผ่นดิน ก็คงไม่เกิดเรื่องมากมายเพียงนี้แล้ว”
‘พรวด!’ โจวเซียงชะงัก เลือดพุ่งกระเด็นออกมาจากปาก เงยหน้าขึ้นไปมองลิ่นฉังเฟิงด้วยความโกรธ
เซียวเชียนจย่งลังเลอยู่ชั่วครู่ ยังคงเอ่ย “คุณชายฉังเฟิง อย่า…” เขาไม่ได้กลัวว่าลิ่นฉังเฟิงจะทำให้ตาเฒ่านั่นโกรธจนตาย เขาเพียงกลัวว่าตาเฒ่านั้นจะโกรธและทำร้ายเสด็จแม่
ลิ่นฉังเฟิงเอ่ยอย่างเกียจคร้าน “ข้าเอ่ยไม่ผิดนี่นา คนมักคิดว่าการวางอุบายนับเป็นพรสวรรค์ ตาเฒ่านี่สร้างเรื่องใหญ่โตได้เพียงนี้ ใช้ความสามารถนี้มาช่วยเซียวเชียนเยี่ยปกครองให้ดี เซียวเชียนเยี่ยก็ไม่ต้องโชคร้ายเพียงนั้นมิใช่หรือ”
‘พรวด!’ โจวเซียงกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง หัวเราะเสียงดังขึ้นมา ทุกคนมองไปที่เขาเงียบๆ โจวเซียงหัวเราะพอแล้วก็ลุกขึ้นมา เอ่ย “ดี ดี ดี ฝ่าบาท กระหม่อมมีความผิด กระหม่อมสมควรตาย” ยังเอ่ยไม่ทันจบ ก็เห็นโจวเซียงหมุนตัวพุ่งเข้าหาดาบของคนที่ยืนอยู่ด้านข้าง อีกฝ่ายกำลังคอยระแวงเหล่าเว่ยจวินมั่ว ไหนเลยจะคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ไม่ทันได้คิดอันใดมาก รีบเบี่ยงตัวหลบโจวเซียงที่พุ่งเข้าหาดาบ การพุ่งตัวในครั้งนี้ของโจวเซียงกลับใช้กำลังเต็มที่ แม้จะถูกคนเบี่ยงตัวหลบไปแล้วแต่ก็ไม่ได้ลดกำลังลง ชนเข้ากับเสาโคมไฟหินอ่อนที่อยู่ด้านหลัง เสียงดังโครมขึ้นมาร่างทั้งร่วงลงไปกองอยู่บนพื้น รอยสีแดงบนเสาค่อยๆ ไหลลงมา
“ท่านโจว!” เซียวเชียนเยี่ยร้องเรียก
โจวเซียงหันไปมองอย่างยากลำบาก “ฝ่าบาท…กระหม่อม กระหม่อม…มีความผิด…สมควรตาย…”
โจวเซียงเบิกตากว้าง เสียงพลันหายไป ปัญญาชนผู้นี้ผ่านยุคของฮ่องเต้กว่าสามพระองค์ มีอำนาจอยู่ในมือจริงๆ คงเป็นช่วงเวลาห้าปีที่เซียวเชียนเยี่ยอยู่บนบัลลังก์เท่านั้น เขาหนีรอดจากความตายเมื่อครั้งฮ่องเต้ไท่ชูขึ้นครองบัลลังก์ สุดท้ายกลับต้องมาตายในลักษณะคล้ายกับสหายของเขาอย่างหันหมิ่นในสถานที่ที่ไม่ได้แตกต่างกันนัก
ตายตาไม่หลับ
มองร่างของโจวเซียง เซียวเชียนเยี่ยร้องไห้เสียงดังขึ้นมา
เห็นเช่นนั้น หนานกงมั่วก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ โจวเซียงและหันหมิ่นคนเช่นนี้แม้จะไม่เป็นที่ชื่นชอบนัก แต่แม้พวกเขาจะล้มเหลวแต่ก็ไม่ทำให้คนต้องดูหมิ่นได้ แม้เป็นคนที่เกลียดพวกเขา หนานกงมั่วยังอดรู้สึกนับถือไม่ได้ เพราะความเมตตาของอดีตองค์รัชทายาท พวกเขายอมตายเพื่อตอบแทน พวกเขาดื้อด้าน เชื่อในความคิดของตนเอง บางทีสิ่งที่พวกเขายืนหยัดอาจไม่ถูกต้อง แต่ความถูกผิดจะมีสักกี่คนที่แยกแยะได้อย่างชัดเจน พวกเขาต่อสู้กับศัตรูโดยไม่สนสิ่งใด แต่ด้วยความเป็นสุภาพชนทำให้พวกเขาไม่อาจทำนิสัยต่ำช้าน่าขันอย่างแน่นอน
ยืนหยัด ตอบแทนบุญคุณ ต่อสู้กับศัตรูโดยไม่รามือ ใครจะบอกได้ว่าพวกเขาผิดกันเล่า
พวกเขาเพียงพ่ายแพ้เท่านั้น
ด้านข้าง เว่ยจวินมั่วกุมมือนางเบาๆ มือที่เย็นเล็กน้อยกุมมือของนางเอาไว้ ทว่ากลับทำให้นางรู้สึกอบอุ่น หนานกงมั่วหันมองเขาด้วยรอยยิ้มบาง ทุกสิ่งทุกอย่างส่งผ่านหากันโดยไม่ต้องเอ่ยวาจา