หมอหญิงยอดมือสังหาร - ตอนที่ 1055 เมืองแตก (2)
ตอนที่ 1055 เมืองแตก (2)
“ท่านกั๋วกงช่างมีใจเมตตา” หนานกงไหวไม่ใส่ใจ เพียงแต่ตนนั้นกลัวตายก็เท่านั้น
เอ้อกั๋วกงไม่มีใจไปสนใจท่าทางประจบประแจงและความคิดของหนานกงไหว โบกมือเอ่ย “ฉู่กั๋วกงไม่ต้องมาสนใจข้า มีธุระก็ไปจัดการเถิด”
หนานกงไหวยิ้มเอ่ย “ให้ข้าไปส่งเอ้อกั๋วกงกลับจวนเถิด”
เอ้อกั๋วกงก็ไม่สนใจเขา หมุนตัวเดินต่อไป หนานกงไหวไม่ใส่ใจ เดินตามหลังเอ้อกั๋วกงไปเรื่อยๆ
ร่างสองร่างปรากฏตัวขึ้นบนถนนไร้ผู้คนแห่งหนึ่ง หนานกงไหวที่เดินตามหลังเอ้อกั๋วกงดวงตาหดเกร็ง ก้าวถอยหลังอย่างระแวดระวัง
ซิงเวยในชุดสีดำผมเทายืนกอดกระบี่อยู่บนถนน เจี่ยนชิวหยางอยู่ในชุดเกราะยืนพิงกำแพงด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ มองไปยังหนานกงไหวด้วยรอยยิ้ม ด้านหลังของทั้งสองคนคือร่างของเอ้อกั๋วกงที่เดินไกลออกไปเรื่อยๆ ไม่รู้ว่ามองไม่เห็นทั้งสองคนหรือไม่อยากสนใจ เอ้อกั๋วกงไม่ได้หันกลับมาและไม่ได้สาวเท้าก้าวเร็วขึ้น ยังคงเดินหน้าไปอย่างเชื่องช้า
หนานกงไหวมองทั้งสองอย่างระแวดระวัง เจี่ยนชิวหยางยิ้มเอ่ย “ฉู่กั๋วกง เป็นอย่างไรบ้าง”
หนานกงไหวฝืนยิ้มออกมา “แม่ทัพเจี่ยน เป็นอย่างไรบ้าง”
เจี่ยนชิวหยางยิ้มพลางเอ่ย “หลายวันก่อนฉู่กั๋วกงเอาตัวคุณหนูน้อยของเราไป อีกทั้งยังสังหารหลิ่วหันคนของวังจื่อเซียว ไม่รู้ว่าบัญชีนี้ ฉู่กั๋วกงคิดจะจ่ายอย่างไร หรือว่าจะให้ไปคิดต่อหน้าคุณชายและจวิ้นจู่ดี” สีหน้าของหนานกงไหวเปลี่ยนไปอย่างอดไม่ได หันมองไปรอบๆ เจี่ยนชิวหยางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฉู่กั๋วกงไม่ต้องมองแล้ว คนที่ติดตามฉู่กั๋วกงแน่นอนว่ามีคนคอยดูแลพวกเขาแล้ว ฉู่กั๋วกงไม่ควรออกมาจากกองทัพในเวลานี้จริงๆ”
หนานกงไหวหดหู่อยู่ในใจ เห็นอยู่ว่ากองทัพจะพ่ายแพ้แล้ว เขาไม่หนีถึงจะเป็นเรื่องแปลก เพียงไม่คิดว่าคนเหล่านี้จะทิ้งผลงานความดีความชอบโจมตีจินหลิง วิ่งมาหาเขาถึงที่นี่ ยิ่งคาดไม่ถึงก็คือ คนที่กงอวี้เฉินส่งมาคุ้มกันเขาจะไร้ประโยชน์เพียงนี้
แน่นอนว่าหนานกงไหวไม่รู้ กงอวี้เฉินนั้นนำความสนใจทั้งหมดของเขาไปไว้ที่แผนการสำคัญที่สุดของเขา สามารถส่งคนไม่กี่คนมาคุ้มกันหนานกงไหวก็นับว่าเป็นการรักษาสัญญาแล้ว คนที่ถูกเจ้าสำนักกงหลอกจนสิ้นเนื้อประดาตัวนั้นมีไม่น้อย
เอ่ยถึงวรยุทธ์ หนานกงไหวไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจี่ยนชิวหยางและซิงเวยอย่างแน่นอน สถานการณ์ตรงหน้าในยามนี้ หนานกงไหวทำได้เพียงถอนหายใจ เอ่ย “ข้าจะไปกับพวกเจ้า”
ได้ยินเช่นนั้น เจี่ยนชิวหยางรู้สึกเสียดายขึ้นมา ซิงเวยที่มีใบหน้าเย็นชามาแต่ไหนแต่ไร ดวงตากลับเผยความผิดหวังขึ้นมาอย่างหาได้ยาก จากสีหน้าของทั้งสอง หนานกงไหวก็ดูออกว่าสองคนนั้นต้องการสังหารตนเอง ไม่ได้อยากพากลับไปด้วย เหตุผลก็คงเป็นเพราะคนที่ชื่อหลิ่วหันนั่น ดังนั้นเขาจึงต้องหวาดระแวงมากขึ้น “หากท่านทั้งสองอยากแก้แค้นคงมาหาผิดคนแล้ว อยู่ที่เฉินโจวข้าไม่เคยสังหารใครแม้เพียงคนเดียว”
เจี่ยนชิวหยางยิ้มเย็น ไม่รู้ว่าเชื่อคำพูดของหนานกงไหวหรือไม่ หันไปเอ่ยกับซิงเวย “ซิงเวยรบกวนเจ้าช่วยพาเขากลับไปที”
ซิงเวยไม่เอ่ยสิ่งใด เคลื่อนไหวรวดเร็วไปหยุดอยู่ตรงหน้าหนานกงไหว หนานกงไหวไม่มีแม้แต่เวลาต่อต้านก็โดนด้ามกระบี่ทุบสลบไสลไปทันที ซิงเวยหิ้วหนานกงไหวด้วยมือเดียว เจี่ยนชิวหยางพยักหน้าและหมุนตัวเดินหนีไป
“ทูลฝ่าบาท เมืองชั้นในแตกแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ในวังหลวง ขันทีวิ่งเข้ามารายงานอย่างรวดเร็ว
เซียวเชียนเยี่ยนั่งอยู่ในห้องทรงอักษรลำพัง ไม่ได้แสดงอารมณ์รุนแรงออกมาอย่างที่เคยเป็น ใบหน้าหล่อเหลาเหนื่อยล้าไม่มีแม้กระทั่งความกังวลและร้อนใจ เพียงพยักหน้า เอ่ย “ข้ารู้แล้ว ออกไปเถิด” ขันทีเงยหน้าขึ้นมองเซียวเชียนเยี่ยอย่างตกใจ ในใจรู้สึกไม่สงบทว่าไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดมากความ โค้งศีรษะถอยออกไปอย่างระมัดระวัง
เซียวเชียนเยี่ยนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร เงยหน้าขึ้นมองคานที่แกะสลักสวยงาม เผยรอยยิ้มเย้ยหยันออกมา
เวลานี้ในใจเขาแยกไม่ออกว่ากำลังหวาดกลัวหรือกำลังโกรธ หรือว่าควรปล่อยวาง ห้าปีแล้ว…นั่งอยู่บนบัลลังก์นี้เขาไม่เคยสงบสุขหรือสบายเลยสักครั้ง ทำเรื่องที่ถูกและผิดด้วยความหวาดกลัว รักษาบัลลังก์นี้เอาไว้ด้วยความหวาดกลัว ยามนี้ในที่สุดก็จบลงแล้ว
“ฝ่าบาท” ชายชุดดำคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในห้องโถง คุกเข่าอยู่บนพื้น
“ว่ามาเถิด” เซียวเชียนเยี่ยเอ่ยเสียงเรียบ
ชายชุดดำเอ่ยเสียงเบา “ประตูเมืองชั้นในเก้าแตกไปแล้วสามจุด เอ้อกั๋วกงทอดทิ้งการคุ้มกันเมือง หนานกงไหวหายตัวไป กองทัพโยวโจวและเฉินโจวบีบเข้าใกล้วังหลวงเข้ามาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เซียวเชียนเยี่ยพยักหน้า “รู้แล้ว กงอวี้เฉินอยู่ที่ใด”
“กงอวี้เฉินยังอยู่ในวังหลวงพ่ะย่ะค่ะ”
มุมปากของเซียวเชียนเยี่ยกระตุกยิ้มเย็น เอ่ย “ข้ารู้แล้ว ออกไปเถิด”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทูลลา”
ชายชุดดำหายตัวไปจากท้องพระโรง เซียวเชียนเยี่ยลุกขึ้น เดินออกไปจากห้องทรงอักษรมุ่งหน้าตรงไปยังวังหลัง
ตำหนักของไทเฮา ไทเฮาอยู่ในชุดเรียบๆ นั่งสวดมนต์อยู่หน้าพระพุทธรูป ได้ยินเสียงฝีเท้าจึงลืมตาขึ้น มองเห็นเซียวเชียนเยี่ยเดินเข้ามา ใบหน้าที่มีร่องรอยตามกาลเวลาเผยรอยยิ้มใจดี “เย่ว์เอ๋อร์ เจ้ามาแล้ว”
“เสด็จแม่” เซียวเชียนเยี่ยคุกเข่าอยู่ตรงหน้าฮองเฮา เอ่ยเรียกเสียงเบา
ห้องโถงใหญ่เงียบไปชั่วครู่ ไทเฮาถอนหายใจ เอ่ย “คุ้มกันเอาไว้ไม่อยู่แล้วหรือ”
เซียวเชียนเยี่ยพยักหน้าเงียบๆ เอื้อมมือขึ้นไปสัมผัสใบหน้าเหนื่อยล้าของบุตรชายเบาๆ เอ่ยเสียงแผ่ว “ไม่เป็นไร เจ้าทำเต็มที่แล้ว เห็นแก่เสด็จปู่และเสด็จพ่อของเจ้า เสด็จอาสามของเจ้าไม่มีทางทำร้ายเจ้าถึงชีวิต อย่างน้อย…ตอนนี้จะไม่ทำ”
“ลูกไร้ความสามารถที่จะทำให้เสด็จแม่ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างมีความสุขได้” เซียวเชียนเยี่ยหลับตาลง แม้จะสูงส่งเป็นถึงไทเฮา แต่นับตั้งแต่เขาขึ้นครองบัลลังก์ก็มีเรื่องเข้ามาไม่หยุดไม่หย่อน ไทเฮามีเรื่องให้ทุกข์ใจมาก เรื่องที่มีความสุขกลับน้อยนิด
ไทเฮายิ้มบาง “ชีวิตนี้ของแม่นับว่าราบรื่นดุจสายน้ำแล้ว มีเจ้าอยู่ แม่ไม่เสียดายสิ่งใดแล้ว”
ได้ยินคำของมารดา เซียวเชียนเยี่ยยิ่งรู้สึกละอายขึ้นอีก เงยหน้าขึ้นมองไทเฮา เอ่ย “เสด็จแม่เอ่ยไม่ผิด เสด็จอาเยี่ยนอ๋องเห็นแก่เสด็จพ่อ ไม่มีทางละเลยต่อเสด็จแม่อย่างแน่นอน ลูกไร้ความสามารถ หวังแต่เพียงว่าต่อไปเสด็จแม่จะอยู่อย่างสงบสุข มีความสุขในทุกๆ วัน”
“เย่ว์เอ๋อร์ เจ้าคิดจะทำอันใด” ไทเฮามีลางสังหรณ์ไม่ดีเกิดขึ้นในใจ รีบคว้าเซียวเชียนเยี่ยเอาไว้ เอ่ยถามขึ้นอย่างร้อนรน
เซียวเชียนเยี่ยยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว เอ่ย “เสด็จแม่ไม่ต้องกังวล ลูกจะไม่ทำเรื่องที่ไม่สมควรทำ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ลูกเพียงละอายต่อเสด็จปู่และเสด็จพ่อเท่านั้น ลูก…นึกถึงศาลบูรพกษัตริย์อยากขออภัยโทษจากเสด็จปู่”
ไทเฮาจึงพ่นลมหายใจออกมา แม้จิตใจยังไม่สงบทว่ายังต้องกดเอาไว้ เอ่ยเสียงเบา “ช่างเถิด เจ้าไปเถิด เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ลูกของแม่ไม่ต้องกล่าวโทษตนเองจนเกินไป”
“ลูกขอบพระทัยเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ” เซียวเชียนเยี่ยทำความเคารพต่อไทเฮา ก่อนจะลุกขึ้นและขอตัวจากไป
ไทเฮามองร่างของเซียวเชียนเยี่ยเดินจากไป เหม่อลอยโดยไม่รู้ตัว รอจนแผ่นหลังของเขาหายลับไปจากห้องโถงใหญ่ ไทเฮาได้สติกลับคืนมาทว่าน้ำตากลับหลั่งไหลจนเต็มใบหน้า ไทเฮาหมุนตัวคุกเข่าอยู่ตรงหน้าพระพุทธรูป ท่องบทสวดมนต์เบาๆ อีกครั้ง
พระพุทธองค์ ข้าไม่ขอชาตินี้ไม่ขอชาติหน้า ขอเพียงให้โอรสของข้ามีชีวิตสงบสุขไปชั่วชีวิต
เซียวเชียนเยี่ยออกจากตำหนักไทเฮา ตรงไปยังตำหนักของฮองเฮา ทว่าไม่ได้เดินเข้าไป ยามนี้จิตใจของคนในวังนั้นหวาดหวั่น กระทั่งมีนางกำนัลขันทีแอบลักลอบหนีไปจากวังหลวงก็ไม่น้อย แม้แต่ในตำหนักของฮองเฮาเองก็แตกตื่น คนที่คอยปรนนิบัติไม่รู้หายไปไหนกันหมดแล้ว เซียวเชียนเยี่ยเดินเข้าไป แต่ไม่ได้เข้าไปรบกวนฮองเฮา
ฮองเฮากำลังอุ้มองค์ชายใหญ่พาเขาอ่านหนังสือ ใบหน้าที่มิได้งดงามมากนักเต็มไปด้วยรอยยิ้มใจดี ไม่ทำให้ตื่นตาตื่นใจทว่าทำให้ผู้คนรู้สึกเงียบสงบและอบอุ่น เซียวเชียนเยี่ยมองไปยังชายาและโอรสของเขาอย่างเหม่อลอยชั่วครู่ จากนั้นหันตัวเดินออกไปอย่างเศร้าสร้อย ความสัมพันธ์ของเขากับฮองเฮานั้นเย็นชานับตั้งแต่เขาขึ้นครองบัลลังก์ ไม่สิ บางทีอาจเป็นก่อนหน้านั้นที่ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออยู่แล้วนอกจากสถานะของพวกเขา ยามนี้เขาจะมีหน้าไปเจอชายาและบุตรชายได้อย่างไร
ออกมาจากตำหนัก พลันบังเอิญพบกับนางกำนัลคนหนึ่ง นางกำนัลผู้นั้นตื่นตกใจไม่คิดว่าจะเจอฮ่องเต้ที่วังหลังในเวลานี้ รีบคุกเข่าลงพร้อมเอ่ย “ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ ฮองเฮา…หม่อมฉันจะไปทูลฮองเฮาเดี๋ยวนี้เพคะ…”
เซียวเชียนเยี่ยโบกมือเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่ต้องแล้ว ข้าเพียงเดินมาดูเท่านั้น ไม่ต้องบอกฮองเฮา”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” นางกำนัลมองตามฮ่องเต้ออกไปอย่างมึนงง ลอบถอนหายใจเบาๆ
“ฝ่าบาท” ออกมาจากตำหนักของฮองเฮา ข้าราชบริพารที่ยืนรออยู่ด้านนอกเอ่ยเรียกอย่างระมัดระวัง ยามนี้ฝ่าบาทดูแปลกออกไป พวกเขาที่เป็นข้ารับใช้เองก็ไม่รู้ควรทำอย่างไรดี
เซียวเชียนเยี่ยที่เดิมทีอยากไปตำหนักของพระสนมจูเฟยพลันหมดความสนใจ กวาดตามองขันที เอ่ย “มีอันใดหรือ”
ขันทีเอ่ย “เมื่อครู่องครักษ์มารายงานว่าใต้เท้าหันและใต้เท้าโจวมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
เซียวเชียนเยี่ยชะงักไปชั่วครู่ ส่ายศีรษะพลางเอ่ย “ให้ทั้งสองท่านกลับไปก่อน ข้ามีธุระ ไม่มีเวลาพบพวกเขา”
“เอ่อ…” ขันทีมีท่าทีลังเล ฝ่าบาทใจกว้างต่อสองคนนั้นมาโดยตลอด ไม่เคยปฏิเสธคำขอเข้าเฝ้าของพวกเขา ทว่าสถานการณ์ยามนี้ดูสมเหตุสมผลแล้วกระมัง คิดมาถึงตรงนี้ จึงรีบเอ่ย “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
เซียวเชียนเยี่ยพยักหน้า หมุนตัวและเดินกลับทางเดิม
“ฝ่าบาท…ฝ่าบาทจะไปที่ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ศาลบูรพกษัตริย์” เซียวเชียนเยี่ยเอ่ยตอบเสียงเรียบ
กงอวี้เฉินยืนอยู่หน้าประตู มองเซียวเชียนเยี่ยที่เดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
“ฝ่าบาทจะไปที่ใดหรือ”
เซียวเชียนเยี่ยเอ่ยเสียงเรียบ “ไปที่ใด เจ้าสำนักกงรู้อยู่แล้วมิใช่หรือ มิเช่นนั้นจะมารออยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไร”
กงอวี้เฉินเองไม่ปิดบัง ยิ้มพลางเอ่ย “กระหม่อมเพียงมารายงานต่อฝ่าบาท เยี่ยนอ๋องเข้าเมืองมาแล้ว อย่างช้าก็พรุ่งนี้เช้า คงเข้าวังมาได้”
เซียวเชียนเยี่ยพยักหน้า “ขอบคุณเจ้าสำนักที่มารายงาน”
กงอวี้เฉินถอนหายใจ “เช่นนั้น…ฝ่าบาทเตรียมตัวแล้วหรือไม่”
เซียวเชียนเยี่ยมองกงอวี้เฉินอยู่นาน ก่อนจะเอ่ย “ข้ามีอันใดต้องเตรียมตัว อย่างไรก็เป็นกษัตริย์ที่สิ้นแผ่นดินเท่านั้น เจ้าสำนักกงเตรียมตัวแล้วนั่นจึงจะเป็นการเตรียมตัวที่แท้จริง”
“นั่นแน่นอนอยู่แล้ว กระหม่อมจะไม่ทำให้ฝ่าบาทต้องผิดหวัง” กงอวี้เฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เช่นนั้นก็ดี เซียวเชียนเยี่ยยิ้ม หมุนตัวเดินออกไป
ทางด้านหลัง ดวงตาของกงอวี้เฉินทะมึนลง