หมอหญิงยอดมือสังหาร - ตอนที่ 1208 ความเสียหายทางจิตใจไม่นับ
ตอนที่ 1208 ความเสียหายทางจิตใจไม่นับ
พรืด!
แค่กๆ
ลิ่นฉังเฟิงตะลึงไปทันที ในที่สุดก็กลั้นหัวเราะไม่อยู่ ส่วนฉินจื่อซวี่กลืนน้ำชาลงไปอย่างยากเย็น เสียงไอค่อกแค่กดังขึ้น แต่ก็ไม่ได้เสียมารยาทพ่นน้ำชาออกมา ลิ่นฉังเฟิงเลื่อนเก้าอี้ถอยไปข้างหลังอย่างใจเย็น คุณชายเสียนเกอที่ไม่ได้เอ่ยอันใดหรือไม่แม้แต่จะมองหน้าองค์ชายอานจี้ตั้งแต่เดินเข้ามาก็มองหน้าเขาตรงๆ รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เคยเย็นชา “ใช่ แล้วอย่างไร”
องค์ชายอานจี้ไม่คาดคิดว่าเขาจะยอมรับง่ายๆ เช่นนั้น เขารู้สึกประหลาดใจสักพัก แล้วก็ยิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก “เจ้าหรือจะมีสิทธิ์มาแย่งคนกับข้า กล้าบอกที่มาของตนเองหรือไม่”
คุณชายเสียนเกอเอ่ยเรียบๆ “ชาวยุทธไร้หลักแหล่ง”
องค์ชายอานจี้ขมวดคิ้ว ไม่ค่อยจะเข้าใจนัก ผู้ติดตามจึงรีบกระซิบข้างหูเขา ใบหน้าโกรธเกรี้ยวขององค์ชายอานจี้เปลี่ยนเป็นอาการดูถูกเหยียดหยามทันที “ที่แท้ก็ชนชั้นต่ำอนาถา เจ้าไม่คิดจะทำงานหรือ” คุณชายเสียนเกอเล่นถ้วยน้ำชาในมือพลางมองผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าคุกคามแล้วจึงเอ่ย “ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกัน เจ้ากล้าแย่งคนกับข้า เบื่อชีวิตแล้วหรือ”
ฉินจื่อซวี่กระแอมเบาๆ “เสียนเกอ น้องสาวของข้าไม่ใช่คนของเจ้า”
คุณชายเสียนเกอไม่ได้เหวี่ยงเขาเลย เขาเพียงมองไปทางองค์ชายอานจี้ด้วยสายตาดูถูกที่มากกว่าที่องค์ชายอานจี้มองเขาเป็นสิบเท่า
องค์ชายอานจี้ไม่พอใจกับสายตาของเขาอย่างเห็นได้ชัด หยิบแส้ที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นมาแล้วฟาดไปทางเสียนเกอทันที
รอบยิ้มดุร้ายวาบผ่านดวงตาของคุณชายเสียนเกอ อาภรณ์ขาวไหววูบในขณะที่แส้ขององค์ชายอานจี้ฟาดเข้ากับความว่างเปล่า องค์ชายอานจี้ประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้สนใจและกลับมาเหวี่ยงแส้ออกไปอีกครั้ง ในด้านวรยุทธ์องค์ชายอานจี้อ่อนด้อยกว่าองค์ชายหนานเย่ว์ที่ประมือกับหนานกงมั่วก่อนหน้านี้อยู่หลายขุม จากนั้นเขาก็เห็นคุณชายเสียนเกอดึงแส้ออกมาจากเอวของผู้ติดตามคนหนึ่งทันที แส้เส้นนี้ไม่เหมือนกับแส้ขององค์ชายอานจี้ มันเป็นแส้ยาว คุณชายเสียนเกอยิ้มอย่างพึงพอใจก่อนจะสะบัดแส้ม้วนเอาองค์ชายอานจี้แล้วเหวี่ยงเขาออกไปนอกโถงใหญ่ทันที
“อย่าให้ถึงตาย การทูตของสองประเทศสำคัญนะ” ในโถงใหญ่ฉินจื่อซวี่เอ่ยเบาๆ อย่างไม่มีความจริงใจเลยสักนิดเดียว
ลิ่นฉังเฟิงเหลือบมองเขาเล็กน้อย “กล้าพูดให้ดังกว่านี้หรือไม่”
“ข้าได้ทำหน้าที่เตือนแล้ว หากเขาไม่ได้ยินก็โทษข้าไม่ได้หรอก” ฉินจื่อซวี่พูดอย่างดูดีมีเหตุผล
“เจ้าเล่ห์”
“ฮ่าๆ”
วันนี้บ่าวรับใช้ในจวนตระกูลฉินนับว่ามีบุญตา ท่วงท่าคุณชายเสียนเกอในอาภารณ์ขาวพลิ้วไหวราวกับเทพเซียนสะบัดแส้ลงพื้นนั้นงามตามาก แม้ว่าคนผู้นั้นจะดูเตี้ยกว่าคุณชายเสียนเกอเล็กน้อย แต่น้ำหนักตัวจะต้องมากกว่าเขาแน่ องค์ชายอานจี้ในชุดสีทองวิบวับถูกเฆี่ยนด้วยเงาแส้ที่ฉวัดเฉวียนไปมาทั่วท้องฟ้าจนเหมือนลูกข่างที่หมุนติ้ว ที่สำคัญก็คือทั้งๆ ที่องค์ชายอานจี้หมุนไปมาเช่นนั้น แต่กลับไม่ส่งเสียงร้องออกมาเลย
“ท่านนี้…ฝีมือร้ายกาจจริงๆ!” ใครบางคนลอบวิจารณ์ หากเป็นคนธรรมดาทั่วไปที่ถูกเฆี่ยนตีคงจะร้องขอความเมตตาไปนานแล้ว สมแล้วกับที่เป็นองค์ชาย หยิ่งในศักดิ์ศรีจริงๆ!
“คุณชายเสียนเกอเก่งกว่า!” มีสาวใช้นางหนึ่งชื่นชมเขา สองแก้มของนางแดงก่ำ ดวงตาก็เป็นประกาย คุณชายเสียนเกออยู่ในอาภรณ์ขาวตลอดร่างยืนนิ่งอยู่ในลานบ้านและร่ายรำแส้ยาวนั้นได้อย่างงดงามเหลือเกิน บางครั้งผู้ติดตามขององค์ชายอานจี้ก็คิดจะเข้าไปห้าม แต่พวกเขาก็ถูกแส้เหวี่ยงออกมาจนล้มลงกับพื้นกันหมดทุกคน
คุณชายฉังเฟิงมองอย่างดูถูกเหยียดหยาม หยิ่งในศักดิ์ศรีอันใด ร้องไม่ออกชัดๆ! ต่อให้เป็นเขาเองที่โดนเฆี่ยนตีเช่นนี้ ก็คงจะไม่กล้าหาญถึงขนาดไม่ส่งเสียงร้องได้หรอก แต่คุณชายฉังเฟิงผู้ยิ่งใหญ่ก็คงไม่มีทางโง่ถึงขนาดต้องโดนเฆี่ยนเช่นนี้อยู่ดี สู้ไม่ได้ก็หนีได้ไม่ใช่หรือ เพราะฉะนั้นคนอานจี้ก็คือโง่!
“…” เจ้ารู้ตัวแล้วไม่ใช่หรือว่าโดนวางยา
ในเวลานี้มีเพียงองค์ชายอานจี้คนเดียวเท่านั้นที่รับรู้ถึงความขมขื่นของตนเองได้ ตั้งแต่วินาทีที่เขาถูกแส้เหวี่ยงออกจากห้องโถงใหญ่ องค์ชายอานจี้ก็พบว่าขาของเขาอ่อนแรง ไม่เพียงแต่ขาของเขาเท่านั้นที่อ่อนแรง ยังไม่มีแรงจะเอ่ยอีกด้วย เมื่อแส้ฟาดลงมาครั้งแรก องค์ชายอานจี้ซึ่งไม่มีแรงจะหลบก็ตัวสั่นอย่างช่วยไม่ได้ เพราะคิดว่าจะต้องถูกฉีกเป็นชิ้นๆ แน่ แต่ที่แปลกคือแม้ว่าแส้จะฟาดลงบนร่างของเขาจนเจ็บปวดไปถึงกระดูก แต่กลับไม่ทิ้งร่องรอยอันใดไว้บนเนื้อตัวของเขาเลย แม้แต่เสื้อผ้าของเขาก็ไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม ความเจ็บปวดนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าผิวหนังที่ปริแตกและรอยฟกช้ำจริงๆ เสียอีก เขาเพียงไม่มีแรงจะหลบหลีกได้เท่านั้น ได้แต่ต้องมองดูแส้ฟาดลงมาครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความสิ้นหวัง ความรู้สึกนี้เหมือนกับการถูกผีอำที่เขาว่ากันอย่างไรอย่างนั้นเลยทีเดียว เห็นได้ชัดว่าสมองของเขาปลอดโปร่งดี แขนขาก็ยังสมบูรณ์ แต่เขาไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ ความไร้เรี่ยวแรงเช่นนั้นยิ่งบังคับให้เขารับรู้ถึงความเจ็บปวดที่เสียดแทงได้อย่างชัดเจนมากขึ้น ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ทำได้เพียงรอให้ความเจ็บปวดลดระดับลงโดยที่ทำสิ่งใดไม่ได้ ในขณะที่รอความเจ็บปวดระลอกใหม่ที่จะตามมาอย่างต่อเนื่องด้วยเนื้อตัวสั่นสะท้าน
หลังจากที่เขาถูกเฆี่ยนไปหลายสิบครั้ง ลิ่นฉังเฟิงที่เห็นก้อนกลมๆ ในลานบ้านนั้นสั่นรุนแรงขึ้นทุกทีก็อดเตือนเสียงเบาไม่ได้ “พอได้แล้วล่ะ หากทำเขาตายจริงๆ ก็จะยุ่งยากอีก” มีหลายวิธีที่จะฆ่าเจ้าหมอนี่ได้โดยไม่จำเป็นต้องโจ่งแจ้งเพียงนั้น
คุณชายเสียนเกอแค่นเสียงเบาๆ ก่อนจะเหลือบมองเขานิ่งๆ “เจ้าคิดว่าข้าโง่เหมือนเจ้าหรือ”
เขาตวัดแส้ออกไปม้วนรัดตัวองค์ชายอานจี้ทันที ก่อนจะเหวี่ยงไปทางผู้ติดตามของเขาที่ไม่กล้าก้าวเข้ามา พวกเขาทั้งหมดรีบยื่นมือออกไปรับตัวองค์ชายกันพัลวันก่อนจะซุกตัวรวมกันเป็นก้อนอีกครั้ง
“อ๊า!” ในที่สุดเสียงกรีดร้องขององค์ชายอานจี้ก็ดังขึ้น
“องค์ชาย?!” ทุกคนรีบตรวจสอบอย่างรวดเร็ว แต่ทุกครั้งที่มือของพวกเขาสัมผัสลงไป เสียงกรีดร้องขององค์ชายอานจี้ก็จะยิ่งน่าอนาถมากกว่าครั้งก่อนหน้า ทุกคนรีบถอยห่างออกจากเขาเล็กน้อยเพราะกลัวว่าจะไปแตะต้องโดนเขาอีก
“องค์ชาย ท่านเจ็บตรงไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“องค์ชาย ท่านเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายอานจี้กระตุกด้วยความเจ็บปวด “ไอ้โง่! ยัง…ยังไม่ตามหมอมาให้ข้าอีก…”
ไม่มีใครไม่กล้าอยู่ต่อ พวกเขารีบแบกองค์ชายอานจี้อย่างรวดเร็วและระมัดระวังแล้วเดินออกไปท่ามกลางเสียงกรีดร้องอันน่าสลดใจของเขา
“เจ้า…รอข้าก่อนเถอะ!” องค์ชายอานจี้ไม่ลืมหันไปมองเสียนเกอและข่มขู่ทิ้งท้ายไว้ก่อนจะจากไป
คุณชายเสียนเกอเลิกคิ้วน้อยๆ การได้ระบายอารมณ์เมื่อครู่นี้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นบ้าง เขาโบกมืออย่างง่ายๆ แล้วเสียงขององค์ชายอานจี้ก็เงียบหายไปทันที หากเขาออกจากตระกูลฉินไปด้วยเสียงกรีดร้องเช่นนี้คงไม่เป็นการดีแน่
ฉินจื่อซวี่เดินออกมาทำทีว่าเขาไม่เห็นคุณชายเสียนเกอเฆี่ยนตีทูตจากต่างแดน เพียงเอ่ยถามว่า “คงไม่มีปัญหาอันใดหรอกใช่หรือไม่” คนธรรมดาทั่วไปที่ถูกเฆี่ยนหลายสิบครั้งเช่นนี้ต่างก็ปางตายกันทั้งนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าเสียนเกอเป็นพวกใจเย็นแต่ลงมือรุนแรง
คุณชายเสียนเกอเอ่ยเรียบๆ “จะมีอันใดได้เล่า เขาไม่ได้รับบาดเจ็บนี่” การเสียหายทางจิตใจไม่ถือว่าเป็นการบาดเจ็บ ที่อู๋สยาพร่ำบ่นเรื่องการแยกแยะความเสียหายทางจิตใจอันใดนั่นอยู่เป็นครั้งคราวเป็นเรื่องไร้สาระทั้งนั้น ใครจะพิสูจน์ได้เล่า
ฉินจื่อซวี่พยักหน้า “ไม่เป็นไรก็ดี ถึงอย่างไรก็ยังต้องไว้หน้าฝ่าบาทบ้าง แต่ว่า…” ฉินจื่อซวี่มองคุณชายอาภรณ์ขาวตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ “เจ้าใช้แส้คล่องอย่างนี้ คงไม่ได้มีความชอบอันใดพิเศษหรอกใช่หรือไม่” ยิ่งเขาดูเหมือนเทพเซียนมากเท่าไรก็ยิ่งมีโอกาสเป็นสัตว์ร้ายในคราบมนุษย์ได้มากเท่านั้น
คุณชายเสียนเกอหรี่ตาลงมองคุณชายใหญ่ตระกูลฉินขณะที่ฟาดแส้ยาวในมือ “เจ้าอยากลองหรือไม่”
“…”
องค์ชายอานจี้รีบร้อนไปบ้านตระกูลฉินเพื่อเอ่ยเรื่องการแต่งงาน แต่กลับต้องถูกหามออกมา ชาวบ้านในจินหลิงย่อมไม่รู้ว่าเขาไปที่นั่นทำไม แต่ยามกลับออกมานั้นก็มีคนเห็นเหตุการณ์อยู่ไม่น้อย เนื่องจากองค์ชายอานจี้ที่ถูกหามออกมามีน้ำลายฟูมปากและยังคงตัวกระตุกไม่หยุด ในเมืองจินหลิงจึงได้มีข่าวลือแพร่สะพัดแทบจะทันทีว่าที่แท้องค์ชายอานจี้ก็เป็นโรคลมบ้าหมู
ชั่วขณะนั้นชาวบ้านจินหลิงที่จิตใจดีก็อดเห็นอกเห็นใจราชวงศ์อานจี้ไม่ได้ เป็นถึงเชื้อพระวงศ์แต่กลับต้องมาทนทุกข์ทรมานจากโรคนี้ หลายคนเริ่มเป็นห่วงครอบครัวตัวเองขึ้นมาบ้างแล้วเช่นกัน ว่ากันว่าโรคนี้ถ่ายทอดกันได้ทางสายเลือด ไม่รู้ว่าองค์หญิงอันซูนั่นจะเป็นด้วยหรือไม่ ถ้าหากนางแต่งงานมาอยู่ต้าเซี่ย แล้วราชวงศ์ต้าเซี่ย…
วันรุ่งขึ้น บนโต๊ะทรงอักษรของฮ่องเต้ไท่ชูมีฎีกาส่งขึ้นมาหลายฉบับที่แสดงออกอย่างเปิดเผยและอย่างลับๆ ก็ดีว่าอานจี้เป็นเพียงประเทศเล็กๆ ทางชายแดนเท่านั้น การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศจึงไม่มีความหมายใดเลย ขอให้ฝ่าบาททรงไตร่ตรองด้วย
เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องในภายหลัง ตอนที่องค์ชายอานจี้ถูกหามกลับไปที่จวนรับรอง องค์หญิงอันซูก็ตื่นตระหนกตกใจทันที เมื่อองค์หญิงอันซูทราบข่าว นางก็รีบมาและเห็นองค์ชายอานจี้นอนร้องไห้โหยหวนอยู่บนเตียง หลังจากหมอหลวงที่ถูกตามตัวมาอย่างเร่งรีบฝังเข็มให้เขาแล้ว องค์ชายอานจี้ก็สงบลงได้ในที่สุด
หมอหลวงค่อยๆ วางเข็มเงินในมือลง แล้วเดินไปล้างมือด้านข้าง องค์หญิงอันซูอดถามไม่ได้ “ท่านหมอ เสด็จพี่ของข้า…”
หมอหลวงถอนใจ “กระหม่อมเคยบอกแล้วว่า อาการที่ขาขององค์ชายอานจี้นี้ไม่ควรจะเคลื่อนไหวไปไหนมาไหนตามอำเภอใจ เห็นหรือไม่ว่าตอนนี้มันลามไปทั้งตัวแล้วจะทำอย่างไรดีเล่า”
คนใกล้ตัวที่รู้ความจริงต่างก็กระตุกเฮือกทันที ใครคนหนึ่งอดถามไม่ได้ “ท่านหมอ ท่านดูผิดหรือเปล่า องค์ชายของเรา…โดยเฆี่ยนมาชัดๆ!”
“เหลวไหล!” หมอหลวงไม่พอใจ ชี้ไปยังองค์ชายอานจี้ที่กลับมาหายใจได้เป็นปกติและกำลังหลับตาพักฟื้นอยู่บนเตียงพลางเอ่ย “เจ้าดูสิ องค์ชายดูเหมือนคนถูกเฆี่ยนที่ไหน อย่าว่าแต่บาดแผลเลย แม้แต่ผิวก็ยังไม่มีรอยแดงแม้แต่น้อย เด็กสามขวบก็ยังไม่ไร้เรี่ยวแรงถึงเพียงนี้หรอกกระมัง”
“เขาเป็นยอดฝีมือกำลังภายใน!”
หมอหลวงกลอกตา “แล้วก็ไม่มีอาการบาดเจ็บภายในด้วย! ไม่สิ องค์ชายอานจี้ไม่มีบาดแผลทั้งภายในและภายนอกเลยสักนิด เขาไม่ได้บาดเจ็บ! เขาป่วย!” หมอหลวงเอ่ยอย่างเด็ดขาด ผู้ติดตามย่อมไม่เชื่อคำพูดของเขาอยู่แล้ว เพราะพวกเขาเห็นองค์ชายถูกชายชุดขาวเฆี่ยนตีมากับตาตัวเอง พวกเขาจะไม่รู้ได้อย่างไร แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าชายผู้นั้นใช้เวทมนตร์แบบไหนจึงก็ไม่เหลือแม้แต่ร่องรอยใดไว้เลย แต่องค์ชายก็เจ็บปวดจากฝีมือของอีกฝ่ายจริงๆ
หมอหลวงเองก็มีสีหน้าย่ำแย่ลงเช่นกันเมื่อเห็นสีหน้าสงสัยของทุกคน ทักษะทางการแพทย์ของหมอหลวงอย่างเขายังเป็นที่น่าสงสัยสำหรับคนโง่เขลาเบาปัญญาจากประเทศเล็กๆ เหล่านี้อีกหรือ
หมอหลวงประสานมืออย่างไม่แยแสทันที “ในเมื่อทุกท่านไม่เชื่อในทักษะทางการแพทย์ของข้า เช่นนั้นก็ไปหาผู้เชี่ยวชาญคนอื่นเถิด” พอเขาพูดจบก็ก้าวเข้าไปดึงเข็มเงินเล่มสุดท้ายที่ยังปักอยู่บนตัวขององค์ชายอานจี้ออกมา เมื่อเข็มเงินถูกดึงออก เสียงร้องขององค์ชายอานจี้ก็ดังก้องไปทั่วทั้งจวนรับรองราวกับหมูที่ถูกเชือดทันที
หมอหลวงทำราวกับว่าไม่ได้ยินและเอ่ยอย่างใจเย็น “อาการเจ็บป่วยแปลกประหลาดขององค์ชายตึงมือของข้าเล็กน้อย คาดว่าอานจี้คงจะมีหมอที่ฝีมือดีกว่าข้า ข้าคงจะต้องวางมือแล้ว”
“…” เจ้าไม่เห็นหรือว่าองค์ชายของเรากำลังเกลือกกลิ้งอยู่บนเตียงด้วยความเจ็บปวด แล้วความเมตตาของคนเป็นหมอเล่า
องค์ชายอานจี้ไม่สามารถพูดอันใดออกมาได้เลย ความเจ็บปวดที่หายไปหลังจากหมอหลวงฝังเข็มให้เขากลับมาทันที ทำได้เพียงเกลือกกลิ้งไปมาบนเตียงในขณะที่มองหมอหลวงชราผมขาวด้วยสายตาเว้าวอน ในสายตาของเขาตอนนี้ไม่ว่าหญิงงามจะงดงามเพียงใดก็ยังไม่น่ารักเท่ากับเข็มเงินแวววาวในมือของหมอหลวงเลย
เมื่อผู้ติดตามทั้งหลายเห็นว่าองค์ชายกำลังจะน้ำลายฟูมปากอีกครั้ง พวกเขาก็รีบหยุดหมอหลวงที่กำลังจากเดินจากไปไว้ทันที
องค์หญิงอันซูก็หน้าซีดด้วยความตกใจ รีบก้าวไปข้างหน้าแล้วเอ่ย “ท่านหมอ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ได้โปรดช่วยบรรเทาความเจ็บปวดให้เสด็จพี่ของข้าก่อนเถิด”
หมอหลวงเหลือบมองพวกเขาทุกคนอย่างหยิ่งยโส ก่อนจะแค่นเสียงออกมาเบาๆ แล้วหมุนตัวกลับมานั่งลงบนเตียง “จับเขาไว้ หากปักเข็มลงผิดตำแหน่งก็จะยิ่งยุ่งยากไปกว่านี้อีก”
ผู้ติดตามทั้งหลายรีบก้าวเข้าไปกดองค์ชายอานจี้ที่กำลังดิ้นรนและชักกระตุกไว้กับเตียงทันที หลังจากที่หมอหลวงฝังเข็มให้เขาอีกครั้ง องค์ชายอานจี้ก็สงบลงจริงๆ สีหน้าของเขาก็ดูผ่อนคลายลงด้วย ทุกคนจึงแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“หมอหลวง เสด็จพี่ของข้า…” องค์หญิงอันซูก้าวเข้าไปพลางเอ่ยถาม
หมอหลวงสะบัดแขนเสื้อก่อนจะเอ่ย “ขออภัยที่กระหม่อมไร้ความสามารถ อาการขององค์ชายนี้เห็นได้ชัดว่าเกิดจากโรคที่ขาลุกลาม และโรคที่ขานี้เป็นโรคที่ไม่ค่อยพบเจอนัก เดิมทีองค์ชายควรพักฟื้นอยู่บนเตียงสองสามวัน เขาก็น่าจะไม่เป็นไรแล้ว แต่นี่กลับ…” หมอหลวงส่ายศีรษะก่อนจะประสานมือ “กระหม่อมเองก็ได้แต่ใช้เข็มเงินหยุดความเจ็บปวดขององค์ชายไว้ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น หากจะให้รักษาจริงๆ กระหม่อมก็จนปัญญา ต้องขออภัยองค์หญิงด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงอันซูขมวดคิ้ว “เมื่อครู่นี้ข้าถามคนที่ติดตามเสด็จพี่แล้ว พวกเขาบอกว่าเสด็จพี่มีอาการเจ็บปวดมากเพียงนี้หลังจากที่ถูกเฆี่ยนตี แต่…”
หมอหลวงส่ายศีรษะขณะที่ลูบเคราขาวของตนไปพลาง “ขออภัยที่กระหม่อมไร้ความสามารถ มองไม่ออกจริงๆ แต่องค์หญิงวางใจได้ กระหม่อมรับประกันได้ว่าองค์ชายไม่ได้รับบาดเจ็บภายในแน่นอน หากองค์หญิงไม่เชื่อก็สามารถเชิญหมอหลวงท่านอื่นมาดูได้ ก็อาจจะยังมีคนที่มีทักษะทางการแพทย์ดีกว่ากระหม่อมและสามารถบอกความแตกต่างได้”
“หรือว่าเสด็จพี่ของข้าจะต้องเป็นเช่นนี้ต่อไป” องค์หญิงอันซูนิ่วหน้า
หมอหลวงเอ่ย “องค์หญิงอย่าได้กังวลไปเลย ก่อนหน้านี้กระหม่อมได้จับชีพจรให้องค์ชายแล้ว อย่างมากหลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ความเจ็บปวดจะค่อยๆ ทุเลาลงไปเองพ่ะย่ะค่ะ” ส่วนเรื่องที่ว่าพรุ่งนี้เขาจะยังเจ็บปวดอีกหรือไม่…หมอหลวงก็ยังบอกไม่ได้
เมื่อองค์หญิงอันซูเห็นว่าไม่สามารถถามอันใดจากเขาได้อีกแล้ว จึงได้แต่ต้องปล่อยหมอหลวงจากไป หมอหลวงเองก็ไม่เอ่ยอันใดมาก โบกมือส่งสัญญาณให้ลูกศิษย์เดินออกไปพร้อมกัน
หลังจากที่พวกเขาออกมาจากจวนพักรับรองแล้ว ลูกศิษย์ตัวน้อยก็อดเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้ “อาจารย์ องค์ชายท่านนั้นเป็นโรคแปลกๆ ได้อย่างไร เมื่อครู่นี่ข้ายังได้ยินคนในจวนรับรองวิจารณ์กันว่าเขาเป็นโรคลมบ้าหมูหรือเปล่า”
หมอหลวงส่งเสียงหยันออกมาเบาๆ “ลมบ้าหมูอันใด คนผู้นั้นคงจะไปล่วงเกินคนอื่นแล้วโดนสั่งสอนมาก็ยังไม่รู้ตัวอีก เขาสมควรโดนลงโทษแล้ว”
“หา!” ลูกศิษย์ตัวน้อยตกใจจนอ้าปากค้าง หมอหลวงมองลูกศิษย์ตนอย่างอารมณ์เสีย “หุบปากไปเลย เจ้าเด็กไม่เอาไหน”
ศิษย์ตัวน้อยหุบปากลงแล้วยิ้มด้วยความเขินอาย “ถ้าอย่างนั้นท่านอาจารย์ ไยท่านจึงไม่รักษาเขาเล่า หากฝ่าบาทตำหนิลงมา…” ถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงองค์ชาย หากเขาตายในจินหลิงขึ้นมาก็คงจะอธิบายอันใดได้ยาก
หมอหลวงเอ่ยอย่างใจเย็น “เฮอะๆ เขาถูกคนใช้วิชาเข็มเฉียนคุนผู่ตู้ซัดเข้าสู่เส้นปราณแท้สายหนึ่ง วันนี้แส้พวกนั้นผนวกพลังปราณเข้าไปด้วย ปราณในร่างกายเขาจึงกลายเป็นเข็มเล็กๆ หลายพันหลายหมื่นเล่มไหลย้อนกลับเข้าไปในเส้นเลือดก่อนจะเคลื่อนไปทั่วร่างกาย แล้วเขาจะไม่เจ็บได้อย่างไร” ศิษย์ตัวน้อยเบิกตากว้าง “ถ้า…ถ้าอย่างนั้นควรทำเช่นไรขอรับ”
หมอหลวงสะบัดชายผ้าของตนพลางเอ่ย “ก็แค่อดทนต่อไป รอให้พลังปราณแท้สลายไปหมดก็ไม่เป็นไรแล้ว“ ตอนนี้คนที่ใช้วิชาเข็มเฉียนคุนผู่ตู้ได้ทั้งนอกและในเมืองจินหลิงมีเพียงสามคนเท่านั้น หมอหลวงจากสำนักหมอหลวงที่ฝีมือไม่ถึงก็จะมองไม่ออก ส่วนคนที่มีความเชี่ยวชาญก็ไม่กล้าช่วยเขา เด็กนั่นสมควรโดนแล้ว!