หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 449 เยี่ยมเยียนจวนตระกูลเดียวกัน เฟิ่งเกอเสนอวิธีแก้ปัญหา (2)
- Home
- หมอหญิงจ้าวดวงใจ
- ตอนที่ 449 เยี่ยมเยียนจวนตระกูลเดียวกัน เฟิ่งเกอเสนอวิธีแก้ปัญหา (2)
ตอนที่ 449 เยี่ยมเยียนจวนตระกูลเดียวกัน เฟิ่งเกอเสนอวิธีแก้ปัญหา (2)
ทันใดนั้น เด็กๆ ที่มีอายุประมาณห้าหรือสิบขวบต่างมีความสุขอย่างมาก พวกเขารีบหยิบของกินบนโต๊ะหนึ่งกำมือ จากนั้นก็หยิบของกินอีกโต๊ะหนึ่งกำมือแล้วยัดเข้าไปในกระเป๋า
หลานชายคนโตผู้นั้นอดขมวดคิ้วไม่ได้ “พอเถอะๆ เด็กๆ ออกไปเล่นด้านนอกได้แล้ว”
“ขอรับ” มีเด็กที่เชื่อฟังขานรับแล้วออกไปทันที
ทว่า ยังมีเด็กที่ยังหยิบผลไม้แห้งไม่พอ และกำลังหยิบเข้ากระเป๋าเรื่อยๆ เหมือนไม่ได้ยินคำพูดของบุรุษคนนั้น สีหน้าของหลานชายคนโตบูดบึ้งไปทันที จากนั้นก็เริ่มว่าต่อเด็กคนนั้น เหยาเยี่ยนอวี่กลับแค่ลิ้มรสชาเงียบๆ ยกยิ้มแล้วไม่พูดไม่จา
หลานชายคนโตคนนั้นแย้มยิ้มให้เหยาเยี่ยนอวี่ด้วยความรู้สึกผิด “ท่านน้าสะใภ้ได้โปรดอย่าขบขันไปเลย! เด็กพวกนี้ลำบากแต่เด็ก จะกินดีอยู่ดีได้อย่างไร เฮ้อ…นี่เป็นความผิดของหลานชายเอง หลานชายไม่มีความสามารถอะไร ต่อให้อยากออกแรงมากเพียงใด ก็ช่วยเหลือทางตระกูลไม่ได้เลย หลายปีมานี้ ท่านน้าพาทหารออกรบอยู่ด้านนอก ไม่ค่อยมีโอกาสอยู่ฉลองตรุษจีนในจวน ปกติจึงไม่ค่อยได้เจอหน้ากันอยู่แล้ว ฉะนั้นหลานชายคิดว่า ปีนี้มีท่านน้าสะใภ้อยู่จวน ดังนั้น ไม่ว่าจะอย่างไร อย่างน้อยก็ต้องพาเด็กพวกนี้มาน้อมคำนับท่านน้าสะใภ้เสียหน่อย หลานชายกลัวว่าท่านน้าสะใภ้จะไม่รำคาญใจ ทว่าก็คิดว่าท่านน้าสะใภ้เกิดในตระกูลชั้นสูง จึงรู้หนังสือที่สุด พอมาคิดดูแล้ว ท่านก็คงไม่เรียกร้องอะไรกับเด็กยากไร้พวกนี้ที่ไม่รู้จักกาลเทศะอยู่แล้ว ว่าไปแล้ว…หลานเองที่ไม่ยั้งคิดให้รอบคอบ กลับลืมว่าท่านน้าสะใภ้เข้าวังหลวง”
เขาพึมพำตามลำพังมามากเช่นนี้ เหยาเยี่ยนอวี่เพียงฟังพอพิธีเท่านั้น พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ท่านไม่ควรรังเกียจพวกเราที่ยากจน
ดังนั้น จึงยิ้มจางๆ “ว่าไปแล้วข้าเองนี่แหละที่เป็นฝ่ายผิด ทั้งวันก็เอาแต่ยุ่งโน่นยุ่งนี่จึงไม่ค่อยสนใจงานเรือน อีกอย่าง ข้ายังอายุน้อยก็ไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้ แม่ทัพไม่ค่อยอยู่จวน จึงไม่เคยถามเรื่องในเรือน แม่ทัพไม่พูด ข้าก็ไม่รู้ว่าในจวนจะมีหลานชายมากเช่นนี้ เรื่องนี้พอพูดออกไปให้ใครมาได้ยินเข้า เกรงว่าคนพวกนั้นคงหัวเราะจนฟันร่วงหรือเปล่า”
ความหมายของเหยาฮูหยินก็ชัดเจนอย่างมาก ตอนข้าแต่งเข้าจวนก็ไม่รู้ว่าทุกท่านมีตัวตนอยู่ ดังนั้นพวกเจ้าจะจนหรือจะรวย ก็ไม่ใช่เรื่องที่ข้าต้องกังวล
บุรุษอายุราวๆ ยี่สิบปีที่อยู่ด้านข้างเข้ามาโค้งคำนับให้เหยาเยี่ยนอวี่แล้วพูดยิ้มๆ “ท่านน้าสะใภ้กล่าวได้มีเหตุผล ข้าก็รู้ว่าจวนพวกเราแตกต่างจากจวนอื่น ฮูหยินจวนอื่นคอยสะสางแต่งานเรือนเท่านั้น ทว่าน้าสะใภ้ของพวกเรายังเป็นตั้งหมอหลวงลำดับสาม มีเรื่องมากมายในสำนักแพทย์ที่ต้องคอยกังวลใจ ได้ข่าวว่าฝ่าบาทยังให้ความสำคัญกับท่าน ท่านยุ่งกับงานด้านนอกมากมายเช่นนี้ จึงไม่มีเวลามาสนใจงานเรือนอยู่แล้ว”
“เป็นเช่นนั้น ขอบคุณทุกคนที่เข้าใจ” เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มจางๆ แล้วจิบชาต่อ
“ฮูหยินยุ่งกับงานในราชสำนัก คงลำบากยิ่งนัก ถือโอกาสพักผ่อนในช่วงเวลาตรุษจีนนี้ ก็ควรพักผ่อนดีๆ” บุรุษอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดพูดขึ้น
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มจางๆ พลางมองชายหนุ่มผู้นี้ ภายในใจคิดว่าเจ้าหมอนี่ยังถือว่าไม่เลว อย่างน้อยเขายังขานเรียกตนเองว่า ‘ฮูหยิน’ ไม่ใช่ ‘ท่านน้าสะใภ้’ ‘ท่านย่า’
อันที่จริง เหยาเยี่ยนอวี่ใช้ชีวิตอยู่ในจวนเหยามาสิบกว่าปี ก็เคยชินกับกฎระเบียบในยุคโบราณแล้ว ต่อให้เป็นท่านย่า ท่านพ่อ และท่านแม่ทางสายเลือด สำหรับตระกูลชั้นสูง ล้วนเรียกว่า ‘ฮูหยินผู้เฒ่า’ ‘นายท่านผู้เฒ่า’ ‘ฮูหยิน’ แต่ในโอกาสที่ไม่เป็นทางการและโอกาสที่ทั้งครอบครัวอยู่ร่วมกัน ถึงจะขานเรียกว่า ‘ท่านย่า’ ‘ท่านพ่อ’ ‘ท่านแม่’ เป็นบางครั้ง
บุตรหลานของญาติผู้พี่ของผู้เฒ่าเว่ยที่ให้กำเนิดโดยอนุภรรยาเรียกตนเองว่า ‘ท่านน้าสะใภ้’ นี่ไม่ถูกต้องแน่นอน
เหยาเยี่ยนอวี่รู้ว่าคนพวกนี้ไม่มีทางไม่รู้กฎระเบียบและมารยาทพวกนี้ พวกเขาจงใจเรียกตนว่า ‘น้าสะใภ้’ เพียงแค่ต้องการเตือนตนเองว่าพวกเขาคือคนในตระกูลเว่ย มีบรรพบุรุษเดียวกับเว่ยจาง ต่อให้ตอนนี้บรรพบุรุษฝังอยู่ในดินแล้ว สองสามีเว่ยจางควรดูแลคนในตระกูล
เมื่อเทียบกับคนในตระกูลที่ไร้ยางอายพวกนี้ ชายหนุ่มคนนี้กลับค่อนข้างหยิ่งในศักดิ์ศรี ทว่าไม่รู้ว่าความหยิ่งในศักดิ์ศรีนี้จะอยู่ได้นานเพียงใด เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกว่ายังต้องสำรวจอีกสักระยะ
“เสี่ยวถังกล่าวถูก! ต่อให้ท่านน้าสะใภ้จะยุ่งเพียงใดก็ควรรักษาสุขภาพให้ดี” หลานชายคนโตรีบพูดต่อ
เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้าด้วยรอยยิ้มจางๆ “ขอบคุณพวกเจ้าที่เป็นห่วง”
หลานชายคนโตยิ้มเยาะอย่างโอ้อวด “ท่านน้าสะใภ้ วันนี้พวกเราหลานชายมีความสุขจริงๆ ตั้งแต่ท่านปู่จากไป พวกเราครอบครัวใหญ่ก็ไม่เคยได้อยู่เฉลิมฉลองตรุษจีนร่วมกันอีกเลย ก่อนหน้านี้ท่านน้ามักจะอาศัยอยู่ในค่ายทหาร ในจวนไม่มีคนคอยดูแล มีเพียงข้ารับใช้คอยเฝ้าจวนเท่านั้น คนพวกนี้รับผิดชอบทำความสะอาดจวน แต่ไม่ได้รู้เรื่องอื่นใด ปีนี้มีน้าสะใภ้คอยดูแล จวนเว่ยก็ดูเป็นจวนขึ้นมาทันตา”
เหยาเยี่ยนอวี่ยังคงยิ้มจางๆ อันที่จริงนางเหนื่อยจวนตายแล้ว ทว่ากลับไม่อยากไล่แขกเหรื่อกลับอย่างไร้มารยาท คนพวกนี้แม้ไม่มียศหรือตำแหน่งใด ทว่าก็มีแซ่ว่าเว่ย หลังจากออกจากที่นี่ก็อาจแพร่งพรายเรื่องในจวนไปเรื่อยเปื่อย อาจทำให้เว่ยจางเสียชื่อเสียงได้ อย่างไรนั่งฟังคนพวกนี้ประจบประแจงก็ไม่ถือว่าเหนื่อย ยังอดทนได้อีกสักพัก
จากนั้น หลานชายคนโตที่เป็นผู้นำในวันนี้ก็พูดเรื่องสัพเพเหระไปสักพัก สุดท้ายก็พูดประเด็นออกมา “ท่านน้าสะใภ้และท่านน้าเหน็ดเหนื่อยกับงานราชสำนัก ข้าที่เป็นหลานชายก็แบ่งเบาภาระไม่ได้ จึงรู้สึกไม่สบายใจ ไม่ทราบว่าท่านน้าสะใภ้มีเรื่องอะไรอยากเรียกใช้พวกหลานชายหรือไม่ หากท่านมีก็ได้โปรดสั่งมาโดยตรงเถอะ พวกหลานชายจะช่วยเหลือท่านน้าและน้าสะใภ้อย่างสุดความสามารถเอง”
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มน้อยๆ “พวกเจ้าช่างมีใจจริงๆ เรื่องของท่านน้าพวกเจ้า คิดว่าพวกเจ้าก็รู้ดี แม้กระทั่งข้ายังเข้าไปยุ่งเกี่ยวไม่ได้ ส่วนทางฝั่งข้า ถึงแม้สำนักแพทย์จะเล็ก ทว่าฝ่าบาทกลับให้ความสำคัญ เอ่อ ใช่แล้ว หากบุตรีของพวกเจ้าอยากฝึกวิชาการแพทย์ ส่งมาที่ข้าได้ ส่วนเรื่องนี้ ก็ไม่มีธุระอะไรให้พวกเจ้าช่วยแล้ว”
“พวกหลานชายโง่เง่าดักดาน จึงมิอาจช่วยงานทางราชสำนักได้ ทว่าร้านค้าหรือโรงงานของท่าน พวกหลานชายอาจจะพอช่วยได้”
เหยาเยี่ยนอวี่มองคนที่พูดเพียงชั่วพริบตา บุรุษผู้นี้อายุราวๆ สามสิบปี มีหนวดเหนือริมฝีปากที่คล้ายเลขแปด หางตาชี้ขึ้น ดูลักษณะภายนอกก็รู้ว่าไม่ใช่คนซื่อสัตย์อะไร จู่ๆ เหยาเยี่ยนอวี่ก็นึกถึงเรื่องที่ซูอวี้เหิงเคยบอกตนเอง เว่ยจางมีน้าคนหนึ่ง หลังจากปู่ของเขาจากไป ไม่เพียงแต่ส่งเขาเข้าค่ายทหาร ทั้งยังฮุบสมบัติทั้งหมดของเขาไป ภายหลังเว่ยจางกลับมาตั้งหลักปักฐานในเมืองหลวงอีกครั้ง ท่านน้าคนนั้นขายทรัพย์สมบัติทั้งหมด และกำลังหอบเงินหลบหนี ทว่ากลับถูกเว่ยจางจับกุมตัวไปขังไว้ในคุกกรมอาญา
เวลานี้ ท่านน้าที่มีนามว่าเว่ยเอ้อร์โต้วน่าจะยังอยู่ในคุกหรือเปล่า เหยาเยี่ยนอวี่ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ จึงหัวเราะอย่างฉับพลัน หลังจากผ่านเรื่องของเว่ยเอ้อร์โต้วมา วันนี้คนพวกนี้ยังกล้ามาเรียกร้องอะไรอีก อีกอย่างยังมาเยือนอย่างโจ่งแจ้ง กลับกล้าหาญชาญชัยนัก
“เป็นเช่นนั้น” หลานชายคนโตเห็นเหยาเยี่ยนอวี่ไม่พูดไม่จา จึงพูดคล้อยตามกันไป “ได้ยินว่าท่านน้าสะใภ้เปิดโรงงานกระจกตรงนอกเมือง สินค้าจากโรงงานกระจกแห่งนั้นได้รับความนิยมอย่างมาก คิดว่างานต้องยุ่งเป็นแน่ เป็นโอกาสเหมาะเจาะที่จะหาคนดูแล สุภาษิตกล่าวว่า ‘ยามสู้กับเสือ มีเพียงพี่น้องที่ช่วยเหลือกันอย่างซื่อตรง ยามออกรบ ก็มีเพียงพ่อลูกที่เอาชนะข้าศึกอย่างพร้อมใจ’ แม้พวกหลานชายจะโง่เง่า ทว่ากลับมีจิตวิญญาณที่จงรักภักดี ท่านน้าสะใภ้ได้โปรดเห็นแก่พวกเราที่มีบรรพบุรุษเดียวกัน ช่วยเหลือพวกเราที่กำลังตกระกำลำบากหน่อยเถอะ”
เพิ่งจะกล่าวจบ ทุกคนต่างลุกจากที่นั่ง แล้วคุกเข่าลงตรงหน้าเหยาเยี่ยนอวี่อย่างพร้อมเพรียง พวกเด็กที่วิ่งออกไปกินผลไม้แห้งด้านนอกก่อนหน้านี้ก็ไม่รู้ว่าไปได้ยินอะไรเข้า ถึงได้วิ่งกลับมาคุกเข่าพร้อมกับพวกผู้ใหญ่