หมอหญิงยอดมือสังหาร - ตอนที่ 1224 ยุ่งเหยิง
ตอนที่ 1224 ยุ่งเหยิง
“พี่สะใภ้ใหญ่” เซียวเชียนชื่อทั้งสามรีบก้าวขึ้นมาคารวะ หนานกงมั่วลอยตัวลงมาอยู่ตรงหน้าทุกคน สายตาแฝงไปด้วยรอยยิ้มกวาดผ่านใบหน้าของเซียวเชียนเหว่ยทว่าไม่ได้แฝงไปด้วยความหมายอันใด แน่นอนว่าเซียวเชียนเหว่ยเองก็ไม่สนใจ เพียงตามเซียวเชียนชื่อและเซียวเชียนจย่งเข้าไปคารวะ
ต่อให้ไม่ยอมรับเว่ยจวินมั่วพี่ใหญ่ผู้นี้และหนานกงมั่วพี่สะใภ้ใหญ่ผู้นี้ แต่เมื่อยู่หน้าประตูวังอย่างไรก็ต้องปฏิบัติตามกฎ
เซียวเชียนจย่งประหลาดใจเล็กน้อย “พี่สะใภ้ ท่านจะเข้าวังอีกแล้วหรือ วันนี้เข้าวังเป็นครั้งที่สองแล้ว เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือไม่” หนานกงมั่วยิ้มเอ่ย “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด มีเบาะแสการลอบสังหารเมื่อวานเล็กน้อย ดังนั้นจึงจะเข้าไปทูลต่อเสด็จพ่อ”
“อ้อ เรื่องนี้เองหรือ พี่สะใภ้อย่าได้เสียเวลาอยู่ที่นี่เลย รีบไปเถิด” เซียวเชียนชื่อจับเซียวเชียนจย่งเอาไว้ ไม่ให้เขาเอ่ยมากความ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม หนานกงมั่วพยักหน้า เอ่ย “หลายวันมานี้พวกเจ้าเองก็ลำบากแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้ยังต้องยุ่งอีก”
“พ่ะย่ะค่ะ ขอบพระทัยพี่สะใภ้”
หนานกงมั่วยิ้มหันมาหาเว่ยจวินมั่ว เอ่ย “พวกเราเข้าไปกันเถิด”
เว่ยจวินมั่วพยักหน้าเบาๆ “ไปกันเถิด”
ด้านนอกประตู มองทั้งสองเดินเคียงข้างกันไปแล้วก่อนที่เซียวเชียนชื่อสามพี่น้องจะหันมาเอ่ยลาและแยกย้ายกันไปตามทิศทางของจวนตนเอง บ่าวรับใช้จวนเจิ้งอ๋องคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหาอย่างเร่งรีบ เอ่ยกระซิบเซียวเชียนเหว่ยเพียงไม่กี่ประโยค สีหน้าของเซียวเชียนเหว่ยพลันเข้มขึ้นมารีบเร่งเดินออกไป เซียวเชียนชื่อและเซียวเชียนจย่งที่เดินอยู่ด้านหลังเห็นเช่นนั้นจึงหันมาสบตากัน เซียวเชียนชื่อเอ่ยด้วยความเป็นห่วง “เชียนเหว่ยคงไม่เกิดเรื่องอันใดขึ้นกระมัง” แม้ก่อนหน้านี้เขาจะทะเลาะกับเซียวเชียนเหว่ย แต่หลังจากมีเว่ยจวินมั่วความสัมพันธ์ของสองพี่น้องก็ไม่ได้ตึงเครียดเพียงนั้นแล้ว เพียงแต่ไม่ได้บริสุทธิ์ใจก็เท่านั้น ตั้งแต่เด็กจนโตความสัมพันธ์ของสองพี่น้องก็ธรรมดา แน่นอนว่าไม่อาจคาดหวังให้มีความชิดเชื้อขึ้นมา แต่อย่างไรก็เป็นน้องชายร่วมมารดา ทั้งไม่อยากให้เสด็จพ่อและเสด็จแม่ต้องเสียใจ เซียวเชียนชื่อก็อดเป็นห่วงไม่ได้
เซียวเชียนจย่งส่ายศีรษะ ส่งเสียงหยันในลำคอ เอ่ย “ไม่รู้ว่าเขายุ่งอันใดทั้งวัน มีค่าอันใด ไม่ต้องเอ่ยถึงเสด็จพ่อจะคิดอย่างไร หากพี่ใหญ่…คิดจะแตะต้องเขา ไม่รู้ว่าเขาจะไปเกิดที่ไหนตั้งนานแล้ว”
เซียวเชียนชื่อถลึงตาให้น้องชายอย่างไม่พอใจ “เอ่ยเหลวไหล เสด็จพ่อยังอยู่นะ”
เซียวเชียนจย่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เขาก็อาศัยเสด็จพ่อและเสด็จแม่อยู่มิใช่หรือ” เซียวเชียนจย่งชื่นชอบสนามรบมาตั้งแต่เด็ก นับถือผู้ที่แข็งแกร่ง เขาไม่คิดว่าเซียวเชียนเหว่ยมีใจทะเยอทะยานนั้นเป็นเรื่องผิด แต่การทะเยอทะยานจนมองไม่ออกถึงความสามารถตนเองนั้นน่ารังเกียจนัก หากเซียวเชียนเหว่ยต่อสู้กับเว่ยจวินมั่วด้วยความสามารถใกล้เคียงกัน เขาก็ยินดีชมความสนุก ไม่แน่เห็นแก่การมีมารดาคนเดียวกัน เขาอาจจะช่วยเหลือสักหน่อยก็เป็นได้ แต่ว่าตอนนี้เห็นชัดว่าเว่ยจวินมั่วไม่ได้ใส่ใจด้วยซ้ำ มีเซียวเชียนเหว่ยเพียงคนเดียวที่เอาแต่ทำนั่นทำนี่อยู่ตรงนั้นราวกับคนอื่นเป็นคนโง่
เซียวเชียนชื่อถอนหายใจ ส่ายศีรษะพลางเอ่ย “ช่างเถิด ไปกันเถิด”
ความจริง บางทีหากเสด็จพ่อขึ้นครองบัลลังก์แล้วแต่งตั้งรัชทายาทเลยก็คงไม่มีเรื่องมากมายเพียงนี้กระมัง เพียงแต่เวลานั้นต้องการแต่งตั้งบุตรชายที่เพิ่งรับกลับคืนมาขึ้นเป็นรัชทายาทคงไม่ใช่เรื่องง่าย
ในห้องทรงพระอักษร ฮ่องเต้ไท่ชูฟังรายงานจากหนานกงมั่วนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน ใบหน้านิ่งราวกับผืนน้ำ หนานกงมั่วนั่งอยู่ข้างเว่ยจวินมั่ว หลุบตามองพื้นไม่เอ่ยสิ่งใดอีก เพียงเอ่ยทุกสิ่งทุกอย่างที่สืบได้ไปหนึ่งรอบ ไม่ได้ใส่ความคิดเห็นหรือมุมมองของตนลงไป สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ฮ่องเต้ไท่ชูต้องการหรืออยากจะฟัง
เนิ่นนาน ก่อนจะได้ยินฮ่องเต้ไท่ชูถอนหายใจออกมา เอ่ยถาม “ตระกูลจูและตระกูลลิ่นหรือ”
หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “นับตั้งแต่ปีก่อน ตระกูลลิ่นและตระกูลจูมีเงินจำนวนมากเคลื่อนออกอยู่ตลอดเพคะ เพียงแต่ทิศทางของเงินไม่อาจสืบได้ชัดเจน วันนี้ลิ่นฉังเฟิงกลับจวนสกุลลิ่นถูกจอมยุทธ์ในยุทธภพมากมายเข้ามาล้อมโจมตี หม่อมฉันให้คนนำตัวลิ่นฉังอวิ๋นพี่น้องและลิ่นฮั่นกลับไปสอบสวนที่กองปัญจทิศคุ้มกันเมืองแล้ว แต่เงินจำนวนนี้เมื่อเทียบกับเงินหนึ่งล้านตำลึงทองแล้วเป็นเพียงเงินจำนวนน้อย ระยะเวลาก็ไม่อาจเชื่อมโยงได้ ลิ่นฉังเฟิงกำลังตรวจสอบบัญชีของกรมคลัง รอตรวจสอบชัดเจนแล้วก็น่าจะรู้ถึงต้นสายปลายเหตุเพคะ”
ฮ่องเต้ไท่ชูโยนรายงานในมือไปบนโต๊ะอีกฝั่ง เอ่ย “อย่าเอ่ยสิ่งที่ไม่อาจจับต้องได้กับข้า คิดว่าเจ้าคงมีเป้าหมายในใจแล้ว ลองเอ่ยมาเถิด”
หนานกงมั่วเงียบไปชั่วครู่ เอ่ย “คิดว่าในใจของเสด็จพ่อเองก็มีคนในใจแล้วเพคะ”
ฮ่องเต้ไท่ชูส่งเสียงหยัน เอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็น “ข้ายังเดาว่าคนพวกนี้จะอดทนได้อีกไม่นาน คงเก็บอาหารแทบไม่ไหวแล้วกระมัง” ความจริงก็ไม่ได้คาดเดาได้ยาก ศัตรูที่มีความแค้นต่อฮ่องเต้ไท่ชูและเว่ยจวินมั่วมีมากมาย แต่คนที่มีความแค้นมากกระทั่งยอมจ่ายเงินจำนวนมหาศาลคงไม่ได้มีเพียงความแค้นง่ายๆ อย่างแน่นอน
หนานกงมั่วเอ่ย “ผู้อยู่เบื้องหลังสามารถจัดการทีหลังได้ ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือความปลอดภัยของเสด็จพ่อ จอมยุทธ์ในยุทธภพเหล่านั้นไม่มีทางทิ้งเงินหนึ่งล้านตำลึงทองเพียงเพราะผู้บงการอยู่เบื้องหลังถูกสังหารอย่างแน่นอนเพคะ”
ไท่ชูฮ่องเต้เอ่ย “ให้พวกเขารีบมา ข้าเองก็อยากเห็น คนเหล่านี้มีความกล้าเพียงใด” ฮ่องเต้ไท่ชูหรี่ตาลง สีหน้าเต็มไปด้วยไอสังหาร ราชสำนักยังไม่มั่นคงก็วุ่นวายมากแล้ว คนในยุทธภพยังวิ่งเข้ามาร่วมด้วยอีก จินตนาการได้เลยว่าหากฮ่องเต้ไท่ชูได้ลงมือยุทธภพจะมีการนองเลือดเพียงใด
หนานกงมั่วหันไปมองเว่ยจวินมั่ว เว่ยจวินมั่วพยักหน้าเบาๆ บ่งบอกว่าไม่ต้องกังวล หนานกงมั่วครุ่นคิดจึงวางใจขึ้นมา มีเว่ยจวินมั่วอยู่ความปลอดภัยของฮ่องเต้ไท่ชูคงไม่ต้องเป็นกังวลนัก อย่างไรกองทัพทหารหลายแสนนายทั้งนอกและในเมืองจินหลิงใช่ว่าจะไม่มีความสามารถ ยังมีเว่ยจวินมั่วและยอดฝีมือกลุ่มใหญ่ ความยากในการปลงพระชนม์ฮ่องเต้ไท่ชูคงไม่น้อยไปกว่าการจับกุมผู้คนทั่วทั้งจินหลิง
เมื่อคิดเช่นนี้ สีหน้าของหนานกงมั่วก็ผ่อนคลายลงไปมาก เอ่ย “ข่าวที่ปล่อยออกไปก่อนหน้านี้ มีคนออกไปจากจินหลิงไม่น้อยแล้ว เพียงแต่คนที่เหลืออยู่เกรงว่าคงไม่ธรรมดา เสด็จพ่อยังต้องระวังตัวนะเพคะ”
ฮ่องเต้ไท่ชูพยักหน้าด้วยสีหน้าอ่อนลง เอ่ย “ข้ารู้ จะทำอันใดพวกเจ้าทำได้เต็มที่ นับตั้งแต่ตอนนี้ การรักษาความปลอดภัยในจินหลิงและการบัญชาการทหารก็ยกให้เป็นหน้าที่ของพวกเจ้า ไปเถิด”
รู้ว่าฮ่องเต้ไท่ชูอารมณ์ไม่ดี พวกหนานกงมั่วทั้งสองก็ไม่อยู่นานลุกขึ้นกล่าวลา ยังเดินไม่ทันถึงประตู พลันได้ยินเสียงฮ่องเต้ไท่ชูด้านหลังดังขึ้น “ฝั่งเชียนเหว่ย…”
หนานกงมั่วหันกลับไปเอ่ยตอบเสียงเบา “เสด็จพ่อวางใจเพคะ เรื่องนี้…คงไม่เกี่ยวกับเชียนเหว่ย”
แม้สีหน้าของฮ่องเต้ไท่ชูไม่มีความเปลี่ยนแปลง แต่หนานกงมั่วเห็นว่าสายตาของเขาผ่อนคลายลงไปมาก แม้จะเป็นกษัตริย์อย่างฮ่องเต้ไท่ชู บุตรชายต้องการสังหารบิดาสำหรับเขาแล้วยังคงหนักหน่วงยากจะรับไหว
เมื่อเดินออกมาจากห้องทรงพระอักษร หนานกงมั่วก็ไม่ได้ไปเข้าเฝ้าฮองเฮา เดินจูงมือเว่ยจวินมั่วออกจากวังหลวงไป
เมื่อยามเดินออกจากวังพระอาทิตย์ได้ตกไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงแสงรำไรที่ยังเหลืออยู่ ทั้งนอกและในจินหลิงต่างถูกตกแต่งใหม่ทั้งหมด โคมไฟหลากสีสัน ดูเหมือนสถานการณ์สงบสุขและสนุกสนาน คนที่ไม่รู้เบื้องลึกดูไม่ออกถึงพายุที่ซ่อนอยู่ใต้ความเงียบสงบแม้เพียงนิด
“กลับกันเถิด” เว่ยจวินมั่วก้มมองลงมา เอ่ยเสียงเบา
หนานกงมั่วยิ้มหวาน พยักหน้าพลางเอ่ย “ได้”
…
เซียวเชียนเหว่ยกลับมาถึงจวนก็ตรงไปเรือนของจูชูอวี้ ในห้องหนังสือ จูชูอวี้กำลังเขียนตัวอักษรด้วยความเงียบสงบ นิ้วมือเรียวสวยตวัดพู่กันเขียนอักษรลงบนกระดาษทีละตัว มองกระดาษที่ถูกเขียนจนใกล้เสร็จแล้ว มุมปากของจูชูอวี้ยกยิ้มบางขึ้นมา
เสียงฝีเท้าเร่งรีบใกล้เข้ามา จากนั้นตามมาด้วยเสียงประตูที่ถูกถีบเปิดออกเสียงดัง ประตูห้องหนังสือที่เดิมปิดสนิทถูกถีบเปิดออกในคราเดียว จูชูอวี้ตกใจจนตวัดพู่กันโดยไม่ตั้งใจ สีหน้าเปลี่ยนไปทันใด ผลของการลำบากลำบนมาหลายวันล่มสลายไปในพริบตา
“ท่านอ๋อง พระองค์…” จูชูอวี้เอ่ยอย่างไม่พอใจนัก “พระองค์รู้หรือไม่ว่าหม่อมฉัน…”
เซียวเชียนเหว่ยเอ่ยขัดนางขึ้นมาด้วยความหงุดหงิด “ข้าไม่อยากรู้ว่าเจ้ากำลังทำอันใดอยู่ จูชูอวี้ ตระกูลจูของเจ้าสร้างความวุ่นวายให้ข้ายังไม่พออีกหรือ”
จูชูอวี้ได้ยินเช่นนั้น กระบอกตาพลันแดงก่ำ “ท่านอ๋องหมายความเยี่ยงไรเพคะ เรื่องใดที่เรียกว่าตระกูลจูของหม่อมฉันไปสร้างความเดือนร้อนให้พระองค์…” แม้ไม่ได้มีความรู้สึกรักใคร่ต่อเซียวเชียนเหว่ยนัก แต่เมื่อได้ยินคำนี้จูชูอวี้ก็อดผิดหวังขึ้นมาไม่ได้ ตระกูลจูอาศัยเซียวเชียนเหว่ยค่อยๆ ฟื้นตัวกลับมานั้นไม่ผิด แต่ขณะเดียวกันตระกูลจูเองก็ช่วยเหลือเซียวเชียนเหว่ยอย่างถึงที่สุด ตระกูลเซี่ยตระกูลฉินไม่สนใจไยดีต่อการชักชวนเข้าร่วมของเซียวเชียนเหว่ย ลับหลังแล้วมีคนลอบหัวเราะเยาะเขามากเพียงใด ไม่ใช่ตระกูลจูหรือที่ออกหน้าติดต่อกับผู้มีอำนาจในจินหลิง ยามนี้เกิดเรื่อง กลับผลักมาที่พวกเขาอย่างนั้นหรือ
จูชูอวี้สูดหายใจเข้าลึก เอ่ยถามเสียงเข้ม “ท่านอ๋องโมโหเพียงนี้ ยังไม่ทันบอกเลยว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นแล้วเพคะ”
เซียวเชียนเหว่ยเอ่ยด้วยความโกรธ “เจ้าอยู่ที่จวนแม้แต่เรื่องสำคัญเพียงนี้ยังไม่รู้อีกหรือ ตระกูลลิ่นถูกคนของกองปัญจทิศคุ้มกันเมืองจับตัวไปแล้ว”
จูชูอวี้ชะงัก ไม่อาจตั้งสติได้ชั่วขณะ “ตระกูลลิ่นหรือเพคะ กองปัญจทิศคุ้มกันเมืองอย่างนั้นหรือ ไยหนานกงชวี่ต้องจับคนตระกูลลิ่นเล่าเพคะ แล้วเกี่ยวอันใดกับตระกูลจูเล่า”
เซียวเชียนเหว่ยค่อยๆ สงบลง ส่งเสียงหยันในลำคอ เอ่ย “เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า ยามนี้หนานกงชวี่กำลังสืบเรื่องใดเจ้าไม่รู้หรือ” จูชูอวี้สูดหายใจอย่างอดไม่ได้ เอ่ย “ท่านอ๋องจะบอกว่าการลอบสังหารเมื่อคืนเกี่ยวข้องกับตระกูลลิ่นอย่างนั้นหรือเพคะ จะเป็นไปได้เยี่ยงไร อีกทั้งต่อให้เกี่ยวข้องกับตระกูลลิ่น แล้วเกี่ยวอันใดกับตระกูลจูเล่า”
เซียวเชียนเหว่ยมองพิจารณาจูชูอวี้ “เจ้าไม่รู้จริงหรือ”
จูชูอวี้โกรธจนกระทืบเท้า “ท่านอ๋อง ต่อให้หม่อมฉันโง่เขลาเพียงใดก็ไม่มีทางไปลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อในยามนี้นะเพคะ หากเสด็จพ่อเป็นอันใดไปในยามนี้ แล้วจะมีประโยชน์อันใดกับเราเล่า” ยามนี้ในราชสำนักมีคนสนับสนุนเซียวเชียนเหว่ยค่อนข้างเยอะไม่ผิด แต่เซียวเชียนเหว่ยไม่ใช่โอรสองค์โต และไม่ใช่คนที่มีความสามารถโดดเด่นที่สุด อำนาจทางการทหารในจินหลิงส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในมือเว่ยจวินมั่ว เฉินอวี้และเซวียเจินแม้ไม่ได้สนับสนุนเว่ยจวินมั่ว ทว่าเห็นได้ชัดเจนว่ารู้สึกดีต่อเว่ยจวินมั่วมากกว่า เพียงเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับฮ่องเต้ไท่ชู ต่อให้คนทั้งราชสำนักสนับสนุนเซียวเชียนเหว่ยก็ไม่มีประโยชน์ ยามสงบขุนนางฝ่ายบู๊รับมือยากกว่าฝ่ายบุ๋นนั้นเป็นความจริง แต่เมื่อเกิดความวุ่นวายขึ้นมาขุนนางฝ่ายบุ๋นเป็นโขยงก็ไม่มีประโยชน์เท่าแม่ทัพที่มีอำนาจทหารอยู่ในมือเพียงคนเดียวได้ โอกาสชนะของพวกเขาแทบไม่มีเลย
“เช่นนั้นเกิดอันใดขึ้น” เซียวเชียนเหว่ยขมวดคิ้ว เอ่ยเสียงเข้ม เขายังไม่ได้บ้าถึงขั้นอยากสังหารบิดาของตน หากไม่ใช่ฝีมือของจูชูอวี้ เช่นนั้นเกิดอันใดขึ้นกันเล่า
จูชูอวี้ลังเลชั่วครู่ เอ่ยถาม “เป็นไปได้หรือไม่…ว่าจวนฉู่อ๋องจะลงมือกับเสด็จพ่อ ดังนั้นจึงวางแผนยัดความผิดให้ผู้อื่น” ไยตระกูลลิ่นจึงถูกควบคุมตัว มีเพียงกองปัญจทิศคุ้มกันเมืองที่รู้ อีกทั้งผู้นำตระกูลใหญ่อย่างตระกูลลิ่นยังถูกจับตัวไปยังกองปัญจทิศคุ้มกันเมืองด้วย ก่อนเกิดเรื่องยังไม่มีข่าวคราวใดๆ ด้วยซ้ำ ไม่เอ่ยไม่ได้ว่าครั้งนี้กองปัญจทิศคุ้มกันเมืองดูมีลับลมคมใน
เซียวเชียนเหว่ยมีท่าทีลังเลเนิ่นนานก่อนจะส่ายศีรษะ เอ่ย “หากคิดใส่ร้าย ก็ไม่ควรลงมือกับตระกูลลิ่นถึงจะถูก” แม้ลิ่นฉังอวิ๋นสองพี่น้องจะเข้าร่วมกับพวกเขา แต่ว่าตระกูลลิ่นนั้นยังมีความสัมพันธ์ห่างไกลจากจวนเจิ้งอ๋อง เพียงพึ่งพิงตระกูลจูเท่านั้น หากเว่ยจวินมั่วจะลงมือกับเขาไม่มีเหตุผลที่จะไม่ลงมือกับตระกูลจูโดยตรงแต่กลับไปลงมือกับตระกูลลิ่นที่ห่างไกลออกไป อีกทั้งยังมีลิ่นฉังเฟิงอยู่ ไม่ว่าอย่างไรเว่ยจวินมั่วและหนานกงมั่วก็ต้องไว้หน้าเขาสักนิดถึงจะถูก
จูชูอวี้เอ่ย “ท่านอ๋องใจเย็นลงสักนิดเพคะ เรื่องใหญ่เพียงนี้ไม่มีทางที่จะไม่มีข่าวเลย หม่อมฉันจะกลับตระกูลจูไปสักครั้ง ถามพวกเขาดูว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่”
เซียวเชียนเหว่ยพยักหน้าเบาๆ “ยามนี้คงต้องเป็นเช่นนี้”
จูชูอวี้มองไปยังคัมภีร์บนโต๊ะด้วยความเสียดาย ถอนหายใจพลางเอ่ย “เดิมทีอยากเขียนคัมภีร์แทนท่านอ๋องด้วยตนเอง นี่เป็นเล่มสุดท้ายแล้ว น่าเสียดายที่พังไปแล้ว…”
เซียวเชียนเหว่ยกำลังกระวนกระวายใจ โบกมือเอ่ย “ของขวัญจัดเตรียมไว้แล้ว คัมภีร์ก็ไม่ได้จะหายไปไหน เจ้ารีบไปก่อนดีกว่า”
จูชูอวี้พยักหน้า “คงต้องเป็นเช่นนั้นเพคะ”
เซียวเชียนเหว่ยหมุนตัวเดินออกไปข้างนอก จูชูอวี้รีบเอ่ยถาม “ท่านอ๋องจะออกไปข้างนอกหรือเพคะ”
เซียวเชียนเหว่ยเลิกคิ้วเอ่ย “ข้าจะไปดูว่ามีข่าวคราวอันใดหรือไม่”
จูชูอวี้นึกถึงเหล่าพระชายารองในจวน รู้สึกเจ็บใจขึ้นมา ทว่ายามนี้ไม่ได้สนใจอันใดมาก เพียงพยักหน้าเอ่ย “เช่นนั้นท่านอ๋องรีบไปเถิดเพคะ”
“คุณหนู” รอเซียวเชียนเหว่ยเดินออกไป จู๋เอ๋อร์จึงเดินเข้ามาเอ่ยอย่างนอบน้อม
จูชูอวี้เอ่ยถามเสียงเข้ม “ช่วงนี้ตระกูลจูมีข่าวอันใดหรือไม่”
จู๋เอ๋อร์ส่ายศีรษะเอ่ยอย่างฉงน “ไม่มีนะเจ้าคะ หลายวันมานี้ตระกูลจูกำลังยุ่งจัดเตรียมของขวัญวันพระบรมราชสมภพแก่ฝ่าบาท อีกทั้งคนตระกูลลิ่นผู้นั้นทำให้ฮูหยินไม่พอใจจนต้องหนีกลับบ้านไปแล้วเจ้าค่ะ” จูชูอวี้ขมวดคิ้ว “ข้าไม่ได้ถามถึงเรื่องนี้ ช่วงนี้ตระกูลจูและตระกูลลิ่นมีความเคลื่อนไหวอันใด”
จู๋เอ๋อร์ยิ้มเอ่ย “ช่วงนี้คุณชายใหญ่ดูสนิทสนมกับสองพี่น้องตระกูลลิ่นสักหน่อยเจ้าค่ะ เพียงแต่หากมีเรื่องใหญ่อันใด ไยนายท่านจะไม่หารือกับคุณหนูละเจ้าคะ หรือว่า…ท่านอ๋องเข้าใจผิดแล้วเจ้าคะ”
จูชูอวี้ถอนหายใจ เอ่ย “หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น เจ้าเตรียมตัวสักหน่อย พวกเราจะกลับตระกูลจู”
จู๋เอ๋อร์พยักหน้า “เจ้าค่ะ บ่าวจะไปเตรียมตัวเดี๋ยวนี้”
จูชูอวี้เอนหลังอยู่บนเก้าอี้มองห้องที่ว่างเปล่าชั่วครู่พลันตัวชาขึ้นมา ในใจรู้สึกไม่สงบอย่างแปลกประหลาด ราวกับมีเรื่องไม่ดีกำลังจะเกิดขึ้น แต่เมื่อไตร่ตรองดูให้ดีกลับไม่รู้ถึงที่มาที่ไป ทำได้เพียงนวดหัวคิ้วนั่งหลับตาอยู่บนเก้าอี้
หวังว่าไม่มีเรื่องอันใดจะดีที่สุด
การลอบสังหารในงานเทศกาลชนเผ่า…ตระกูลลิ่น…งานฉลองพระบรมราชสมภพในวันพรุ่งนี้…มีเรื่องอันใดกันแน่…สีหน้าจูชูอวี้เปลี่ยนไปทันใด รีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ เอ่ยเสียงเข้ม “จู๋เอ๋อร์ ไม่ต้องสนใจแล้ว รีบกลับตระกูลจูเดี๋ยวนี้”
“เจ้าค่ะ คุณหนู” จู๋เอ๋อร์ที่กำลังเตรียมของอยู่ในห้องแม้ไม่เข้าใจแต่ก็โยนของทิ้งและรีบวิ่งออกมา มองใบหน้างดงามเย็นชาของจูชูอวี้ที่กำลังเข้มขึ้น
จู๋เอ๋อร์หัวใจสั่นไหว เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นจริงแล้วอย่างนั้นหรือ