หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 496 เก็บแห (2)
ตอนที่ 496 เก็บแห (2)
“เจ้าค่ะ” อูเหมยตอบกลับสั้นๆ ไม่นานก็อุ้มทารกน้อยเข้ามา
ทารกเจ็ดแปดเดือนแสดงความรู้สึกด้วยสายตาได้แล้ว ก็แค่ยังพูดไม่ได้เดินไม่ได้ และยังจำหน้าคนไม่ได้
เหยาเยี่ยนอวี่มองทารกมีหน้าตาที่ถือว่าน่าเกลียดน่าชัง ดวงตากลมโตดำสนิท โตมาน่าจะเป็นบุรุษที่หล่อเหลาแน่นอน เพียงแต่น่าเสียดายที่เสียบิดามารดาตั้งแต่ยังเด็กเช่นนี้ พอคิดๆ ดูแล้วบิดามารดาของเขาถือว่าสิ้นชีพเพราะตัวเอง ภายในใจจึงรู้สึกเห็นอกเห็นใจขึ้นมา แล้วก็ยื่นมือไปรับทารกคนนี้ไว้พลางจับมือน้อยๆ ที่อ้วนจ้ำม่ำ แล้วถามว่า “เด็กคนนี้มีนามว่าอะไร”
“เรียนฮูหยิน มีนามว่าหนานเกอร์เอ๋อร์เจ้าค่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ขมวดคิ้ว “บิดามารดาเขามาจากตอนใต้หรือ”
“เจ้าค่ะ บ่าวได้ยินว่าคุณชายรองซื้อพวกขามาจากเขตตอนใต้เจ้าค่ะ ดังนั้นถึงได้ตั้งชื่อให้เด็กคนนี้ว่าหนาน”
“เปลี่ยนเถอะ” เหยาเยี่ยนอวี่มองทารกที่กำลังร้องอ้อแอ้ จึงถอนหายใจอย่างจนปัญญา “ข้าจะเลี้ยงเด็กคนนี้ นามเปลี่ยนเป็น…หลิงเซียวเถอะ หวังว่าตอนเขาโตมาจะทะเยอทะยาน หนทางยิ่งใหญ่ยังอีกไกล”
“แหม นามนี้ดีจริงๆ” ซูอวี้เหิงเชยชมด้วยรอยยิ้ม แล้วถามด้วยอย่างสงสัย “เมื่อครู่พี่สาวบอกว่าจะเลี้ยงเด็กคนนี้…หมายความว่าอะไรหรือ”
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เขาจะเป็นบุตรบุญธรรมของข้า” เหยาเยี่ยนอวี่ยกยิ้ม พลางลูบผมอ่อนๆ ที่ค่อนไปสีเหลืองของเด็กน้อย นี่คงเป็นเพราะไม่ค่อยได้กินของมีประโยชน์ นางไม่รู้ว่าบิดามารดาของเด็กคนนี้เป็นเช่นไร เพียงแต่ว่าพวกเขาต่างก็ตายไปแล้ว หากตนเองยังจะทารุณกับเขา แล้วจะรู้สึกสบายใจได้อย่างไร
ซูอวี้เหิงจึงยิ้มไม่ออกทันที แล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย พร้อมทั้งเตือนด้วยเสียงทุ้มต่ำ “พี่สาว นี่เป็นเรื่องใหญ่ ไม่ต้องปรึกษาหารือกับแม่ทัพหน่อยหรือ” จวนแม่ทัพยังไม่มีบุตร ฮูหยินก็รับเลี้ยงบุตรบุญคุณแล้ว จะให้คนนอกคิดอย่างไร
เหยาเยี่ยนอวี่มองซูอวี้เหิงปั้นหน้าจริงจัง จึงยิ้มจางๆ “นี่มีอะไรน่าปรึกษาล่ะ”
แล้วจะไม่ปรึกษาได้อย่างไร ซูอวี้เหิงค่อนข้างกระวนกระวาย จึงหันไปมองบ่าวที่ปรนนิบัติอยู่ด้านข้าง สื่อให้ทุกคนออกจากเรือน
จั๋วอวี้พลันค้อมตัว เซียงหรูและคนอื่นๆ ก็ออกไป พร้อมทั้งปิดประตูให้สนิท ก่อนที่เซียงหรูจะไปก็ไม่ลืมที่จะอุ้มหลิงเซียวที่อยู่ในอ้อมกอดของเหยาเยี่ยนอวี่ จั๋วอวี้จูงมือซูจิ่นเย่ว์ออกไปด้วย ในเรือนเหลือเพียงซูอวี้เหิงและเหยาเยี่ยนอวี่เพียงสองคน
“พี่สาว ท่านมีเรื่องอะไรที่ไม่สะดวกพูดหรือเปล่า” ซูอวี้เหิงกุมมือเหยาเยี่ยนอวี่ ถามด้วยเสียงต่ำ “ก่อนหน้านี้ ท่านได้รับบาดเจ็บ…มีอะไรผิดปกติไปหรือไม่”
“ไม่มีนี่” เหยาเยี่ยนอวี่ส่ายหน้าเล็กน้อย
ร่างกายของนาง นางจะไม่สนใจได้อย่างไร ถึงแม้ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยดีมาตลอด ตอนประจำเดือนมาก็มักจะปวดท้องอยู่บ่อยครั้ง ทุกวันที่ฝึกกำลังภายในก็มักจะหายใจไม่สะดวก ทว่าหลังจากปรับสมดุลร่างกายมานานเช่นนี้ อาการเหล่านี้ก็หายไปมาก
อีกอย่างหมอหลวงเลี่ยวเป็นมือเทวดาทางนรีเวชก็บอกเช่นนี้ เวลาล่วงเลยไป หากดูแลบำรุงสุขภาพดีๆ ในเวลาเพียงปีสองปีก็ฟื้นฟูร่างกายเหมือนตอนแรก การตั้งครรภ์มีบุตรก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว
“เช่นนั้นท่านจะรีบรับบุตรบุญธรรมมาเลี้ยงไปไย ต่อให้แม่ทัพไม่คิดมาก บ่าวไพร่ในจวนจะไม่คิดมากได้อย่างไร ขืนเรื่องนี้หลุดออกไปให้คนนอกรู้ ไม่รู้ว่าจะถูกคนถ่อยนินทาว่าร้ายอย่างไร” ซูอวี้เหิงต้องคะนึงถึงเหยาเยี่ยนอวี่อยู่แล้ว บุตรชายของช่างกระจกคนหนึ่ง แค่เลี้ยงดูไม่ปล่อยให้เด็กน้อยขาดแคลนอาหารและเครื่องนุ่งห่มก็ถือว่าไม่ละอายใจต่อบิดาและมารดาของเขาแล้ว อยากได้บุตรชายก็คลอดเอง เหตุใดถึงต้องรับบุตรคนอื่นมาเลี้ยงด้วย
“เขาเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง ตอนนี้ไม่มีทั้งบิดาและมารดาแล้ว หากข้ายังไม่ใส่ใจเขาอีก แล้วบ่าวไพร่ในจวนจะใส่ใจเขาได้อย่างไร ไม่ต้องกล่าวถึงคนอื่น อันที่จริง แม้แต่พวกเซียงหรูยังรู้สึกว่าเด็กคนนี้เป็นตัวปัญหา ดั่งที่ข้าถามเมื่อครู่นี้ พวกนางก็รีบบอกให้อุ้มเด็กไปที่อื่น เจ้าว่าหากเป็นเช่นนี้ เด็กคนนี้ยังจะเติบโตอย่างแข็งแรงหรือไม่”
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มจางๆ ไม่รอให้ซูอวี้เหิงพูดอะไรก็พูดอีกครั้ง “เด็กคนนี้ก็ไม่ใช่มีนามสกุลว่าเว่ย อนาคตหากแม่ทัพได้รับตำแหน่งเจวี๋ย เขาก็ไม่ได้สืบทอดตำแหน่งต่อแน่นอน ข้าเพียงแค่ต้องการให้เขาเติบโตอย่างแข็งแรงเท่านั้น เรื่องของบิดามารดาเขา ข้าก็จะไม่ปิดบังเขา รอให้เขาเติบโตขึ้นมาหน่อย หากไม่อยากอาศัยอยู่ในจวน ก็ไปใช้ชีวิตตามลำพังได้ ข้าก็ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวเรื่องของเขา สถานการณ์ในตอนนี้ ข้าเพียงแค่ไม่อยากให้ทารกน้อยไม่ได้รับความเป็นธรรมตอนอยู่ในจวนเท่านั้น”
“เท่านี้เองหรือ” ซูอวี้เหิงถอนหายใจด้วยเสียงเบาพลางยกยิ้ม
“ไม่เช่นนั้นล่ะ เจ้าเห็นว่าไม่มีบุตร แล้วคลั่งบุตรจนเป็นบ้าหรือไร” เหยาเยี่ยนอวี่หลุดหัวเราะ
ซูอวี้เหิงส่ายหัวด้วยยิ้มทุ้มต่ำ เมื่อครู่นางมีความคิดเช่นนี้จริงๆ ดังนั้นถึงได้ตื่นเต้นขึ้นมา
ความรู้สึกระหว่างมารดาและบุตรที่แท้จริงเป็นเช่นไร เหยาเยี่ยนอวี่ถอนหายใจเบาๆ พลางพิงลงบนหมอนด้านหลัง
ภพก่อน นางเติบโตมากับบิดา มารดาของนางประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ตั้งแต่นางมีอายุเพียงสามสี่ขวบ บิดาของนางไม่ได้มีภรรยาใหม่เพื่อนาง พอมาอยู่ภพนี้เป็นเวลาหนึ่งปี มารดาก็ดันป่วยจนล่วงลับไป นางจึงเติบโตภายใต้การเลี้ยงดูของฮูหยินผู้เฒ่าซ่งและหวางฮูหยิน ข้างกายมีแม่นมเฝิงหมัวมัวคอยดูแล ความรู้สึกระหว่างมารดาและบุตรที่แท้จริง นางเหมือนยังไม่เคยได้ลิ้มลอง
ก่อนหน้านี้พอเห็นซูจิ่นเย่ว์กอดคอของเหยาเฟิ่งเกอพลางพูดจาเอาใจใส่เช่นนี้ เหยาเยี่ยนอวี่ยอมรับว่าตนเองอิจฉาตาร้อนมาก เพียงแค่ว่า การรับเลี้ยงหลิงเซียว เกรงว่าคงเต็มเติมความว่างเปล่านี้ไม่ได้หรือเปล่า
นางอยากมีบุตรของตนเองจริงๆ
สหายทั้งสองกำลังพูดคุยถึงเรื่องมีบุตร ทางฝั่งด้านนอก เหตุเพราะต้องสืบสวนเชลยชาวเกาหลี ถึงกับพลิกแผ่นดินเมืองหลวงเพื่อตามตัวคนพวกนั้น
เพื่อที่จะหลบเลี่ยงเรื่องนี้ หยาจวิ้นถึงได้ชวนองค์หญิงคังผิงไปอยู่บ้านสวนนอกเมืองหลวง แผลตรงน่องของเขายังไม่หายดี เรื่องมากมายที่วางแผนไว้ก็ล้มเหลว ทว่ากลับไม่ส่งผลกระทบต่อการประจบประแจงสตรีคนนี้
พูดตามตรง เพื่อบรรลุเป้าหมายที่แน่นอน เขายอมลดตัวให้ต่ำลง เพื่อประจบสอพลอให้สตรีคนหนึ่งดีใจ สำหรับเขาแล้วก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งแคว้นและเผ่าพันธุ์ต่างถูกกวาดล้างไปครั้งแล้วครั้งเล่า ต่อให้เขาที่เกิดเป็นหนึ่งในราชวงศ์ ความน่าภูมิใจนั้นไม่ได้มีค่าแม้แต่น้อย
การแก้แค้นถึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด!
เพียงแต่ว่าการกระทำที่โง่เขลาของคังผิง ทำให้ต้องพลิกแผ่นดินเมืองหลวงเพื่อตามหาผู้ร้ายที่ก่อเหตุ เครือข่ายสื่อสารที่เขาเปลืองกำลังสร้างมามากมาย กลับต้องพังทลายในที่สุด
พวกบ่าวไพร่แอบแฝงตัวอยู่ในจวนตระกูลชั้นสูงที่คอยเป็นหูเป็นตาให้เขา ส่วนมากก็ถูกจับกุมตัวไว้สืบสวนในกรมคลังแล้ว สำหรับคนที่ต่อต้านก็จะถูกสังหารทันที ส่วนพวกเชลยที่ได้เป็นทาสในค่ายทหารก็ถูกจับกุมตัว กล่าวได้ว่าแผนการทั้งมสลที่เขาดำเนินมาหนึ่งปีกว่าสูญเปล่า
อีกอย่าง เขารู้สึกว่านี่ไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริงของเว่ยจาง เป้าหมายที่แท้จริงของปีศาจคนนั้นคือตนเอง และตอนนี้เขาทำเช่นนี้ แค่อยากให้ตนเองลองรสชาติที่ไร้หนทางเท่านั้น
ความมืดยามราตรีใกล้สิ้นสุด แสงไฟสว่างไสว ตั่งไม้กว้างเลื่อมพราย
ปีนี้องค์หญิงคังผิงมีพระชนมายุสามสิบชันษาแล้ว นางอภิเษกสมรสกับราชบุตรเขยเหลียงจวิ้นสิบสองปี มีบุตรชายหนึ่งคนและบุตรีสองคน
แค่ว่าตระกูลเหลียงสืบทอดความรู้และวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม เหลียงจวิ้นร่ำเรียนตำราปรัชญาตั้งแต่เด็ก ทว่ากลับไม่ถูกปลูกฝังให้มีจิตใจนักปราชญ์เลย เขาไม่ได้อยากเป็นสวามีขององค์หญิงสักนิด แต่เพื่อตระกูลเลยต้องจำใจทำเช่นนั้น องค์หญิงคังผิงมีนิสัยกำเริบเสิบสาน ไม่เคยยอมถูกเอารัดเอาเปรียบ อีกอย่างยังชอบใช้วิธีเหี้ยมเกรียม ทุกครั้งที่เหลียงจวิ้นยักคิ้วหลิ่วตากับเหล่าสาวใช้ คังผิงก็จะเฆี่ยนตีเขาต่อหน้าสาวใช้ ดังนั้น ชีวิตการแต่งงานสิบกว่าปีที่ผ่านมา กล่าวได้ว่าเขาเหมือนยืนอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆ ตลอดเวลา