หมอหญิงยอดมือสังหาร - ตอนที่ 107 คลื่นลมไม่สงบ (1)
จูชูอวี้ลูบสายฉินเบาๆ เอ่ยเสียงเรียบ “หนานกงมั่วสร้างศัตรูไปทั่ว เกี่ยวอันใดกับเราเล่า เพียงแต่น่าเสียดาย…นางเป็นคนฉลาด หากมิใช่เพราะนางต้องแก่งแย่งเว่ยซื่อจื่อกับข้า…ข้าก็ยังอยากเป็นเพื่อนกับนาง”
สาวใช้ลังเลเล็กน้อย เอ่ยถาม “คุณหนูชอบเว่ยซื่อจื่อจริงหรือเจ้าคะ คุณหนูบอกเองว่า หนานกงมั่วเป็นคนฉลาด…” และคุณหนูสั่งสอนพวกนางอยู่ตลอด อย่าได้เป็นศัตรูกับคนฉลาด
จูชูอวี้เงียบไปชั่วครู่ เอ่ยขึ้น “พวกเราไม่มีทางเลือก หากตระกูลจูอยากก้าวหน้า เว่ยซื่อจื่อเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด”
ได้ยินเช่นนั้น สาวใช้จึงถอนหายใจออกมา ไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใด ความจริงเมื่อถึงอายุสิบหกสิบเจ็ดคุณหนูบ้านอื่นนั้นคงจะกำลังเตรียมสินเจ้าสาวของตัวเองอย่างไร้ความกังวล แต่คุณหนูของพวกนางต้องมากำกับดูแลและวางอนาคตให้กับตระกูลจู หากเพราะมิใช่สาเหตุจากเหล่าคุณชายทั้งขี้เกียจและเสเพล คุณหนูของพวกนางจำต้องมาลำบากเช่นนี้หรือ
ช่วงนี้หนานกงไหวอารมณ์ไม่ดี ความจริงอารมณ์ไม่ดีตั้งแต่ฝ่าบาทประทานสมรสแล้ว หลังจากนั้นมาอารมณ์เขาก็ไม่เคยได้สงบเลย ทั้งหมดนี้เป็นเพราะหนานกงซูบุตรีที่เขาเฝ้ารักและเอ็นดูมากว่าสิบปี ก่อนหน้านี้หนานกงไหวยังถอนหายใจและรู้สึกโชคดีที่บุตรีคนรองนั้นนิสัยอ่อนโยนว่านอนสอนง่ายไม่ดื้อด้านเหมือนบุตรีคนโต ทว่าตอนนี้กลับตบหน้าเขาอย่างไร้ความปรานี บุตรีคนโตหนานกงมั่วแม้จะมีข่าวลืออื้อฉาวเช่นกัน ทว่ากลับดูแลกิจการของตนเองต่อโดยสงบ คนในเรือนจี้ชั่งเองก็ตั้งใจจัดเตรียมสินเจ้าสาวอย่างขะมักเขม้น แม้แต่จวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องฝั่งนั้นยังไม่แสดงออกถึงความไม่พอใจต่อข่าวลือที่ถูกปล่อยออกมาโดยกะทันหัน ทั้งหมดนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับบุตรีคนโตของเขา ส่วนบุตรีคนรองที่เขารักนักรักหนานั่น…ไม่เอ่ยถึงจะดีกว่า
หนานกงไหวไม่เข้าใจเลยจริงๆ การอบรมสั่งสอนของเขามีปัญหาตรงไหน จวนฉู่กั๋วกงของเขายิ่งใหญ่และมีอำนาจ หนานกงซูเติบโตมาดั่งดอกไม้คล้ายกับหยกก็มิปาน ยังต้องกังวลว่าจะมิได้แต่งออกเรือนอีกหรือ ไยต้องปักใจรักเพียงหวงจั่งซุน มันก็มิได้ผิดอันใด อย่างไรชื่อเสียงของหวงจั่งซุนเมื่อฟังแล้วย่อมดูสูงส่ง ทว่าเมื่อกล่าวตามความเป็นจริง ยามนี้เหล่าองค์ชายล้วนอยู่ครบ อำนาจของหลานองค์ฮ่องเต้…เช่นหวงจั่งซุน เกรงว่าจะสู้องค์ชายที่ไม่เป็นที่โปรดปรานไม่ได้ด้วยซ้ำ สำหรับอนาคต…อนาคตเป็นเรื่องที่ใครบอกได้กันเล่า
หนานกงไหวไม่ยอมรับอย่างเสียดายไม่ได้ หนานกงซูรักหวงจั่งซุนโดยไม่ได้คำนึงถึงการปกครองเลยแม้แต่น้อย ล้วนแต่หลงใหลในความงามและสถานะอันสูงส่งของเขาเพียงเท่านั้น เห็นได้ชัดว่ามองอะไรตื้นๆ ไม่เคยเห็นตระกูลมีอำนาจใดเอาตัวเองวิ่งเข้าหากับดักเช่นนี้มาก่อน
เมื่อสักครู่เขาได้ถูกฝ่าบาทสั่งสอนไปแล้วหนึ่งรอบ หนานกงไหวนั่งนิ่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ด้วยอารมณ์ขุ่นมัว หนานกงมั่วเดินนำผู้ติดตามมาจากข้างนอก มองเห็นท่าทางเคร่งเครียดของหนานกงไหว แสยะยิ้มมุมปาก หนานกงมั่วล้มเลิกความคิดจะเดินเข้าไป เลือกเดินไปอีกทาง
“หยุด” หนานกงไหวรู้สึกไม่พอใจ เป็นบุตรีมองเห็นบิดานั่งอยู่ในห้องโถงทว่าไม่คิดจะเข้ามาถามไถ่ กลับเดินเลี่ยงหนี นี่มันอันใดกัน
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว หมุนตัวเดินเข้าไปช้าๆ เอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “ข้าคิดว่าท่านพ่อกำลังคิดไตร่ตรองถึงเรื่องสำคัญ ไม่กล้ารบกวนเจ้าค่ะ”
หนานกงไหวส่งเสียงหยัน แสดงออกชัดเจนว่าไม่เชื่อคำแก้ตัวของนาง หนานกงมั่วเองไม่สนใจว่าเขาจะเชื่อหรือไม่ ตัวนางเชื่อก็เพียงพอแล้ว เดินมานั่งลงด้านข้าง หนานกงมั่วจึงเอ่ยถาม “ท่านพ่อมีอันใดหรือเจ้าคะ” หนานกงไหวขมวดคิ้ว “ช่วงนี้ด้านนอกมีข่าวลือมากมาย เจ้าอยู่ในจวนอย่าออกไปไหนมาไหนให้มากนัก” หนานกงมั่วยิ้ม “หากข้าไม่ออกไปข้างนอก ผู้คนจะรู้ได้เช่นไรว่าความสัมพันธ์ของข้ากับเว่ยซื่อจื่อยังคงดีอยู่ พิธีมงคลระหว่างตระกูลหนานกงและตระกูลเว่ยก็ยังปกติ”
หนานกงไหวสะอึก “เว่ยซื่อจื่อออกไปกับเจ้าหรือ”
หนานกงมั่วพยักหน้า สายตาของหนานกงไหวจับจ้องไปที่ปิ่นปักผมที่ประดับด้วยอัญมณีสีน้ำเงินสวย ฝีมืออันประณีตและอัญมณีล้ำค่าเช่นนั้น เพียงมองดูก็รู้แล้วว่าเป็นของชั้นดี แม้จะเป็นเพียงปิ่นเงิน ทว่าเมื่อฝีมือที่ประณีตรวมกับพลอยไพลินสีน้ำเงินเม็ดงามย่อมเพียงพอให้หญิงสาวส่วนใหญ่พึงพอใจไม่น้อย เนิ่นนานจากนั้นหนานกงไหวจึงถอนหายใจ “เขาใส่ใจเจ้ามากจริงๆ”
หนานกงมั่วตอบเสียงเรียบ “ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะแต่งงาน ก็ต้องใช้ชีวิตร่วมกันไปตลอด แน่นอนว่าต้องใส่ใจอยู่แล้วเจ้าค่ะ” แต่จะว่าไป เหมือนนางจะยังไม่เคยให้อะไรกับเว่ยจวินมั่วเลย นอกจากไข่มุกราตรีที่อาจารย์มอบแก่เขาเป็นของขวัญเมื่อครั้งเจอหน้ากันครั้งแรก ตอนนี้ดูเหมือนว่านางจะมิได้ใส่ใจเท่าเว่ยจวินมั่วเสียแล้ว นึกถึงใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาทว่าให้ความรู้สึกอุ่นใจของเว่ยจวินมั่ว หนานกงมั่วพลันละอายใจขึ้นมา
หนานกงไหวมองหญิงสาวท่าทางใสซื่อไร้พิษภัยตรงหน้า เนิ่นนานจึงเอ่ยขึ้น “เรื่องราวตลอดหลายวันมานี้ เจ้าเห็นเช่นใด”
หนานกงมั่วมองหนานกงไหวด้วยความตกใจเล็กน้อย ไม่คิดว่าหนานกงไหวจะถามเรื่องนี้กับนาง เขาอยากฟังความคิดเห็นของนางจริงๆ หรือเพียงเอ่ยถามไปเรื่อยนั้นนางย่อมไม่สนใจ เพียงเอ่ยตอบกลับไปว่า “เรื่องนี้หรือ เรื่องราวกระจายไปไวราวกับไฟลุกลาม แน่นอนว่ามีคนอยู่เบื้องหลัง แต่ว่า…เป็นศัตรูกับจวนฉู่กั๋วกง คงต้องมีข้อดีบ้างถึงจะถูก” คงไม่มีใครทำเรื่องใส่ร้ายผู้อื่นให้เห็นได้ชัดเช่นนี้โดยไม่หวังอันใดเป็นแน่ ยิ่งเป็นคนเที่ยงตรงเยี่ยงนางและเว่ยจวินมั่ว ยิ่งเป็นไปได้ยาก
หนานกงไหวใบหน้าตึงเครียดขึ้น ส่งเสียงหึแผ่วเบา เอ่ยถามขึ้น “รู้แล้วหรือไม่ว่าใครเกี่ยวข้องกับข่าวลือของเจ้าบ้าง”
หนานกงมั่วเงยหน้าขึ้น แสดงท่าทางว่ากำลังตั้งใจฟัง หนานกงไหวเอ่ยต่ออีก “จวนเย่ว์จวิ้นอ๋อง จวนเกาอี้ปั๋ว จวนเอ้อกั๋วกง ยังมีตระกูลหลินด้วย…ข้าเองก็แปลกใจ เจ้าพึ่งกลับจินหลิงมาเพียงหนึ่งเดือนกว่าๆ ไยจึงไปล่วงเกินได้มากถึงเพียงนี้”
ใบหน้าสวยของหนานกงมั่วยิ้มเย็น “ท่านพ่อคงจะลืม…จวนฉู่กั๋วกงด้วยสินะเจ้าคะ ล่วงเกินคนมากมาย ตั้งแต่ต้นจนจบคิดว่าคนที่ข้าล่วงเกินก็คงมีแต่คนในจวนฉู่กั๋วกง หรือจะบอกว่าท่านพ่อเองก็คิดเหมือนหว่านฮูหยินหรือเจ้าคะ ที่เอาข้ามาปกปิดเรื่องฉาวโฉ่ของตนเอง” จวนเกาอี้ปั๋ว…ตระกูลจูหรือ หนานกงมั่วนึกถึงคุณหนูใหญ่ตระกูลจูผู้นั้นที่พยายามเข้าหานางถึงสองครั้ง หรือว่าเพราะนางปฏิเสธ ตระกูลจูจึงแค้นใจ ไม่ว่าอย่างไรเกาอี้ปั๋วก็คงไม่ใช่คนไร้สมองถึงเพียงนั้นหรอก แต่คุณหนูใหญ่จูผู้นั้น…ไม่ใช่ง่ายๆ เลย เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าไยนางจึงสนใจตนเองที่พึ่งกลับมาจากชนบทถึงเพียงนี้ หนานกงมั่วนึงถึงเหตุการณ์ที่เว่ยจวินมั่วเป็นสุภาพบุรุษช่วยหญิงงามเมื่อครั้งเดินทางกลับจินหลิงขึ้นมา พลันรู้สึกว่าตนเองควรพูดคุยเรื่องชีวิตกับใครบางคนแล้ว
ไม่คิดว่าหนานกงมั่วจะมองออกได้เร็วถึงเพียงนี้ หนานกงไหวรู้สึกละอายจนกลายเป็นโกรธไปแล้ว “ต่อให้นางปล่อยข่าวลือ ก็ไม่นับว่าปรักปรำเจ้า”
หนานกงมั่วพยักหน้า ยอมรับอย่างใจกว้าง “กล่าวได้ถูกต้อง เพียงแต่…ข้าไม่ใช่คนที่คิดจะเอามาเป็นลูกคิดแล้วจะเอามาใช้ได้เช่นนั้น ทางที่ดีท่านพ่อเตือนหว่านฮูหยินบ้าง ระวัง…ขโมยไก่ไม่ได้ยังต้องเสียข้าวสาร[1]อีก”
หนานกงไหวขมวดคิ้ว เอ่ยเสียงเข้ม “ครั้งนี้นางทำไม่ถูก ข้าลงโทษนางแล้ว”
……………………………………………………………………………..
[1] ขโมยไก่ไม่ได้ยังต้องเสียข้าวสาร เดิมทีคิดจะเอาเปรียบผู้อื่นแต่ลงท้ายกลับเสียเปรียบแทน