หมอหญิงยอดมือสังหาร - ตอนที่ 1176 แม่ลูกเช่นนี้
ตอนที่ 1176 แม่ลูกเช่นนี้
ออกมาจากร้านค้าร้านนั้นแล้ว ขณะทั้งสองเดินอยู่บนถนน หนานกงมั่วหันไปมองหนานกงชวี่ที่เดินอยู่ด้านข้างด้วยความสงสัย หนานกงชวี่หยุดเท้า เอ่ยถาม “ทำไมหรือ”
หนานกงมั่วยิ้มเอ่ย “พี่ใหญ่ ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
“ต้องเป็นอันใดเล่า” หนานกงชวี่ขมวดคิ้วเอ่ยถาม ชะงักไปชั่วครู่จึงเข้าใจคำถามของหนานกงมั่ว เอ่ยเสียงเรียบ “ตั้งแต่วันที่หย่าวันนั้น ตระกูลหลินก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับพวกเราแล้ว” ดังนั้นเขาไม่มีทางลำบากใจเพราะตระกูลหลินและหลินซื่อ คนเหล่านี้ไม่มีคุณสมบัติที่จะทำให้เขาลำบากใจได้
หนานกงมั่วพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดีแล้วเจ้าค่ะ เพียงแต่…เรื่องเหล่านี้หากไปถึงหูตระกูลเซวีย คงจะไม่ดีนัก”
หนานกงชวี่พยักหน้า หลักครองตนในสังคมแน่นอนว่าเขาเข้าใจ เพียงแต่ไม่ใส่ใจหลายอย่างเท่านั้น “ข้าจัดการได้ ไม่ต้องกังวล” หนานกงมั่วยิ้มเอ่ย “เช่นนั้นก็ดีเจ้าค่ะ พี่ใหญ่ท่านจัดการ แน่นอนว่าข้าวางใจ ฝั่งเสียวเสี่ยว ข้าจะอธิบายให้นางฟังเองเจ้าค่ะ”
หนานกงชวี่เงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้า “ขอบคุณมาก”
หนานกงมั่วกะพริบตา ความจริงในใจนั้นรู้สึกประหลาดใจต่อความสัมพันธ์ของหนานกงชวี่และเซวียเสียวเสี่ยวเป็นอย่างยิ่ง ในหัวใจของหนานกงชวี่ เซวียเสียวเสี่ยวอยู่ในตำแหน่งใดกันแน่ แต่ว่านางไม่ใช่คนไม่รู้ขอบเขต เรื่องแบบนี้ไม่ควรถามถึงที่สุดจะดีกว่า อย่างน้อยตอนนี้เห็นว่าหนานกงชวี่พึงพอใจเซวียเสียวเสี่ยวมาก หนานกงชวี่ไม่ใช่คนเจ้าชู้หรือไม่มีความรับผิดชอบ ในเมื่อแต่งเซวียเสียวเสี่ยวแล้วแน่นอนว่าต้องดีกับนาง ความรู้สึกหรือ ค่อยๆ สร้างมันขึ้นมาอย่างไรก็ต้องมี
“เอ๋” ดวงตาของหนานกงมั่วพลันกวาดไปเจอคนคนหนึ่ง รีบลากหนานกงชวี่เข้าไปหลบอยู่จุดหนึ่งที่ข้างถนน หนานกงชวี่มองนางอย่างไม่เข้าใจ ทั้งมองไปข้างหน้า ไม่มีใครมีสิ่งใดเป็นพิเศษ “เป็นอันใดหรือ”
ดวงตาของหนานกงมั่วกลอกไปมา ยิ้มพลางเอ่ย “พี่ใหญ่ เหนื่อยแล้ว พวกเราไปดื่มชากันเถิดเจ้าค่ะ” ชี้ไปยังโรงน้ำชาตรงหน้า แน่นอนว่าหนานกงชวี่ไม่ปฏิเสธ วันนี้เขาว่างออกมาเดิมทีก็เพราะมาจัดเตรียมของแทนเขา ดื่มชาเป็นเพื่อนน้องสาวแน่นอนว่าไม่มีปัญหา
ทั้งสองเดินเข้าไปในโรงน้ำชา ไม่นานก็มีเสี่ยวเอ้อร์เข้ามาต้อนรับ หนานกงมั่วกวาดตามองห้องโถงใหญ่ของร้านไปหนึ่งรอบ เดินตรงขึ้นไปยังชั้นสอง
“ลูกค้าทั้งสอง ดื่มชาหรือทานข้าวขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์ที่เดินตามอยู่ด้านหลังเอ่ยถาม
หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ยังไม่ใกล้ถึงเวลาอาหาร ดื่มชาเถิด” ขึ้นมาด้านบน หนานกงมั่วมองเล็กน้อย ขมวดคิ้วขึ้น เอ่ยเสียงเบา “เมื่อครู่เห็นว่าพี่ใหญ่ขึ้นมากับคน ไยจึงไม่เห็นแล้วเล่า” เสี่ยวเอ้อร์ได้ยิน ครุ่นคิดพลางเอ่ย “แม่นางหาคนหรือขอรับ คุณชายชุดขาวใบหน้าหล่อเหลาหรือไม่ขอรับ” ดูรูปโฉมของทั้งสองคน อีกทั้งในบรรดาคนที่เข้ามาเมื่อครู่ เป็นพี่ใหญ่ผู้นี้ได้คงไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
หนานกงมั่วพยักหน้าติดๆ “ใช่แล้ว นี่เพิ่งเดินตามกันเข้ามา ไยจึงไม่เห็นแล้วเล่า”
เสี่ยวเอ้อร์ยิ้มเอ่ย “ร้านของเรามีห้องส่วนตัวอยู่ไม่กี่ห้อง คุณชายผู้นั้นเขามากับคนใช้ห้องอักษรหลานหมายเลขสามขอรับ ให้ข้าน้อยพาทั้งสองท่านไปหรือไม่ขอรับ”
หนานกงมั่วโบกมือ ยิ้มพลางเอ่ย “ช่างเถิด พวกเราแอบออกมา พี่ใหญ่เจอเข้าคงโกรธเอาได้ มิสู้…ห้องหมายเลขสองหมายเลขสี่ยังว่างอยู่หรือไม่”
เสี่ยวเอ้อร์ครุ่นคิด “ห้องหมายเลขสี่มีคนแล้ว ห้องหมายเลขสองยังว่างอยู่ขอรับ”
“พวกเราเข้าไปกันเถิด”
“ขอรับ ข้าน้อยจะนำทางท่านทั้งสอง”
ไม่นาน ทั้งสองก็เข้ามาในห้องส่วนตัวหมายเลขสอง ห้องไม่ได้ใหญ่มาก ทว่าเงียบสงบ สั่งน้ำชาหนึ่งกากับของว่างไม่กี่อย่าง เสี่ยวเอ้อร์ก็รับเงินรางวัลเดินถอยออกไปด้วยความยินดี
เมื่อนั่งลงแล้ว หนานกงชวี่จึงเลิกคิ้วพลางเอ่ยถาม “เจ้าเห็นผู้ใดหรือ คุณชายชุดขาว…เสียนเกอหรือ มิน่าเสี่ยวเอ้อร์นั่นถึงเชื่อเจ้า”
หนานกงมั่วปิดร้อมฝีปากยิ้ม เอ่ย “เขาอาจจะไม่ได้เชื่อคำของข้า ในใจไม่รู้กำลังคิดสิ่งใดอยู่ แต่นั่นไม่สำคัญ ได้ข้อมูลก็พอแล้ว” ยกมือชี้ไปด้านข้าง บอกใบ้ให้หนานกงชวี่เสียงเบาลงสักหน่อย ห้องส่วนตัวของโรงน้ำชาแห่งนี้ถือว่าเก็บเสียงได้ไม่เลว นั่งอยู่ด้านในไม่ได้ยินเสียงพูดคุยจากด้านนอกด้วยซ้ำ หนานกงมั่วครุ่นคิด เดินเข้าไปเตะเก้าอี้ตรงหน้าที่วางอยู่ไม่ไกลออกไป เก้าอี้ล้มเสียงดังตึงลงไป ขณะเดียวกันกริชในมือของหนานกงมั่วก็เคลื่อนไหวรวดเร็ว วาดผนังตรงหน้าเป็นวงกลม
กริชที่หนานกงมั่วใช้พกติดตัวแน่นอนว่าเป็นของดี ร่องรอยบนผนังดูไม่ได้โดดเด่นนัก แต่หนานกงมั่วยื่นมือไปแกะเบาๆ ชิ้นไม้ก็หลุดออกมา ไม่อาจมองเห็นอีกด้านจากช่องนั้น แต่เสียงที่เดิมไม่ได้ยินกลับออกมาจากช่องอย่างชัดเจน
เสี่ยวเอ้อร์ที่ไปแล้วกลับมาพร้อมกับชาและของว่าง เห็นเก้าอี้ที่ล้มลงไปบนพื้นพลันมองทั้งสองด้วยความประหลาดใจอยู่เล็กน้อย หนานกงมั่วใช้หลังยืนบังช่องบนกำแพงด้วยรอยยิ้มหวาน เอ่ยด้วยรอยยิ้มเสียงเบา “ไม่ทันระวังเตะจนล้มแล้ว” หนานกงชวี่ก็ไม่เปิดโปงนาง เดินไปจับเก้าอี้ตั้งขึ้นมา เสี่ยวเอ้อร์ยิ้มอย่างมึนงง หมุนตัวเดินออกไป
ทั้งสองมองสบตากัน หนานกงชวี่ขมวดคิ้วกำลังจะเอ่ยปาก หนานกงมั่วใช้นิ้วชี้ปิดริมฝีปาก ทำท่าทางบอกให้เขาเงียบลง
เสียงเย็นชาของสตรีดังขึ้นมาจากในห้อง “อี้จือ เจ้ากำลังโทษข้าอยู่หรือ”
เป็นเสียงของซูฮูหยินที่เจอในงานเลี้ยงชมดอกเหมยวันนั้น คิ้วสวยของหนานกงมั่วขมวดมุ่น ไม่นานเสียงของเสียนเกอพลันส่งเข้ามา เมื่อเทียบกับน้ำเสียงยามพูดคุยปกติ หรือเกียจคร้าน หรือเย้ยหยัน มีความเย็นชาและห่างเหินมากกว่า “ท่านมีเรื่องอันใดกันแน่”
แววตาของหนานกงมั่วฉายแววงงงวย ซูฮูหยินรู้ได้อย่างไรว่าศิษย์พี่คือ…ดูเหมือนจะไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาเจอกันอย่างนั้นหรือ
ในห้องอักษรหลานหมายเลขสาม คุณชายเสียนเกอในชุดสีขาวนั่งอยู่ริมหน้าต่าง สีหน้าเย็นชาแฝงไปด้วยความเบื่อหน่าย
เก้าอี้ด้านหลังเขา มีสตรีวัยกลางคนหน้าตาสะสวยนั่งอยู่ ก็คือคุณหนูจ้าวผู้นั้น ยามนี้เป็นฮูหยินอาจารย์สำนักศึกษาฮั่นหลิน
ซูฮูหยินมองเสียนเกอพร้อมกับขมวดคิ้วเบาๆ ราวกับไม่พอใจกับความเย็นชาของเสียนเกอ แต่ไม่รู้ทำไมยังกักเก็บความไม่พอใจเอาไว้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เรื่องในครั้งนั้นเป็นอุบัติเหตุจริงๆ คนอื่นไม่เชื่อข้า หรือว่าเจ้าเองก็ไม่เชื่อแม่หรือ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้เป็นเช่นนี้ มิเช่นนั้น ตอนนั้นเจ้าก็คงไม่กลับมาหาข้า ใช่หรือไม่”
ดวงตาของคุณชายเสียนเกอราวกับมีชั้นน้ำแข็งขึ้นมาอีกหนึ่งชั้น “หากท่านยังยืนยันจะอ้อมค้อม ข้าคงไม่อยู่เป็นเพื่อนแล้ว” เอ่ยจบจึงลุกขึ้นมาเตรียมเดินหนีไป
ซูฮูหยินชะงัก “อี้จือ!”
“ข้าชื่อเสียนเกอ” คุณชายเสียนเกอหันกลับไป มองนางนิ่งพร้อมเอ่ยขึ้นเสียงเข้ม
ซูฮูหยินพยักหน้าเบาๆ “ข้ารู้จักเจ้าแล้ว นั่งลงคุยกับแม่ดีหรือไม่ ไม่ได้เจอมาหลายปีแล้ว…”
คุณชายเสียนเกอไม่เอ่ยสิ่งใดอีก หมุนตัวเดินตรงไปยังประตู
“ข้ามีเรื่องมาหาเจ้า” บางทีอาจรู้แล้วว่าท่าทางอ่อนโยนนั้นใช้ไม่ได้กับคุณชายเสียนเกอ ซูฮูหยินจึงเก็บรอยยิ้มอ่อนโยนนั้นไป เช่นนี้ นางยังคงมีท่าทางอ่อนโยนสง่างาม แต่ในสายตาของคุณชายเสียนเกอ สีหน้าเช่นนี้เย็นชาไร้ความปรานีเสียยิ่งกว่า
คุณชายเสียนเกอหยุดฝีเท้าลง ซูฮูหยินจึงถอนหายใจ ไม่กล้าเอ่ยอ้อมค้อมอีก เพียงเอ่ย “ข้ารู้ว่าเจ้ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับฉู่อ๋องและพระชายาฉู่อ๋อง ดังนั้นจึงอยากขอให้เจ้าช่วย”
“ช่วยอันใด” คุณชายเสียนเกอเอ่ยถาม
ได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของซูฮูหยินมีรอยยิ้มพึงพอใจขึ้นมา เอ่ย “เจ้าก็รู้ น้องชายน้องสาวของเจ้าหลายปีมานี้ไม่ได้มีชีวิตที่ดีนัก ครั้งนี้พระชายาฉู่อ๋องจัดงานเลี้ยงชมดอกเหมย ฝ่าบาทยังเสด็จมาด้วยพระองค์เอง ฮองเฮายังพระราชทานสมรสแก่ใครหลายคน หากมีพระชายาฉู่อ๋องออกหน้าเอ่ยเรื่องแต่งงานให้พวกเขา ข้าถึงจะวางใจ อีกทั้งท่านซู…หลายปีมานี้ถูกกดเอาไว้มาโดยตลอด…”
คุณชายเสียนเกอมองนางด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ทว่าทำให้นางเอ่ยต่อไปได้ยากลำบาก ถูกมองจนทำตัวไม่ถูก ซูฮูหยินย่นคิ้ว “เจ้ามองอันใด”
คุณชายเสียนเกอยิ้มหยัน เอ่ย “คุณชายอย่างข้าได้ยินมาว่า ใต้เท้าซูและซูฮูหยินรักมั่นสุดหัวใจ มิใช่มีคำกล่าวที่ว่า เมื่อมีรักเพียงดื่มน้ำก็อิ่มได้มิใช่หรือ ซูฮูหยินไม่สนใจสิ่งใดๆ บนโลก ความรู้สึกล้ำค่า ยามนี้ไยจึงเริ่มแสวงหาสิ่งเหล่านี้แล้วเล่า”
สีหน้าบนใบหน้างดงามของซูฮูหยินพลันเปลี่ยน นางไม่ได้โง่ แน่นอนไม่มีทางฟังไม่ออกว่าคุณชายเสียนเกอกำลังเย้ยหยัน
นางกัดฟันเอ่ย “เจ้าจะไม่ยอมช่วยหรือ”
คุณชายเสียนเกอเอ่ยเสียงเรียบ “ไยข้าต้องช่วย”
“ข้าคือแม่ของเจ้า พวกเขาเป็นน้องชายน้องสาวของเจ้า” ซูฮูหยินเสียงดังขึ้นมาเล็กน้อย
คุณชายเสียนเกอยังคงเย็นชา “เช่นนั้นแล้วอย่างไร”
ซูฮูหยินสะอึก เนิ่นนานก่อนจะถอนหายใจออกมา มองเขาด้วยความโศกเศร้า เอ่ย “อี้จือ ข้ารู้ว่าข้าผิดต่อเจ้า หากมิใช่เพราะข้าไม่ทันระวัง ก็คงไม่ทำเจ้าหายไป ทำให้เจ้าลำบากเพียงนี้ แต่ว่าเจ้าเชื่อแม่ ข้าคิดถึงเจ้าอยู่ตลอดเวลา”
คุณชายเสียนเกอพยักหน้า “ใช่ คิดถึงข้า ดังนั้นตอนอายุสิบสามที่ข้ากลับมา เจ้าก็เกือบให้คนฆ่าข้าตาย”
ได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของซูฮูหยินพลันซีดขาว จ้องมองคุณชายเสียนเกอนิ่งไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้ คุณชายเสียนเกอยิ้มหยัน เอ่ย “เห็นข้ามายืนอยู่ตรงหน้าท่านอีกครั้ง ท่านไม่เคยคิดเลยหรือ พวกไม่ได้เรื่องที่ท่านส่งมาพวกนั้น…”
“ข้าไม่ได้ต้องการให้เจ้าตาย” ซูฮูหยินรีบเอ่ยขึ้นมาขัดวาจาของเขา
คุณชายเสียนเกอพยักหน้าเห็นด้วย “อืม ท่านเพียงอยากให้คนพาข้าไปไกลๆ ทางที่ดีอย่าได้กลับมายังจินหลิงอีก เพื่อจะได้ไม่รบกวนชีวิตครองคู่ประดุจเทพเซียนของท่านกับซูทั่นฮวา” ซูฮูหยินหน้าซีดพูดไม่ออก คุณชายเสียนเกอเลิกคิ้ว เอ่ย “ต่อให้เป็นตอนนี้ ท่านก็ยังคิดเช่นนี้ ทั้งต้องการให้ข้าช่วยแก้ปัญหาพวกนั้นให้ท่านอย่างลับๆ ทั้งไม่อยากให้ใครรู้ความสัมพันธ์ของท่านกับข้า โดยเฉพาะให้ตระกูลหยางรู้ถึงการมีอยู่ของข้า ใช่หรือไม่ ท่านคิดว่าท่านเป็นใคร”
ซูฮูหยินกำมือแน่น เอ่ย “ข้าเป็นแม่ของเจ้า ข้าให้กำเนิดเจ้า”
“แล้วเช่นไรเล่า” คุณชายเสียนเกอหันหลังพิงกำแพง เอ่ยด้วยท่าทางเกียจคร้าน
ซูฮูหยินมองชายไร้มารยาท รูปหน้าคล้ายตนเองอยู่หลายส่วนตรงหน้า ดวงตาฉายแววเจ็บปวดและเสียใจ นี่คือบุตรชายของนาง หล่อเหลาโดดเด่น น่าเสียดาย…เขากลับไม่ใช่ลูกของนางกับสามี ดังนั้นนางจึงไม่รักเขา นางกับสามีแต่งงานกันมาเกือบสามสิบปี สามีมีใจรักมั่นต่อนาง ข้างกายไม่เคยมีสตรีอื่นใด เดิมนางควรพอใจ น่าเสียดายบุตรชายทั้งสองและบุตรสาวหนึ่งคนที่พวกเขาสองสามีภรรยาให้กำเนิด เมื่อเทียบกับคนตรงหน้า คงใช้เพียงคำว่าธรรมดามาอธิบายได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง การต่อต้านจากผู้คนในจินหลิง ทำให้ลูกๆ ไม่กี่คนที่นางรักสุดหัวใจ ต่อให้งดงามโดดเด่นก็ยากที่จะมีวันโงหัวขึ้นมาได้ นางจึงต้องมาขอร้องต่อ…
บุตรชายที่ตนทอดทิ้งราวกับสิ่งของไร้ค่า
แต่เขากลับปฏิเสธนางอย่างไร้เยื่อใย
ซูฮูหยินไม่คิดว่าตนเองมีสิ่งใดไม่ถูก นางเป็นมารดาของเขา คนเป็นลูกต้องเชื่อฟังและกตัญญูต่อมารดามิใช่หรือ แต่เสียนเกอกลับเย็นชาอกตัญญู นางทิ้งเขาไปในนั้นตอนนับว่าทำถูกแล้ว
คุณชายเสียนเกอมองความรังเกียจที่ค่อยๆ เอ่อล้นออกมาจากสายตาของซูฮูหยิน พลันหัวเราะขึ้นมา ราวกับตอนนี้มีความสุขมาก ในที่สุดสตรีผู้นี้ก็ไม่แสร้งทำเป็นแสดงความรักต่อหน้าเขาแล้ว นางไม่รู้ว่าหรือว่าเมื่อมองเห็นท่าทางเสแสร้งของนาง เขาก็อยากหัวเราะและรู้สึกรังเกียจเพียงใด เพราะแม้แต่การเสแสร้งของนางยังทำเพียงให้ผ่านๆ ไป เสแสร้งไม่เข้าท่าแม้เพียงนิด สตรีผู้นี้เกิดในตระกูลจ้าว คิดว่าตนเองเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์ แม้จะถูกตระกูลจ้าวตัดความสัมพันธ์ ยังคิดว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นถูกต้องทุกอย่าง คิดว่าทุกคนต้องยอมนาง คิดว่าต่อให้ถูกนางทอดทิง เขาก็ไม่ควรโกรธนาง ยังต้องเป็นบุตรชายที่ว่านอนสอนง่ายเชื่อฟังคำของนาง
เสียนเกอประหลาดใจว่าตระกูลจ้าวเลี้ยงคนแปลกประหลาดเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร
“เจ้าต้องช่วยน้องชายน้องสาวของเจ้า” ซูฮูหยินเอ่ยอย่างเด็ดขาด ดวงตาจ้องเขม็งไปยังคุณชายเสียนเกอ
คุณชายเสียนเกอยักไหล่ เอ่ยเสียงเรียบ “หากท่านเอ่ยเพียงเท่านี้ เช่นนั้นคงต้องขอตัวแล้ว ทางที่ดีต่อไปอย่าได้เจอกันอีก อย่างไร…ฮูหยิน ท่านคงไม่ต้องการให้สามีรู้ว่าแอบมานัดพบกับชายหนุ่มกระมัง โดยเฉพาะ…คุณชายอย่างข้าที่หน้าตาหล่อเหล่าไม่ธรรมดาถึงเพียงนี้”
“ข้า…” ซูฮูหยินอยากเอ่ยว่านางไม่ได้นัดพบกับบุรุษ
คุณชายเสียนเกอโบกมือ ไม่ใส่ใจ “ไม่ต้องมาอธิบายกับข้า ไม่ว่าจะเป็นท่าน หรือบุตรชายบุตรสาวของท่านข้าก็ไม่สนใจ จริงสิ อย่ามายุ่งกับข้า มิเช่นนั้น…ข้าไม่รู้ว่าข้าจะทำอันใดขึ้นมาได้บ้าง อย่างที่ท่านเอ่ย ข้าเป็นศิษย์พี่ของพระชายาฉู่อ๋อง บีบขุนนางขั้นห้าเล็กๆ ให้ตายคงไม่ใช่ปัญหากระมัง”
“เจ้ากล้า”
คุณชายเสียนเกอยิ้มเย็น ยื่นมือไปเปิดประตูเตรียมตัวออกไป
“เจ้าลูกอกตัญญู โชคดีที่ข้าไม่เลี้ยงเจ้ามา” ซูฮูหยินจับโต๊ะเอาไว้แน่น มองแผ่นหลังหยิ่งยโสของคุณชายเสียนเกอ
คุณชายเสียนเกอยิ้มเย็น เปิดประตูออกไปแล้ว
ในห้องด้านข้าง นิ่งเงียบฟังบทสนทนาที่ดังมาจากอีกห้อง สีหน้ากลับไม่ดีนัก สายตาคมของหนานกงมั่วจับจ้องไปที่ผนัง ราวกับสายตาสามารถทะลุผนังแทงคนด้านหลังนั้นให้พรุนได้ หนานกงชวี่ยังดีสักหน่อย เพียงแต่ใบหน้าตะลึงงันไม่อาจเก็บเอาไว้ได้ เขาก็เติบโตมาในจินหลิง เรื่องราวของตระกูลซูแน่นอนว่าเคยได้ยินมาบ้าง เมื่อฟังบทสนทนาของทั้งสองก็สามารถคาดเดารายละเอียดได้ บนโลกใบนี้…มีสตรีเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ
ตอนนั้นเขาคิดว่าสตรีอย่างเฉียวเฟยเยียนและเจิ้งซื่อก็น่าสะอิดสะเอียนยิ่งแล้ว แต่เมื่อเทียบกับสตรีผู้นี้ พวกนางจะนับประสาอันใดกัน
‘กรึก’ ถ้วยชาในมือของหนานกงมั่วแตกละเอียด น้ำชาอุ่นๆ เปียกชื้นไปทั่วทั้งมือ ใบหน้าของหนานกงมั่วเย็นยะเยือก “ดียิ่งนัก นางต้องการให้ศิษย์พี่ช่วยหรือ ข้าก็จะช่วยให้นางสมปรารถนา”