หนุ่มเศรษฐีลึกลับ - ตอนที่ 62 นายลู่จะเก่งแค่ไหนกันเชียว
บทที่ 62 นายลู่จะเก่งแค่ไหนกันเชียว
หม่าเถิงเฟยทั้งถูกคนของอาเปียวสั่งสอน ทั้งถูกพ่อของเขาลงมือสั่งสอนเอง ตอนนี้จึงมีสติรู้แจ้งทุกอย่าง
ลู่เสี้ยงหยางต้องเป็นผู้มีอำนาจมากแน่ๆ ไม่งั้นคงไม่ทำให้อาเปียวกับซุนสงเกรงกลัวได้ขนาดนี้หรอก
โยเฉพาะเจ้าพ่อแห่งวงการใต้ดินอย่างซุนสง ที่มีอิทธิพลเป็นอย่างมากในเมืองปินเหอ ไม่ว่าจะเป็นวงการตลาดไหนๆก็เคยผ่านมาหมดแล้ว แล้วทำไมถึงได้ยอมหมอบให้กับคนธรรมดาแค่คนหนึ่งล่ะ
มันมีแค่คำอธิบายเดียวเท่านั้นแหละ ว่าคนๆนี้ต้องน่าเกรงกลัวถึงขนาดคนอย่างซุนสงยังไม่กล้ามีเรื่องด้วย
หม่าเถิงเฟยไม่กล้าจินตนาการเลย ว่าความน่ากลัวของคนที่ซุนสงไม่กล้ามีเรื่องด้วยจะอยู่ในระดับไหน?
เมื่อคิดได้ดังนี้ ลูกตาของหม่าเถิงเฟยก็หดเล็กลง ร่างกายก็เริ่มสั่นเทา
ด้านเฉินหลันที่ไม่มีความรอบรู้ ในเวลานี้จึงมองสถานการณ์ไม่ออก หันไปพูดกับหม่าเจียงหลิ่งว่า “พ่อคะ พ่อจัดการผิดคนแล้ว คนที่พ่อต้องสั่งสอนก็คือไอ้บ้านั่นต่างหาก แล้วก็เย่สวน ฉันอยากเห็นมันถูกทุกคนรุมโทรมจนกลายเป็นคนชั้นต่ำ”
เมื่อได้ยินที่เธอพูด หม่าเจียงหลิ่งก็แทบจะพ่นเลือดออกมา ไม่รู้ว่าสมองของเฉินหลันทำมาจากเศษเต้าหู้หรือเปล่า? มาถึงขนาดนี้ละยังไม่เข้าใจอะไรอีก ว่าลู่เสี้ยงหยางไม่ใช่คนที่พวกเขาควรไปหาเรื่อง
และก็เพราะคำพูดของเธอเมื่อสักครู่ อาจจะทำให้ทั้งตระกูลหม่าวุ่นวายไปทั้งตระกูลเลยก็ได้
“นังนี่ ฉันว่าแล้วว่าความขัดแย้งทุกอย่างในวันนี้มันต้องเป็นเพราะแก” หม่าเจียงหลิ่งรู้ดีว่าปกติเฉินหลันเป็นคนยังไง เขาหันไปถลึงตาใส่เฉินหลันอย่างดุร้าย จากนั้นก็ยกขาขึ้นถีบท้องของเฉินหลัน จนเธอทรุดล้มลงกับพื้น
เฉินหลันเบิกตากว้าง ทั้งหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
หม่าเจียงหลิ่งก้มมองเฉินหลัน จากนั้นก็พูดเน้นย้ำออกมาทีละคำว่า “ถ้าแกอยากตาย ก็อย่าให้ตระกูลหม่าของพวกฉันซวยไปด้วย ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป แกไม่เกี่ยวอะไรกับตระกูลหม่าของพวกฉันอีกแล้ว”
“ห๊า” เฉินหลันส่ายหน้ารัวๆ พร้อมทั้งมองไปที่หม่าเถิงเฟยอย่างขอความช่วยเหลือ
แม้ว่าหม่าเถิงเฟยจะตัดใจจากคู่นอนอย่างเธอไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่ แต่เมื่อลองเปรียบเทียบเธอกับอนาคตของตัวเองและทั้งตระกูลหม่า ก็พบว่าเธอไม่มีประโยชน์อะไรเลย ดังนั้นเขาจึงหันหน้าไป แล้วเอ่ยพูดอย่างใจร้ายว่า “นังคนชั้นต่ำ ถ้ายังกล้าพูดจาไร้สาระกับพี่เสี้ยงหยางอยู่อีก ฉันเอาแกตายแน่”
ตอนนี้เฉินหลันกลัวมากถึงมากที่สุด เมื่ออยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง สมองของเธอถึงได้เริ่มประมวลผลได้ ว่าลู่เสี้ยงหยางน่ากลัวขนาดไหน
ขนาดคนอย่างซุนสงกับหม่าเจียงหลิ่งยังสงบปากสงบคำและยอมก้มหัวให้เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา
ตุบ!
เฉินหลันคุกเข่าลงกับพื้น จากนั้นก็เริ่มทำการขอร้องลู่เสี้ยงหยาง “พี่เสี้ยงหยางไว้ชีวิตฉันด้วย ได้โปรด เมื่อสักครู่ฉันมีแววหามีตาไม่ถึงได้กล้าหาเรื่องทำให้คุณไม่พอใจ”
ลู่เสี้ยงหยางนิ่งเฉย
เฉินหลันจึงหันไปคุกเข่าให้เย่สวน พร้อมทั้งเอ่ยขอร้องด้วยน้ำมูกน้ำตาไหล “เย่สวน ถึงยังไงเราก็เป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน ถือซะว่าเห็นแก่ความเพื่อนของเราเถอะนะ แกไว้ชีวิตฉันเถอะนะ”
สีหน้าของเย่สวนเย็นชา ตอนนี้อารมณ์ของเธอค่อยๆสงบลงแล้ว จึงรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดปานใจจะขาดบนใบหน้าของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี
“เมื่อกี้ ตอนที่แกตบฉัน ทำไมไม่คิดถึงความเป็นเพื่อนของเราบ้างล่ะ” สีหน้าของเย่สวนเต็มไปด้วยแววถากถาง
เมื่อประโยคนี้ถูกพูดออกมา เฉินหลันสิ้นหวัง เหงื่อท่วมร่างกายจนเปียกชื้นไปหมด
เพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆที่อยู่รอบๆต่างก็พากันเงียบกริบ เมื่อสักครู่ตอนที่เย่สวนถูกเฉินหลันตบพวกเขาก็ไม่ได้เสนอหน้าออกมาช่วย แต่กลับส่งเสียงเชียร์ด้วยซ้ำ
ถ้าเย่สวนรอคิดบัญชีกับพวกเขาล่ะก็ พวกเขาก็คงต้องตายอย่างอนาถเหมือนกันแน่ๆ
แต่พวกเขาก็คิดไม่ถึงเลยว่า คนไร้ประโยชน์ที่ทุกคนดูถูกดูแคลน จะเป็นถึงคนใหญ่คนโตที่น่าเกรงกลัว
ไม่ทันรู้ตัวสายตาของทุกคนก็มองไปทางลู่เสี้ยงหยาง ความรู้สึกในขณะนี้เป็นอะไรที่ยากจะอธิบายมากๆ
ซูเยียนรันมีสีหน้าอ่านยาก ตอนที่เย่สวนเรียนมหาวิทยาลัยกับเธอ ผลการเรียนก็ดีเยี่ยม ทั้งยังได้เป็นคณะกรรมการนักศึกษาของชั้นปี และตัวเธอเองก็เป็นคนเรียนเก่ง ดังนั้นเลยรู้สึกสนใจที่คนเรียนเก่งเหมือนกัน เย่สวนจึงกลายเป็นคนที่เธอชื่นชม
ทว่าเรื่องที่เย่สวนบริหารบริษัทโหลยโท่ยอย่างชิงสุยกรุ๊ปต่อว่าทำให้เธอเซอร์ไพรส์แล้ว เรื่องที่เธอแต่งงานกับคนไม่เอาไหน ยิ่งทำให้ความรู้สึกที่เธอมีต่อเย่สวนเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง รู้สึกว่าคนนี้ไม่สามารถปีกกล้าขาแข็งได้ มีความรู้ติดตัวเสียเปล่า
แต่คิดไม่ถึงเลยว่า สายตาของเย่สวนจะเฉียบแหลมถึงขนาดคว้าผู้ชายระดับนี้มาได้
“เฮ้อ ฉันแพ้แล้วสิ เธอต่างหากคือผู้ชนะที่แท้จริง” ซูเยียนรันแอบพูดในใจอย่างปลงตก
ลู่เสี้ยงหยางมีสีหน้าไร้อารมณ์ จากนั้นก็พูดกับเย่สวนว่า “คุณอยากให้ผมลงโทษพวกเขายังไง ขอแค่คุณบอกมาผมจะจัดการให้”
เย่สวนส่ายหน้าอย่างเลื่อนลอย พูดว่า “ฉันไม่รู้”
ลู่เสี้ยงหยางพยักหน้า “ในเมื่อว่ามาอย่างนี้ งั้นผมช่วยคุณตัดสินใจเอง”
พูดยังไม่ทันได้จบดี เขาก็หันหน้าไปเอ่ยสั่งซุนสงว่า “หม่าเถิงเฟยบอกว่าจะหักขาฉันทั้งสองข้างทิ้ง เพื่อให้ฉันนอนติดเตียงไปตลอดชีวิต ส่วนผู้หญิงของเขาบอกว่าจะทำให้ผู้หญิงของฉันได้รับความอัปยศอดสู เพราะฉะนั้นเรื่องนี้จัดการตามที่นายเห็นควรเลยแล้วกัน”
ซุนสงเหงื่อไหลท่วมตัว หม่าเถิงเฟยกับผู้หญิงคนนั้นช่างไม่รู้จักกลัวตายเอาเสียเลย ทำไมถึงได้กล้าใช้คำพูดหยิ่งผยองแบบนี้กับลู่เสี้ยงหยางกันนะ
“อะแฮ่มๆ หม่าเจียงหลิ่ง คุณควรขอบคุณฟ้าดินนะ ที่พี่เสี้ยงหยางไม่ลงมือเอง งั้นต่อจากนี้คุณจะลงมือเอง หรือว่าจะให้คนของผมลงมือดีล่ะ?”
หม่าเจียงหลิ่งไม่รีรอ รีบพยักหน้าแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ลูกชายของผมผิดเอง และผมอบรมสั่งสอนลูกผมได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะงั้นเดี๋ยวผมจัดการเอง”
ทันทีที่พูดออกจบ เขาก็กวักมือเรียกบอดี้การ์ดในชุดสูทพร้อมแว่นดำที่ยืนอยู่ข้างหลัง
ห้าคนนี้คือลูกน้องที่เขาพามาด้วย
“จัดการสองอย่าง อย่างแรกคือหักขาของหม่าเถิงเฟย อย่างที่สองคือ ข่มขืนเฉินหลัน เดี๋ยวนี้ทันที!” หม่าเจียงหลิ่งออกคำสั่ง
เมื่อได้ยินแบบนี้ สีหน้าของหม่าเถิงเฟยกับเฉินหลันก็หน้าซีดราวกับกินของเสียเข้าไป พวกเขารู้ดีว่าต่อจากนี้กำลังจะเจอกับอะไร
“ครับ นายท่าน” ชายหนุ่มห้าคนตอบรับอย่างพร้อมเพียง ผู้ชายสี่คนแรกเดินเข้าไปกดหม่าเถิงเฟยไว้กับพื้น ส่วนหนึ่งคนที่เหลือก็ใช้ขวดเหล้าทุบเข้าตรงบริเวณข้อต่อบนหัวเข่าทั้งสองข้างของหม่าเถิงเฟย
เพล้งๆ!
เสียงขวดเหล้าแตกกระจาย ของเหลวภายในขวดก็กระเซ็นออกมาเต็มพื้น หม่าเถิงเฟยส่งเสียงร้องน่าเวทนาออกมาราวกับหมูถูกฆ่า กระดูกบริเวณหัวเข่าในยามนี้แหลกละเอียดไปแล้ว พร้อมทั้งมีเลือดสดๆไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย
หม่าเถิงเฟยทั้งโกรธทั้งแค้น ในใจรู้สึกคิดผิดสุดๆ เขาไม่น่าไปเชื่อคำพูดของผู้หญิงอย่างเฉินหลันเลยจริงๆ โกหกคนไปทั่ว
หลังจากที่ผู้ชายทั้งห้าคนทุบตีขาของหม่าเถิงเฟยจนหัก ก็เริ่มปฏิบัติตามคำสั่งที่สองของหม่าเจียงหลิ่ง นั่นคือการข่มขืนเฉินหลัน
และไม่นานหลังจากนั้น ภาพเหตุการณ์ภายในห้องก็ไม่น่าบรรยายอีกต่อไป……
เมื่อทุกคนในห้องมองเห็นสภาพจนตรอกของหม่าเถิงเฟย รวมถึงสภาพน่าเวทนาของเฉินหลัน ภายในใจก็ชาวาบ
โชคร้ายที่วันนี้ทั้งสองคนเจอเหล็กกล้าเข้าให้ ถ้าลู่เสี้ยงหยางเป็นแค่คนอ่อนแออย่างที่พวกเขาคิดเอาไว้ ป่านนี้คนที่นอนอยู่กับพื้นคงเป็นลู่เสี้ยงหยาง และคนที่กำลังถูกกระทำอย่างอัปยศอดสูก็คงเป็นเย่สวนด้วยเหมือนกัน
หลังจากที่จัดการทุกอย่างเสร็จ หม่าเจียงหลิ่งถึงได้ค่อยๆหันไปลอบถามซุนสงอย่างระมัดระวังว่า “พี่สง แค่นี้พอไหม?”
ซุนสงไม่กล้าตัดสินเองโดยพลการ จึงมองไปทางลู่เสี้ยงหยาง เพื่อขอความคิดเห็นจากเขา
“เยี่ยม” ลู่เสี้ยงหยางพยักหน้า จากนั้นก็กวาดสายตามองหม่าเจียงหลิ่งแล้วพูดว่า “เรื่องวันนี้ จะมาเอาคืนฉันเมื่อไหร่ก็ได้นะ”
หม่าเจียงหลิ่งแข้งขาหมดเรี่ยวแรงจนทรุดนั่ง จากนั้นก็โขกหัวลงกับพื้นรัวๆ “ผมไม่กล้าหรอกครับ ไม่บังอาจแน่ๆ”