หมอหญิงยอดมือสังหาร - ตอนที่ 1186 ไม่มองสิ่งที่ผิดจริยธรรม
ตอนที่ 1186 ไม่มองสิ่งที่ผิดจริยธรรม
หนานกงมั่วมองทุกคนด้วยท่าทางไร้เดียงสา “มีอันใดไม่ถูกต้องหรือ”
ทุกคนแข็งทื่อ ไม่มีอันใดไม่ถูก ไม่มีเลย ผู้ตรวจการคือสิ่งที่ต่อให้ไม่มีเรื่องก็ต้องสร้างเรื่องขึ้นมา ส่วนผู้ที่ฉู่อ๋องถูกคนมามุงดูเรื่องน่าละอายแล้วจะอายจนโกรธ ตอนนี้ยังไม่อยู่ในการคาดการณ์ของพวกเขา ทว่าลิ่นฉังอัน พลันรู้สึกไม่สงบขึ้นมา ขมวดคิ้วเอ่ย “พระชายา พระองค์ไตร่ตรองให้ดีก่อนเถิด”
หนานกงมั่วโบกมือ เอ่ยอย่างสบายใจ “ไตร่ตรองหรือ พระชายาข้าไตร่ตรองมาดีแล้ว ข้าอยากจะดูว่า ใครช่างกล้าหาญ กล้าตีท้ายครัวข้า”
ลิ่นฉังอานกระตุกมุมปาก “พระชายาโปรดระงับโทสะ วาจาเช่นนี้…ไม่ควรเอ่ยเหลวไหล”
หนานกงมั่วกลอกตา “ไม่ใช่ภรรยาเจ้าคบชู้ แน่นอนว่าเจ้าระงับโทสะได้ ทหาร พังประตูเดี๋ยวนี้”
องครักษ์ด้านข้างลำบากใจ แต่คนที่ฐานะสูงที่สุดในที่แห่งนี้คือหนานกงมั่ว แน่นอนว่าต้องฟังคำสั่งของนาง องครักษ์ทั้งสองก้าวเดินมาข้างหน้า ยกเท้าถีบประตูอย่างรุนแรง หนานกงมั่วรู้ทัน มือข้างหนึ่งรีบยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดจมูก ขณะเดียวกันก็ก้าวถอยหลังออกห่างมาสี่ห้าก้าว กลิ่นหอมอ่อนๆ กระจายออกมา กลิ่นนั้นไม่ได้เข้มและฉุนจมูกนัก ในห้องมีกระเตาหอมวางอยู่ ดังนั้นคนที่อยู่ในสถานการณ์จึงไม่ได้ใส่ใจ สายตาของทุกคนถูกชายหญิงบนเตียงดึงความสนใจไปจนหมด แน่นอนว่าไม่มีใครสนใจจุดเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ ส่วนหลังจากกลับถึงบ้านมีเรื่องไม่อาจจะพรรณนาจนเช้าวันที่สองถึงกับแข้งขาอ่อนแรงมาร่วมว่าราชการในราชสำนักในตอนเช้าเป็นเพราะเหตุใด…ไม่อาจเอ่ยได้ ไม่อาจเอ่ยได้…
ริมฝีปากบางของหนานกงมั่วภายใต้ผ้าเช็ดหน้ายกยิ้มแปลกๆ ขึ้นมา มือข้างหนึ่งดีดเบาๆ ผงสีขาวที่ปลายเล็บลอยกระจายเข้าไปในห้อง กลิ่นหอมอ่อนๆ ไม่นานก็หายไป มีเพียงสองคนที่กำลังพัวพันเพราะมัวเมาไปกับกลิ่นหอมกลับไม่ทันรู้ตัว
“ช่างน่าขายหน้าเสียนี่กระไร” มีคนปิดหน้าพ่นลมหายใจยาวออกมา
“เสื่อมแล้ว ถอยหลังเข้าคลองลงแล้ว”
ลมหนาวที่พัดเข้ามาในห้องกลับไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มหญิงสาวที่กำลังร้อนระอุรู้สึกตัว กลับกันเพราะอากาศหนาวขึ้นทำให้ขยับชิดกันมากขึ้น ยิ่งร้อนระอุขึ้นไปอีก เสียงครวญครางหอบหายใจทำให้คนฟังหน้าแดงหูแดงขึ้นมา
“คิดไม่ถึงจริงๆ เป็นถึงฉู่อ๋อง จะเป็นเช่นนี้…จะเป็นเช่นนี้…” ผู้ตรวจการผมขาวหน้าตาเต็มไปด้วยร่องรอยยับย่นเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าแดงก่ำ ทำให้คนอดคิดไม่ได้ว่าเวลาต่อมาเส้นเลือดในสมองเขาอาจจะแตกจนล้มลงไม่อาจลุกขึ้นได้อีก
“ข้าทำไมหรือ” เสียงเย็นดังขึ้นมาจากอีกฝั่ง ทุกคนชะงัก ค่อยๆ หันกลับไปมอง
มองเห็นเว่ยจวินมั่วในชุดสีคราม ยืนเอามือไพล่หลังด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง เมื่อครั้งมาถึงจวนเจิ้งอ๋องเป็นอย่างไร ตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้น แม้แต่ผมเส้นเดียวก็ยังไม่ยุ่งเหยิง
เว่ยจวินมั่วเดินไปหยุดอยู่ด้านข้างหนานกงมั่ว ยื่นมือไปปิดตาของนาง ดึงนางมาอยู่ข้างกาย เอ่ยเสียงเบาอย่างไม่พอใจ “ไม่ให้มอง”
หนานกงมั่วไม่พอใจ บ่นพึมพำเสียงเบา “ท่านก็ดูแล้ว”
คุณชายเว่ยเลิกคิ้ว มองไปยังคนอื่นๆ เอ่ยถามอีกครั้ง “ข้าเป็นเช่นนี้เป็นอย่างไรหรือ”
“เช่นนี้…เช่นนี้…” ผู้ตรวจการนิ่งอึ้ง หันกลับไปมองในห้องช้าๆ ฉู่อ๋องอยู่ที่นี่ ชายหญิงในห้องนั้นเป็นผู้ใดกันเล่า
ทุกคนหันกลับไปมองลิ่นฉังอานโดยพร้อมเพรียง ลิ่นฉังอานเองก็มีสีหน้างุนงง เพียงมองเว่ยจวินมั่วที่อยู่ในชุดเรียบร้อยและหนานกงมั่วที่กำลังยิ้มหวาน ลางสังหรณ์ไม่ดีจึงเข้มข้นขึ้นมา
ความเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ฝั่งนี้ทำให้คนที่กำลังพักผ่อนคนอื่นๆ เองก็รู้ตัวไปด้วย มีนายท่านฉินและนายท่านลิ่นเดินนำกลุ่มคนเข้ามา นายท่านฉินกวาดตามองทุกคนด้วยสายตาไม่พอใจ เอ่ยถาม “เกิดเรื่องอันใดขึ้น”
หนานกงมั่วยืนอยู่ข้างเว่ยจวินมั่ว ส่ายศีรษะเอ่ยด้วยท่าทางไร้เดียงสา “ข้าเองก็ไม่รู้ ข้ามาตามหาท่านอ๋อง คุณชายรองตระกูลลิ่นบอกเข้าไปไม่ได้ ข้ามีเรื่องด่วนจริงๆ ดังนั้นจึงได้ทะเลาะกับคุณชายลิ่นไม่กี่ประโยค จากนั้นก็…”
ไม่ต้องเอ่ยต่อจากนั้น คนด้านหลังต่างก็มองเห็นชายหญิงสองคนกำลังร้อนระอุอยู่ด้านใน นายท่านฉินสีหน้าทะมึนขึ้น แม้ตระกูลฉินจะไม่ได้พิถีพิถันดังเช่นตระกูลเซี่ย แต่อย่างไรก็เป็นตระกูลใหญ่ เรื่องเช่นนี้ช่าง…
ฉินจื่อซวี่เลิกคิ้วหัวเราะ เอ่ยกับองครักษ์ด้านข้าง “ยังไม่รีบไปเชิญผู้ดูแลมาอีกหรือ”
ความจริงไม่ต้องให้เขาบอก มีคนไปรายงานจูชูอวี้และเซียวเชียนเหว่ยตั้งนานแล้ว
นายท่านฉินก็ไม่ได้จะทำเกินหน้าที่ เอ่ยด้วยสีหน้าตึงเครียด “ยังไม่รีบเข้าไป…แยกพวกเขาออกอีก” ลุ่มหลงมัวเมาไปด้วยแล้วหรืออย่างไร
ในที่สุดทหารที่พุ่งเข้าไปก็ทำให้ทั้งสองที่กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงตกใจ หญิงสาวกรีดร้องขึ้นมา “กรี๊ด!”
ด้านนอก นายท่านลิ่นและลิ่นฉังอวิ๋นสีหน้าพลันเปลี่ยน ลิ่นฉังอานยิ่งหน้าซีดขึ้นมา
“ฮั่นเอ๋อร์” ลิ่นฉังอวิ๋นเอ่ยอย่างตกตะลึง
“หุบปาก” นายท่านลิ่นจ้องบุตรชายเขม็ง น่าเสียดายที่ไม่ทันแล้ว ผู้ตรวจการที่อยู่ตรงนั้นสีหน้าแปลกประหลาดขึ้นมา หากสตรีด้านในเป็นคุณหนูหกตระกูลลิ่น เช่นนั้นไยคุณชายลิ่นที่เฝ้าประตูอยู่ด้านนอกจึงห้ามไม่ให้พระชายาฉู่อ๋องเข้าไปด้านใน บนโลกใบนี้มีเรื่องแปลกประหลาดไม่น้อย แต่น้องสาวลอบมีความสัมพันธ์กับคนอื่นอยู่ พี่ชายเฝ้าประตูอยู่ด้านนอก…ยังไม่เคยเจอมาก่อน
นายท่านลิ่นแทบอยากมุดแผ่นดินหนี
ในห้อง สองคนที่ถูกสาดน้ำเย็นพลันได้สติตัวสั่นเทาขึ้นมา ภาพเบื้องหน้าทำให้คนไม่อยากจะได้สติหรือไม่ต้องการตื่นขึ้นมาอีกแล้ว รอยยิ้มของลิ่นฮั่นยังไม่ทันได้เบ่งบาน สายตาพลันเคลื่อนไปยังใบหน้าของคนที่อยู่บนร่างของตน เสียงกรีดร้องพลันดังขึ้นมา ผลักเขาร่วงลงไปกองบนพื้นอย่างแรง ทั้งสองกำลังร่วมรัก ทันใดนั้นพลันถูกปลุกให้ได้สติ ชายหนุ่มที่กำลังมีความปรารถนายังถูกผลักลงจากเตียง จุดที่เดิมทีกำลังเชื่อมต่อกันพลับเจ็บปวดขึ้นมา ชายหนุ่มอดไม่ได้ร้องเสียงดังขึ้นมา
“ไยจึงเป็นเจ้า” ลิ่นฮั่นตกใจจนหน้าถอดสี ไม่ทันได้คิดเกี่ยวกับวาจาที่เอ่ยออกมา
ชายหนุ่มเพียงนอนงอตัวกุมเบื้องล่างอยู่บนพื้นไม่อาจเอื้อนเอ่ย
“ลูกสารเลว” ด้านนอก เสียงเกรี้ยวกราดของนายท่านลิ่นดังขึ้น ได้ยินเสียงของบิดา ลิ่นฮั่นจึงมีสติ พลันพบว่ามีคนมารุมล้อมอยู่ไม่น้อย รีบยกผ้าห่มขึ้นคลุมร่างขาวเนียนของตน “นี่…นี่มันเรื่องอันใดกัน”
ฉินจื่อซวี่ยิ้มร่า เอ่ย “ท่านลุงลิ่น ดูเหมือนจวนท่านจะได้จัดงานมงคลแล้ว”
“จื่อซวี่” นายท่านฉินขมวดคิ้วเบาๆ ส่งสายตาบอกเขาว่าอย่าได้ราดน้ำมันบนกองไฟ นายท่านลิ่นสีหน้าทะมึน กัดฟันไม่เอ่ยวาจา สีหน้าลิ่นฉังอวิ๋นเองก็ทะมึนขึ้น สาวเท้าเข้าไปถีบชายที่อยู่บนพื้นออก เอ่ยถาม “ฮั่นเอ๋อร์ เจ้าทำอันใดกัน”
ดวงตาของลิ่นฮั่นกลอกไปมา ตอนนี้นางได้สติกลับมาครบถ้วนแล้ว แน่นอนรู้ว่าตนเองกำลังเจอกับปัญหาใหญ่ หยาดน้ำตาราวกับเม็ดไข่มุกร่วงลงมาจากกระบอกตา “ข้า…ข้าไม่รู้…”
“เลวทราม” ลิ่นฉังอวิ๋นยกเท้าจะถีบไปที่ชายผู้นั้น ทว่าถูกองครักษ์ด้านข้างขวางเอาไว้ ลิ่นฉังอวิ๋นโกรธเกรี้ยว “เจ้าหมายความเช่นไร”
องครักษ์กัดฟัน ทว่ายังคงยืนขวางลิ่นฉังอวิ๋นเอาไว้ มองชายตรงหน้าด้วยความลำบากใจ เอ่ย “นี่คือ…คุณชายใหญ่จวนเกาอี้ปั๋วขอรับ”
หนานกงมั่วพิงไหล่เว่ยจวินมั่วท่าทางเกียจคร้าน มองภาพในห้องตรงหน้าอย่างอารมณ์ดี ยกมือขึ้นป้องปากหาวเบาๆ เว่ยจวินมั่วก้มหน้ามามอง เอ่ยถามเสียงเบา “ง่วงแล้วหรือ” หนานกงมั่วกะพริบตา ส่ายศีรษะพลางเอ่ย “เปล่า พลันโล่งใจขึ้นมา…จึงหมดแรงเล็กน้อย”
“โล่งใจหรือ” คุณชายเว่ยเลิกคิ้ว
หนานกงมั่วเงยหน้าขึ้นมา มองเขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า “เมื่อครู่คุณชายรองลิ่นบอกกับข้า ว่าข้าจะมีน้องสาวเพิ่มมาอีกคน”
เว่ยจวินมั่วยกมือขึ้นลูบศีรษะของนางเบาๆ ส่ายศีรษะเอ่ยด้วยความเสียใจ “แม่ยายจากไปนานแล้ว อาจารย์และอาจารย์อาก็คงไม่รับศิษย์น้องหญิง อู๋สยาไม่มีน้องสาวแล้ว”
เสียงพูดคุยของสองคนนี้เบามาก ใช้ระดับเสียงที่คนด้านข้างจะได้ยินชัดเจนพอดี หนานกงมั่วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “เช่นนั้นก็ดี ข้าเกลียดพี่สาวน้องสาวอันใดแบบนี้ที่สุดแล้ว เมื่อครู่ยังคิดอยู่เลยว่าจะจัดการสตรีแพศยานั่นอย่างไร แต่กลับไม่เกี่ยวอันใดกับข้า เช่นนั้นก็ช่างเถิด เพียงแต่…เมื่อครู่ท่านไปอยู่ที่ใดหรือ คุณชายรองลิ่นบอกว่าท่านอยู่ด้านใน”
เว่ยจวินมั่วกวาดตามองลิ่นฉังอานที่ใบหน้าซีดขาว เอ่ย “เขามองผิดแล้ว ข้าไม่มีนิสัยนอนกลางวัน ข้าอยู่ในห้องหนังสือ” ชี้ไปยังประตูอีกฝั่งของทางเดิน “ที่นั่นยังมีห้องหนังสือเล็กๆ ข้ากับคุณชายเซี่ยเจ็ดนั่งดื่มชาอยู่ที่นั่นสักพักแล้ว”
“คุณชายเซี่ยเจ็ดหรือ” หนานกงมั่วเลิกคิ้ว มองไปด้านหลัง ไม่เห็นคุณชายเซี่ยเจ็ด
เว่ยจวินมั่วเอ่ยด้วยท่าทางใจเย็น “ยังอยู่ในห้องหนังสือ”
ฝั่งนี้พูดคุยกันไปมา ราวกับกำลังคุยเล่น ฝั่งนายท่านตระกูลลิ่นแทบอยากอุดปากสองคนนี้เอาไว้ ได้ยินคำว่าคุณชายรองลิ่นออกมาจากปากหนานกงมั่ว เขาพลันรู้สึกว่าหัวใจเจ็ดปวดขึ้นมา แต่ราวกับว่าหนานกงมั่วกำลังเป็นศัตรูกับเขา วาจานี้มักหนีไม่พ้นว่าลิ่นฉังอานเป็นอย่างไร ยิ่งทำให้คนฟังที่อยู่ในสถานการณ์มองไปยังลิ่นฉังอานด้วยสายตาแปลกประหลาดขึ้นมา
เมื่อได้รับคำรายงานจากองครักษ์ จูชูอวี้และเซียวเชียนเหว่ยรู้เรื่องแล้ว เซียวเชียนเหว่ยคอยรับรองแขกในงานเลี้ยงต่อ ขณะที่จูชูอวี้รีบเร่งพาคนมายังหอผิงซิน ด้านหลังนางยังมีลิ่นฉังเฟิง เจี่ยนชิวหยางและคุณชายเสียนเกอที่มาเองโดยไม่ต้องเชิญ
เมื่อเข้ามาในเรือนห้องพักส่วนตัว ก็มองเห็นหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วที่ยืนเคียงข้างก้มหน้าก้มตาพูดคุยกันเสียงเบา จูชูอวี้หัวใจหนักอึ้ง
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น”
เจ้าหน้าที่หลายคนยืนอยู่ด้านข้าง ใบหน้ารังเกียจมองไปยังลิ่นฮั่นที่กำลังร้องห่มร้องไห้และคุณชายใหญ่ตระกูลจูที่ถูกคนประคองขึ้นมาแล้ว นายท่านฉินกระแอมไอ เอ่ย “พระชายาเจิ้งอ๋องดูเองเถิด ข้าคงไม่รบกวนแล้ว ได้ยินว่าคุณชายเซี่ยเจ็ดเดินหมากได้ไม่เลว ข้าจะไปประลองฝีมือสักกระดาน จื่อซวี่ ไปกับข้าเถิด” ผู้ดีไม่ดูสิ่งไร้จริยธรรม
ฉินจื่อซวี่กลับไม่เหมือนบิดาของเขา รอยยิ้มนอบน้อม “ท่านพ่อ ลูกยังเป็นผู้ว่าการเขตอิ้งเทียนอยู่ขอรับ” เรื่องนี้หากเป็นการลักลอบมีความสัมพันธ์ก็ยังดี ทว่าหากเป็นแผนการของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด…ก็มีพื้นที่ให้เขาทำงานแล้ว
นายท่านฉินส่ายศีรษะ ไม่สนใจบุตรชายอีกแล้วหมุนตัวเดินออกไป
องครักษ์ก้าวเข้ามา กระซิบอยู่ข้างหูจูชูอวี้ไม่กี่ประโยค สีหน้าของจูชูอวี้ยิ่งไม่น่ามองมากขึ้น สูดหายใจเข้าลึก หันกลับไปเอ่ยกับนายท่านลิ่น “นายท่านลิ่น เรื่องนี้จวนเกาอี้โหวจะต้องมีคำอธิบายให้ท่านอย่างแน่นอน”
ลิ่นฉังอวิ๋นเดินออกมาจากด้านใน หัวเราะเสียงเย็นพลางเอ่ย “อธิบายหรือ พวกเจ้าจะมีคำอธิบายอันใดได้”
ลิ่นฮั่นคือคุณหนูเชื้อสายหลักของตระกูลลิ่น ฐานะสูงส่ง แต่คุณชายใหญ่จวนเกาอี้โหวปีนี้อายุสามสิบสองแล้ว มีภรรยาน้อยใหญ่มากมายไม่พอ ยังมีบุตรชายเชื้อสายหลักสี่คนบุตรสาวเชื้อสายหลักสองคนและบุตรชายบุตรสาวเชื้อสายรองอีกจำนวนหนึ่ง คุณหนูหกตระกูลลิ่นจะไปเป็นแม่เลี้ยงหรือภรรยารองกันเล่า
จูชูอวี้สีหน้าทะมึนขึ้นทว่าไม่ได้โกรธแต่อย่างใด เพียงมองทุกคนด้วยท่าทีสงบ เอ่ย “นี่เป็นเรื่องของตระกูลจูและตระกูลลิ่น ขอทุกท่านกลับออกไปก่อนเถิด”
ฉินจื่อซวี่เอ่ยเสียงเรียบ “พระชายาเจิ้งอ๋อง วาจานี้อาจไม่ถูกแล้ว เมื่อครู่คุณชายรองลิ่นยืนขวางพระชายาฉู่อ๋องอยู่หน้าประตู สาบานต่อฟ้าดินว่าด้านในคือฉู่อ๋อง หากเรื่องนี้ถูกแพร่งพรายออกไป เกรงว่าเรื่องนี้คงไม่เป็นผลดีต่อชื่อเสียงของฉู่อ๋อง หรือไม่ต้องให้คำอธิบายแก่ฉู่อ๋องและพระชายาฉู่อ๋องเลยหรือ”
จูชูอวี้ตวัดสายตาเย็นเยียบให้ฉินจื่อซวี่ ฉินจื่อซวี่ยิ้มเป็นมารยาท คงไว้ด้วยท่าทางสบายๆ
“แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด” จูชูอวี้เอ่ย ตอนนี้นางอยากไล่คนเหล่านี้ออกไปให้หมด แต่คนที่อยู่ดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างที่นางต้องการ ลิ่นฉังเฟิงใช้พัดเท้าคาง ปรายตามองเว่ยจวินมั่วอย่างเกียจคร้าน เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฉู่อ๋อง น่าเสียดายจัง อีกนิดเดียวเจ้าก็จะได้มีความสุขกับหญิงงามแล้ว น่าเสียดายถูกคนตัดหน้าไปก่อน เสียชื่อชะมัด ฉู่อ๋อง เจ้าคิดเห็นอย่างไร”
หนานกงมั่วดึงคุณชายเว่ยไปอยู่ด้านหลังด้วยท่าทางปกป้องคน ‘อ่อนแอ’ ข้างนอกอันตรายเกินไปแล้ว แม้แต่บุรุษก็ต้องระมัดระวังความปลอดภัย คุณชายฉังเฟิง เจ้าตัวคนเดียวก็ต้องระวังสักหน่อย”
คุณชายฉังเฟิงกระตุกมุมปาก ยกนิ้วหัวแม้มือให้หนานกงมั่วอย่างอดไม่ได้ เจ้าเก่ง
ลิ่นฉังอวิ๋นที่อยู่ด้านข้างเห็นลิ่นฉังเฟิงเอ่ยหยอกล้อกับหนานกงมั่ว ความโกรธในใจยิ่งปะทุขึ้นมา แต่เขาไม่มีเวลาไปสนใจลิ่นฉังเฟิง หมุนตัวหันไปหาจูชูอวี้ กัดฟันเอ่ย “พระชายาเจิ้งอ๋อง ตระกูลจูของท่านจะให้คำอธิบายต่อตระกูลลิ่นของเราอย่างไร เรื่องในวันนี้…หากไร้คำอธิบายที่น่าพึงพอใจแก่เรา อย่าหาว่าตระกูลลิ่นของเราไม่เกรงใจเล่า”
จูชูอวี้ย่นคิ้ว ไม่พอใจกับท่าทางไร้มารยาทของลิ่นฉังอวิ๋นอยู่เล็กน้อย เอ่ยเสียงเข้ม “ในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว โกรธไปก็ไม่ได้อันใด พวกเราถามเรื่องราวให้ชัดเจนก่อนเป็นเช่นไร”
“ท่านหมายความเยี่ยงไร” ลิ่นฉังอวิ๋นหรี่ตาลง เรื่องเช่นนี้มองอย่างไรสตรีก็เป็นฝ่ายเสียหาย วาจาของจูชูอวี้ เห็นได้ชัดว่าคิดว่าลิ่นฮั่นล่อลวงคุณชายใหญ่จู
ดวงตาของจูชูอวี้เยือกเย็น เอ่ยเสียงเรียบ “ข้าเพียงแปลกใจ คุณหนูหกตระกูลลิ่น ไยจึงมาอยู่ในหอผิงซินได้”
“ท่าน!”
สีหน้าของคุณชายใหญ่ตระกูลจูนั้นเจ็บปวด เสื้อผ้าไม่จัดให้เรียบร้อยเดินโซเซออกมาจากทางด้านใน กัดฟันเอ่ยด้วยความโกรธ “อวี้เอ๋อร์ ไม่เกี่ยวกับข้า สตรีนางนี้ล่อลวงข้า ข้าไม่รู้เรื่องอันใดทั้งนั้น”
วาจานี้ถูกเอ่ยออกไป พลันทำให้ความโกรธของลิ่นฉังอวิ๋นระเบิดออกมา ลิ่นฉังอวิ๋นคำรามพุ่งตัวเข้าไป ทั้งต่อยทั้งถีบคุณชายใหญ่ตระกูลจู “ข้าจะตีคนชั่วช้าอย่างเจ้าให้ตาย เจ้าเป็นตัวอันใดกัน กล้าบอกว่าน้องสาวข้าล่อลวงเจ้า”
คนด้านข้างไม่ทันห้าม ทำให้ลิ่นฉังอวิ๋นกดคนลงบนพื้นและทุบตีหนักหน่วง เมื่อเริ่มได้สติกลับมาจึงรีบเข้าไปแยกสองคนออกจากกัน เพียงแต่คุณชายใหญ่ตระกูลจูนั้นโดนหมัดและเท้าไปหลายครั้งแล้ว งอตัวอยู่บนพื้นไม่อาจลุกขึ้นมาได้ มองสถานการณ์วุ่นวายตรงหน้า สบเข้ากับสายตาคล้ายจะยิ้มทว่าไม่ยิ้มของหนานกงมั่ว จูชูอวี้พลันรู้สึกปวดสมองขึ้นมา ตะโกนเสียงดัง “หุบปากเดี๋ยวนี้”