หมอหญิงยอดมือสังหาร - ตอนที่ 1114 การสละชีวิตเพื่อแผ่นดินของหันหมิ่น (1)
ตอนที่ 1114 การสละชีวิตเพื่อแผ่นดินของหันหมิ่น (1)
“นี่เป็นไปไม่ได้” ได้ยินเช่นนั้น สีหน้าหันหมิ่นพลันเปลี่ยน เอ่ยขึ้นเสียงดัง
คนผู้นั้นเองก็สีหน้าหมองหม่น มองหันหมิ่นที่ยังอึกอัก ต่อหน้าผู้คนมากมายไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจเอ่ยวาจาเท็จ เมื่อถูกเปิดโปง ผลที่ตามมาคงน่าละอายเป็นอย่างยิ่ง หันหมิ่นยื่นมือมาคว้าราชโองการผ้าไหมสีเหลืองสดกลับไป ยังคงเป็นผ้าไหมสีเหลืองสด เขียนด้วยตัวอักษรสีแดงที่คุ้นเคย ไยจึง…
หันหมิ่นเงยหน้าขึ้นทันใด จ้องมองคนตรงหน้าด้วยความโกรธ
คนผู้นั้นจนปัญญา เอ่ยเสียงเบา “ใต้เท้าหัน ลายมือนี้คล้ายลายพระหัตถ์ของฝ่าบาทไปกว่าเก้าส่วน แต่ว่า…ไม่ใช่ลายพระหัตถ์ของฝ่าบาทจริงๆ ขอรับ อีกทั้ง…ที่ข้าเห็น ตัวอักษรนี้ไม่ได้ถูกเขียนด้วยเลือดขอรับ” การใช้เลือดเขียนอักษร เมื่อเวลานานไปสีจะเข้มขึ้นจะยังคงเป็นสีแดงสดอย่างนี้ได้เยี่ยงไร แม้หันหมิ่นจะไม่ถนัดการเขียนอักษร แต่ว่า…คงไม่ใช่ว่าเรื่องแค่นี้ยังคาดไม่ถึงกระมัง
สีหน้าของหันหมิ่นทะมึนขึ้น กำราชโองการในมือแน่น หากเป็นเวลาปกติ เป็นไปไม่ได้ที่หันหมิ่นจะคิดไม่ถึงข้อบกพร่องนี้ แต่ว่าหนึ่งคือคนที่นำราชโองการมาให้เขาเป็นคนสนิทของฝ่าบาท อีกทั้งยังเป็นคนที่เขาเชื่อใจ สอง…ถึงตอนนี้แล้ว ราชโองการนี้เป็นเครื่องมือชั้นดีที่จะใช้เปิดประตูวังหลวงได้ หากเยี่ยนอ๋องไม่ได้ปรากฏตัว ความจริงตอนที่เยี่ยนอ๋องบอกว่าเขาถ่ายทอดราชโองการปลอม หันหมิ่นไม่คิดว่ามีอันใดไม่ถูก หากเขาไม่ได้รับราชโองการนี้ เขาก็ไม่รังเกียจที่จะสร้างมันขึ้นมาอีกชิ้น หากเยี่ยนอ๋องไม่ปรากฏตัว ไม่ว่าราชโองการในมือของเขาจะเป็นของจริงหรือปลอม เซียวเชียนชื่อและเซียวเชียนเหว่ยเจ้าเด็กสองคนนั้นก็ไม่อาจทำอันใดเขาได้
แต่ว่าตอนนี้…คนที่มาติดกับกลับเป็นเขา
“เป็นท่าน…” หันหมิ่นหันกลับไปมองเยี่ยนอ๋องที่ยืนอยู่หน้าประตูวังหลวง กัดฟันเอ่ย
เยี่ยนอ๋องสีหน้าเคร่งเครียด เอ่ยเสียงเย็น “ใต้เท้าหันหมายความเยี่ยงไร ใต้เท้าหันอยากเข้าเฝ้าฝ่าบาทมิใช่หรือ จวินเอ๋อร์ อู๋สยา ไปเชิญฝ่าบาทออกมาเถิด”
หนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วมองสบตากัน พยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ/เพคะ”
ทั้งสองหมุนตัวเดินตรงเข้าไปในวังหลวง เซียวเชียนชื่อและเซียวเชียนเหว่ยกลับกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง “เสด็จพ่อ นี่…” เยี่ยนอ๋องกวาดตามองบุตรชายทั้งสองนิ่ง ออกคำสั่งต่อ “ไปบอกเฉินอวี้ เชิญขุนนางที่อยู่ในห้องทรงอักษรออกมา เดี๋ยวคนอื่นจะคิดว่าข้าทำอันใดไม่ดีกับขุนนางคนสำคัญของราชสำนักเอาได้ พวกท่านช่วยให้ฝ่าบาทขึ้นครองบัลลังก์ ฝ่าบาทยังอายุน้อยก็ช่างเถิด พวกท่านกลับทำกับแผ่นดินที่เสด็จพ่อทิ้งเอาไว้เยี่ยงนี้หรือ มีเวลาว่างกลับยุยงให้ฝ่าบาทสังหารเสด็จอา ยังใช้การปกครองมาปลุกปั่นเล่นกับจิตใจของคนต้าเซี่ย”
ฟังคำเยี่ยนอ๋อง สีหน้าของขุนนางด้านหลังหันหมิ่นเป็นอย่างไรไม่ต้องเอ่ยถึง บัณฑิตและประชาชนชาวจินหลิงที่ถูกปลุกปั่นก่อนหน้านี้กลับเริ่มลังเล ชื่อเสียงของเยี่ยนอ๋องไม่ดีนัก เพื่อต่อสู้กับกองทัพโยวโจวของเยี่ยนอ๋องตลอดหลายปีมานี้ มีการเก็บภาษีเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าเมื่อเทียบกับยุคสมัยของอดีตฮ่องเต้ เหล่าทหารที่สละชีวิตในสนามรบยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง อีกทั้งเรื่องการถอดถอนผู้ปกครองเมืองและการเผาตนเองของผู้ปกครองเมืองเกิดขึ้นก่อนที่เยี่ยนอ๋องจะยกทัพ หากบอกว่าเยี่ยนอ๋องยกทัพเพราะเรื่องนี้ก็มีเหตุผล หากเยี่ยนอ๋องไม่ได้ทำร้ายฮ่องเต้จริงๆ ตามกฎของอดีตฮ่องเต้ เยี่ยนอ๋องก็อยู่ในสถานการณ์ปราบข้าราชบริพารชั่วข้างกายฮ่องเต้ สามารถนำกองกำลังเข้ามาในเมืองหลวงได้
เช่นนี้…พวกเขามารวมตัวกันอยู่ที่นี่ก็ไร้เหตุผลเสียแล้ว
คิดมาถึงตรงนี้ หลายคนอยากล่าถอยอยู่ในใจ เพียงแต่เยี่ยนอ๋องไม่เอ่ยปากก็ไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหว ทำได้เพียงยืนอยู่ตรงนี้รอผลต่อไป
เวลาผ่านไปไม่ถึงสองเค่อ หนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วก็พาเซียวเชียนเยี่ยมาปรากฏตัวที่หน้าประตูวังหลวง
“ฝ่าบาท” มองเห็นเซียวเชียนเยี่ย หันหมิ่นน้ำตาทะลักออกมาโดยไม่รู้ตัว คุกเข่าลงกับพื้นทันที
ทุกคนรีบคุกเข่าลง เอ่ยเรียกฝ่าบาท
เซียวเชียนเยี่ยนั่งอยู่บนเสลี่ยงของฮ่องเต้ถูกคนหามออกมา ยามนี้เซียวเชียนเยี่ยดูเหมือนจะอ่อนแอมาก ใบหน้ามีบาดแผลน่าหวาดกลัว มองเห็นผู้คนมากมายอยู่หน้าประตูวังหลวง เซียวเชียนเยี่ยหันหน้าหนีไม่ให้ใครเห็นบาดแผลของเขา หันหมิ่นตกใจ “ฝ่าบาท พระองค์เป็นอันใดพ่ะย่ะค่ะ หรือว่าเยี่ยนอ๋อง…”
มองเห็นบาดแผลบนใบหน้าของเซียวเชียนเยี่ย หัวใจของหันหมิ่นพลันชาหนึบไปกว่าครึ่ง ยามนี้ไม่ใช่ยุคสมัยที่แผ่นดินไม่สงบ ฮ่องเต้ที่มีบาดแผลบนใบหน้าสาหัสเพียงนี้…
หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “ใต้เท้าหัน ไม่มีหลักฐานได้โปรดอย่าให้ร้ายผู้อื่น บาดแผลบนใบหน้าของฝ่าบาทเกิดจากกระบี่ของชาวเป่ยหยวนที่ทิ้งไว้บนพื้นเมื่อครั้งเกิดไฟไหม้ที่ศาลบูรพกษัตริย์ หากไม่ใช่เพราะเยี่ยนอ๋องให้เว่ยจวินมั่วบุกเข้ากองไฟไปช่วยฝ่าบาท ตอนนี้ท่านอาจจะได้เอ่ยอย่างเต็มปากว่าเยี่ยนอ๋องสังหารฝ่าบาทแล้ว ฝ่าบาท พระองค์ว่าใช่หรือไม่เพคะ”
เซียวเชียนเยี่ยจ้องมองหนานกงมั่วด้วยสายตาเย็นชา เงียบไปเนิ่นนานกว่าจะเอ่ยเสียงทุ้มตอบ “ซิงเฉิงจวิ้นจู่เอ่ยไม่ผิด”
ชั่วครู่ ผู้คนที่อยู่ในสถานการณ์ไม่รู้ว่าต้องถอนหายใจอย่างโล่งอกหรือผิดหวังอย่างมาก ฮ่องเต้เอ่ยปากเองแล้วต่อให้พวกเขามีความสงสัยมากมายก็ต้องกดลงกลับไป ส่วนชาวเมืองยิ่งไม่คิดอันใดมาก ในเมื่อฝ่าบาทเอ่ยปากยอมรับด้วยพระองค์เอง แน่นอนว่าเป็นความจริง
“ฝ่าบาท ได้อย่างไรกันพ่ะย่ะค่ะ” หันหมิ่นเอ่ยเสียงหลง “เพราะ…เพราะพวกเขาบีบบังคับ…”
“หันหมิ่น” เยี่ยนอ๋องเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “เจ้ากับโจวเซียงชายชราผู้นั้นยุยงให้ฝ่าบาทไม่สนใจเครือญาติ แม้แต่เสด็จอาแท้ๆ พระองค์ยังไม่ละเว้น หลายปีมานี้ยังปกครองต้าเซี่ยจนยุ่งเหยิง ยามนี้ยังอยากสาดโคลนใส่ข้าอีกหรือ”
หันหมิ่นกัดฟัน จ้องเยี่ยนอ๋องเขม็ง เอ่ย “โจรกบฏ ผู้คนจะต้องลงโทษ”
“เหอะ” เยี่ยนอ๋องหัวเราะหยัน “โจรกบฏ ไม่ใช่ตัวเจ้าเองหรอกหรือ เมื่อครานั้นเสด็จพ่อลงโทษเจ้ากับโจวเซียง ฝ่าบาทขึ้นครองบัลลังก์นึกถึงคุณงามความดีของเจ้าถึงได้เรียกตัวกลับเข้าวังหลวง ให้อำนาจแก่เจ้า พวกเจ้าไม่รับใช้แผ่นดินด้วยความซื่อสัตย์ ซ้ำยังพลิกขาวเป็นดำ จนต้าเซี่ยต้องเกิดความขัดแย้งในเครือญาติ เชื้อพระวงศ์ต้องตายอย่างอนาถ ราษฎรอยู่อย่างลำบากยากเข็ญ เจ้ายังกล้าเอ่ยอีกหรือ”
“ท่าน!”
“ท่านหัน” เซียวเชียนเยี่ยเอ่ยปากห้ามเขา หลับตาลง เอ่ยเสียงเข้ม “เสด็จอาเยี่ยนอ๋อง เพราะข้าปกครองแผ่นดินไม่ได้เรื่อง ท่านหันและท่านโจวเป็นอาจารย์ของเสด็จพ่อและข้า พวกเขาไม่มีความผิด”
“ฝ่าบาท” หันหมิ่นเอ่ยด้วยความตกใจ ยิ่งมั่นใจว่าเซียวเชียนเยี่ยถูกเยี่ยนอ๋องบีบบังคับ ไม่ว่าอย่างไร ก็ไม่ควรเอ่ยยอมรับเรื่องแบบนี้ต่อหน้าผู้คนสิ เพียงยอมรับ…สถานการณ์ก็จะผ่านไปเช่นนี้จริงๆ
มุมปากของเยี่ยนอ๋องยกยิ้มเย็นขึ้นมา มองใบหน้าโกรธจัดของหันหมิ่นทว่าไม่เอ่ยสิ่งใด
เซียวเชียนเยี่ยถอนหายใจ เอ่ย “ท่านหัน พอแล้ว”
เห็นเช่นนั้น หันหมิ่นเข้าใจทันทีว่าเซียวเชียนเยี่ยปล่อยวางแล้วจริงๆ รู้สึกสิ้นหวังขึ้นมาในใจอย่างอดไม่ได้ มองไปยังรอยยิ้มหยันของเยี่ยนอ๋อง รู้สึกว่าเยี่ยนอ๋องกำลังเย้ยหยันตนเอง ดวงตาหันหมิ่นมีความสิ้นหวังฉายเข้ามา ลุกขึ้นมาชี้ไปยังเยี่ยนอ๋อง เอ่ยเสียงดัง “เซียวโยว เจ้ายกทัพก่อกบฏ พยายามยึดบัลลังก์ ข้าจะไม่ใช้ชีวิตร่วมโลกกับเจ้า ข้าจะไปรอเจ้าต่อหน้าอดีตฮ่องเต้เป็นพอ” เอ่ยจบ จึงพุ่งชนเข้ากับกำแพงด้านข้างประตูวังหลวงทันใด
“ท่านหัน”
“ใต้เท้าหัน”
“ท่านอาจารย์”
ทุกคนตกใจ เพียงแต่หันหมิ่นพุ่งเข้าไปเต็มแรง คนด้านหลังอยากยื่นมือไปจับเขาเอาไว้ทว่าไม่อาจคว้าได้ทัน ชายเสื้อเลื่อนหลุดปลายนิ้วไป เลือดพลันกระจายไปทั่วทุกสารทิศ