หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 487 ประลองฝีมือลับๆ (1)
ตอนที่ 487 ประลองฝีมือลับๆ (1)
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มอย่างขมขื่น “ถึงเวลานี้แล้ว พี่หันยังจะมาหยอกล้อข้าเล่นอีก”
หันหมิงชั่นยังคงยิ้มเสียงต่ำเหมือนเดิม เอ่ยสัพยอก “นี่ไม่ได้หยอกนะ นี่ข้ากำลังพูดความจริง!”
“พี่สาวกลับระวังด้วย” เหยาเยี่ยนอวี่มองท้องของหันหมิงชั่นที่นูนออกมาอย่างชัดเจน จึงกำชับด้วยความเป็นห่วง
“วางใจเถอะๆ! รีบกลับไปเถอะ” หันหมิงชั่นถูกเซียวหลินพยุง แล้วหันกลับไปผายมือให้เหยาเยี่ยนอวี่
“กลับไปเถอะ” เซียวหลินก็พยักหน้าให้เหยาเยี่ยนอวี่ด้วยรอยยิ้มจางๆ
เหยาเยี่ยนอวี่สั่งให้ชุ่ยเวยและชุ่ยผิงไปส่งแขก พอเห็นพวกนางเดินเลี้ยวตรงระเบียงยาว ถึงจะถอนหายใจเบาๆ พลางหันหลังเดินกลับไป กลับเดินไปหนึ่งก้าวก็ชนเข้ากับแผงอกแข็งแรง
“เจ้า…” เหยาเยี่ยนอวี่อยากดิ้นให้หลุดออกจากอ้อมอกนั้น กลับถูกรัดตัวไว้แน่น
“ข้าไม่เป็นไร”
“พี่รองได้รับบาดเจ็บ…”
“ข้าเพียงแค่รู้สึกเหนื่อย เจ้าปล่อยข้า”
ได้ยินเสียงลมหายใจแผ่วเบาที่อยู่เหนือศีรษะ เหยาเยี่ยนอวี่ลองพูดหลักเหตุผลกับบุรุษที่วางอำนาจคนนี้
ทว่ากลับจนหนทาง บุรุษบ้าอำนาจคนนี้ไม่ได้ฟังคำอธิบายแม้แต่น้อย แล้วยังกอดนางไว้ไม่ปล่อย สุดท้ายก็ไม่มีวิธีอะไร เหยาฮูหยินเพียงแค่เขย่งเท้าแล้วจับไหล่ของเขา พลางเงยหน้าจุมพิตลงบนคางอันเยือกเย็นของเขาเบาๆ หนวดที่ทิ่มริมฝีปากเบาๆ นั้น กลับทำให้นางรู้สึกสงบสุขแล้ว
เพียงแต่วินาทีหลังจากนี้ นางก็สงบสุขไม่ได้อีกต่อไป…เพราะว่าลมหายใจแผ่วร้อนของสามีได้จุดประกายนางให้รุ่มร้อน ตอนที่นางได้สติกลับมาอีกครั้ง ก็อยู่บนเตียงในเรือนแล้ว
“นี่ เจ้า?” เหยาฮูหยินยกมือผลักหน้าอกของสามี “รอก่อน”
“ไม่รอ!” สุดท้ายเว่ยจางก็เอ่ยปากพูด ทว่าเสียงทุ้มต่ำและแหบพร่านั้นแทบจะทำให้คนหวาดกลัวจนตายได้
เหยาเยี่ยนอวี่ไม่เคยเห็นเว่ยจางเป็นเช่นนี้ เขาดูโมโหอย่างไร้เหตุผล เสียงคำรามทุ้มต่ำเหมือนกำลังฉีกร่างนางเป็นชิ้นๆ ลมหายใจแผ่วร้อนนั้นเหมือนจะละลายให้นางเป็นขี้เถ้าได้ ทว่ากลับทำให้รู้สึกอ่อนโยน ทุกการสัมผัสราวกับขนนกอ่อน ทำให้หัวใจของนางสั่นไหว
นางเหมือนผีเสื้อตัวหนึ่งกำลังโบยบินอยู่ในมุ้ง เหมือนลืมทุกสิ่งทุกอย่างไป เพียงแค่เห็นหมู่ดาวที่แขวนอยู่บนท้องนภา และได้กลิ่นหอมบุษบาที่พัดโชยมาเป็นระยะๆ เท่านั้น
ตอนเหยาฮูหยินตื่นจากการนอนที่เหน็ดเหนื่อย ก็เป็นเวลากลางดึกแล้ว แสงไฟในเรือนมืดสลัว บนเรือนร่างนางปกคลุมด้วยผ้าห่มผืนบาง ข้างกายไม่มีเขาอยู่ จึงพลิกตัวพลางอดทนกับความปวดเมื่อยตามร่างกาย นางได้กลิ่นธูปหอมอ่อนๆ คงเป็นธูปหอมที่พวกเซียงหรูจุดในก่อนหน้านี้
“หายไปไหนแล้ว” เหยาฮูหยินพึมพำด้วยเสียงเบา
ม่านลูกปัดประตูเรือนดังขึ้น ร่างสูงใหญ่ของแม่ทัพเว่ยปรากฎจนบดบังแสงจันทร์ที่สอดส่องผ่านประตู “จะดื่มน้ำหรือ”
“นี่มันยามใดแล้ว” เหยาฮูหยินลุกขึ้นพาพิงบนหมอนที่สามียื่นให้ พลางรับน้ำอุ่นดื่มไปสองคำ
“เพิ่งจะยามสาม นอนต่อเถอะ” เว่ยจางวางถ้วยชาไว้บนโต๊ะด้านข้าง พยุงฮูหยินไปนอนลง
เหยาเยี่ยนอวี่นอนลงแล้วมองสามีที่สวมชุดชั้นในสีเทาแต่ไม่ใช่ชุดนอน ด้วยเหตุนี้จึงถามด้วยคิ้วขมวด “เมื่อครู่นี้เจ้าไปทำอะไรมา”
“ข้าไปกับธุระกับพวกเซียวอี้” เว่ยจางดึงผ้าห่มผืนบางห่มให้นางดีๆ พลางกำชับด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เจ้านอนก่อน เดี๋ยวข้าก็กลับมาแล้ว”
“ดึกดื่นป่านนี้ มีอะไรน่าคุยกันอีก” เหยาเยี่ยนอวี่ยื่นมือจับแขนเสื้อของสามี พลางพูดด้วยเสียงออดอ้อน “ข้าไม่อยากนอนคนเดียว”
แม่ทัพเว่ยหัวเราะเสียงต่ำพลางหอมปลายหูของฮูหยิน “เช่นนั้นก็รอข้ากลับมา” พอเห็นฮูหยินพยักหน้า แม่ทัพเว่ยจึงลุกขึ้นเดินออกไป ไม่นานก็กลับมาดั่งที่คาด พร้อมทั้งเปลี่ยนเป็นชุดนอน
ด้านนอก ถังเซียวอี้ตามอยู่ด้านเฮ่อซี ทั้งสองออกจากโถงข้างเรือนเยี่ยนอาน พร้อมทั้งบิดขี้เกียจแล้วเปรยว่า “เฮ้อ! แม่ทัพช่างไร้น้ำใจ มัวแต่คิดถึงอ้อมกอดอันอบอุ่น! พี่เฮ่อ ท่านก็มีพี่สะใภ้คอยรออยู่ในเรือน มีเพียงข้าที่โดดเดี่ยวเดียวดาย…”
“อีกไม่กี่วัน ฮูหยินของเจ้าก็กลับมาแล้วนี่ อดทนหน่อยเถอะ” เฮ่อซีตบไหล่สหายเบาๆ แล้วเดินจากไปอย่างสง่า
“เฮ้อ!” รองแม่ทัพเว่ยแหงนมองหมู่ดาวเต็มท้องนภาแล้วถอนหายใจ รีบจัดงานศพให้เสร็จเถอะ! ฮูหยินจะได้รีบกลับมา หลังจากถอนหายใจยาว เขาก็กระโดดขึ้นบนหลังคา บุรุษในชุดสีขาวหายลับไปกับแสงจันทร์ที่สอดส่องลงมา
เหยาเยี่ยนอวี่รอให้เว่ยจางกลับมาก็ไม่รู้สึกง่วงนอนอีกต่อไป เพียงแค่พิงอยู่กลางอ้อมกอดของเขา “เรื่องโรงงานกระจก ข้ารู้สึกว่าน่าแปลกเกินไปแล้ว”
เว่ยจางลูบท้ายทอยนาง พลางพูดเสียงเบา “ให้ข้าไปจัดการเรื่องทั้งหมดเถอะ”
“เจ้าจะทำอย่างไร” เหยาเยี่ยนอวี่ถามอย่างไม่วางใจ
“เรื่องนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะทำหรือไม่ทำ ก็ต้องให้พวกเขากลายเป็นคนทำ” เว่ยจางแสยะยิ้มเลือดเย็น
เขากำลังคิดว่าจะหาข้ออ้างอะไร วันนี้กลับดี ไหนๆ ข้ออ้างก็มาเยือนถึงที่ โอกาสหายากเช่นนี้จะพลาดได้อย่างไร
“หืม?” เหยาเยี่ยนอวี่ค่อนข้างสงสัย
“เจ้าไม่ต้องคิดมาก หลับดีๆ ก็พอ” เว่ยจางนอนตะแคงพลางลูบผมยาวสลวยของนาง
“เจ้าจะทำอย่างไรกันแน่ ควรบอกข้าหน่อยไหม” เหยาเยี่ยนอวี่ถามด้วยคิ้วขมวด
เว่ยจางมองนางที่ทำท่าทางต้องรู้เรื่องนี้ให้จงได้ จึงพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ข้ารู้สึกว่าในโรงงานกระจกต้องมีคนของพวกเขาแฝงตัวอยู่ ก่อนหน้านี้เชลยที่พวกเราจับมามีอยู่ไม่น้อย บุรุษที่มีอายุมากกว่าสิบหกปีถูกสังหารจนหมด ส่วนผู้ที่มีอายุน้อยกว่าสิบหกปีก็ถูกส่งตัวไปเป็นทาสในค่ายทหาร ทั้งยังกระจายไปสถานที่ต่างๆ หากหย่าจวิ้นเป็นเชื้อพระวงศ์ของชาวเกาหลีจริง ก็ต้องใช้คนพวกนี้มาคอยเป็นหูเป็นตาอยู่แล้ว ดังนั้นข้าคิดว่า โรงงานกระจกของเจ้าต้องมีคนของเขาอยู่ คนคนนี้มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นคนงานหญิง พวกเราต้องสืบค้นให้ละเอียด”
“ถ้าไม่มีล่ะ” เหยาเยี่ยนอวี่ถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ต้องมีอยู่แล้ว” เว่ยจางแสยะยิ้ม “คนคนนี้คือพยานของพวกเรา”
เหยาเยี่ยนอวี่ค่อนข้างเข้าใจแล้ว “เจ้าจะเปิดโปงตัวตนที่แท้จริงของหย่าจวิ้นหรือ”
เว่ยจางลูบผมดำเงาของนาง พลางพูดเสียงต่ำ “พวกเราต้องให้เหตุผลที่สมเหตุสมผลกับฝ่าบาท”
เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้า เรื่องที่เกี่ยวข้องกับไส้ศึกของแคว้นศัตรู คงไม่ต้องการหลักฐานมากมายหรือเปล่า เพียงต้องการจัดการเขาให้สิ้นซากเท่านั้น “แต่ทางฝั่งองค์หญิงคังผิง ต้องทำอย่างไรดีล่ะ” เหยาเยี่ยนอวี่ถอนหายใจอย่างกังวล บุตรีและแคว้น ฮ่องเต้น่าจะเลือกแคว้น ทว่าหลังจากแคว้นมั่นคง ผู้ที่เป็นบิดาก็ต้องรักและเอ็นดูบุตรีอยู่แล้ว ถึงเวลานั้นค่อยมาคิดบัญชีทีหลัง คงจะเป็นเรื่องยุ่งยาก
“ค่อยเป็นค่อยไปเถอะ” เว่ยจางพูดด้วยเสียงต่ำ
เรื่องระเบิดโรงงานกระจกจึงถูกร่ำลือไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้จวนติ้งโหวกำลังจัดงานศพจึงมีคนเข้าออกอยู่มากมาย เป็นสถานที่ที่ได้รับข่าวสารไวที่สุด ซูอวี้เหิงได้ยินเหลียงฮูหยินพูด ทว่าเหลียงฮูหยินไม่ได้สนิทสนมกับเหยาเยี่ยนอวี่ เพียงแค่รู้ว่านางได้รับความเสียหาย ซูอวี้เหิงก็ไม่ได้รับผลประโยชน์อะไร แค่ว่าซูอวี้เหิงได้ยินก็กระวนกระวายจนร้องไห้ ต้องการกลับจวนโดยด่วน
เหลียงฮูหยินเห็นว่าขัดขวางนางไว้ไม่ได้ จึงแค่กำชับ “กลับไปอย่างเงียบๆ อย่านั่งรถม้าตัวเอง ให้บ่าวไปเตรียมรถม้าที่พวกนางนั่งประจำให้เจ้านั่งกลับจวนเถอะ”
ซูอวี้เหิงจะไปสนใจเรื่องพวกนั้นได้อย่างไร นางแค่รีบถอดชุดไว้อาลัย แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับไปทันที
เหยาเฟิ่งเกอที่ได้ยินเรื่องนี้ก็รู้สึกกระวนกระวายใจ จึงรีบเรียกซานหูมากำชับ “เจ้าแอบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปจวนแม่ทัพแทนข้าที ไปดูว่าน้องสาวเป็นเช่นไรบ้างแล้ว บอกนางอย่าได้กังวลใจไป หากต้องการเงิน ที่ข้ายังมีอยู่บ้าง…” ขณะที่พูด เหยาเฟิ่งเกอก็ถอนหายใจ “ช่างเถอะ เจ้าบอกหลี่จงทีเดียวว่าให้ไปเบิกหนึ่งหมื่นตำลึงจากหอการเงินหวนหลงแล้วส่งไปให้นาง แล้วบอกน้องสาวข้าว่า หากที่เอาไปยังไม่พอ ข้าจะคิดหาวิธีช่วยอีก”