ลูกเขยมังกร - ตอนที่ 869 ไม่สมยอม
เชียนหนิงเดินเข้าไปข้างหน้าก้าวเดียว ส่วนหญิงสาวกลับตะโกนว่า “คุณอย่าเข้ามานะ”
ตัวเธอก็รีบเดินถอยหลังไปไม่เพียงแค่ก้าวเดียว
เชียนหนิงจึงต้องหยุดลง แล้วเขาก็ถามว่า “ถ้าคุณไปกับฉัน ทุกอย่างก็จะอิสระแล้ว หรือว่าคุณไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นเหรอ? ไปอยู่ที่ที่ไม่มีคนจะทำให้คุณร้องไห้ได้อีก ไปที่ที่คุณคิดอยากจะทำอะไรก็ได้ตามที่ใจอยากจะทำ”
ใบหน้าที่บอปบางของหญิงสาวก็สั่นระรัว แผ่วเบามาก แต่ก็ดูออกว่าในใจเธอกำลังว้าวุ่น
ดวงตาคู่นั้นสวยงามมาก ขนตางอนยาวนั้นกำลังกะพริบอย่างแผ่วเบา น้ำตาที่รินไหลออกมาทำให้เครื่องสำอางบนใบหน้าเริ่มหลุดลอกออกมา
แต่ว่าสวยงามเช่นนี้ กลับแลดูหดหู่เศร้าหมอง ไม่รู้เป็นเพราะเชียนหนิงที่อยู่ตรงหน้า หรือว่าเพราะอะไรกันแน่
“คุณไปเถอะ พวกเราจะอยู่กันด้วยดี คุณเชื่อฉันเถอะ” เธอดูเหมือนไม่ค่อยหวาดกลัวเช่นนั้นแล้ว อย่างน้อยก็ไม่เหมือนเมื่อครู่ที่ตกใจจนต้องถอยหลังออกไปไกล
“ฉันไม่เชื่อหรอก ฉันรู้แต่ว่าคุณไม่เคยมีความสุขเลย ถ้าคุณยังเป็นอย่างนี้อีกต่อไป คุณก็จะไม่มีวันที่จะมีความสุขตลอดไป”
แต่เชียนหนิงก็เป็นคนที่ดื้อรั้นเหมือนกัน เขาพูดอย่างยืนหยัด
เขาพูดพลาง ก็เดินก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง แต่ว่าหญิงสาวยังยืนอยู่ตรงนั้นเช่นเดิม
“หรือว่าคุณไปรู้อะไรมาเหรอ?” หญิงสาวถาม
เชียนหนิงพูด “อึม ฉันก็รู้มาตั้งนานแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคน ในความทรงจำของฉันความหลังที่เลือนรางพวกนั้น ฉันก็นึกขึ้นมาได้หมดแล้ว ฉันเกลียดตัวเองมากเลยที่ถึงกับลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปได้”
“คุณไม่ควรจะนึกมันขึ้นมาได้อีก เพราะว่ามันไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับคุณเลย คุณเกิดในบ้านตระกูลเชียน เติบโตอยู่ในบ้านตระกูลเชียน ตระกูลเชียนถึงจะเป็นเสาหลักให้คุณได้ ฉันไม่ใช่ ฉันเป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น คนธรรมดาที่ไม่รู้ว่าจะธรรมดายังไงอีกแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับคุณด้วย คุณควรจะปล่อยฉันไปนะ”
หญิงสาวควบคุมอารมณ์ของตัวเองไว้ พูดคำพูดที่เธอรู้สึกมีสติยั้งคิดที่ดี เพราะว่าเธอรู้ว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเชียนหนิงแล้ว สำหรับตัวเธอเองก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดเช่นกัน
แต่ว่าเชียนหนิงตะโกนร้องว่า “ทำไมคุณจะต้องเลือกทางเดินให้ฉันด้วย นั่นมันเป็นทางเดินชีวิตของฉันเอง ฉันสามารถเลือกเองได้”
เขาแทบจะอยากบุกเข้าไปกอดหญิงสาวไว้ แต่ก็กลัวว่าหญิงสาวจะตกใจตื่นกลัว
อารมณ์ความรู้สึกของหญิงสาวกำลังพังทลาย เธอพูดว่า “เป็นเพราะว่าฉันรักคุณ ฉันไม่อยากให้คุณมีชีวิตอยู่ในความทุกข์ยาก…….”
“ไม่ ฉันไม่ต้องการ ถ้าหากให้ฉันทิ้งคุณไปเพื่อไปเลือกชีวิตที่แสนสุขสบายเช่นนี้ ฉันยอมที่จะไม่เอาอะไรเลยดีกว่า”
เชียนหนิงพูดตัดตอนคำพูดของหญิงสาวคนนั้น
“ทำไมคุณถึงต้องทำอย่างนี้…….”
หญิงสาวยกชายกระโปรงที่โป่งพองขึ้นแล้วนั่งลงไป ดูเหมือนเธอกำลังร้องไห้อยู่ แต่ก็ไม่อยากให้เชียนหนิงได้เห็นขณะที่ตัวเองกำลังร้องไห้ จึงทำท่าเช่นนี้เพื่อกลบเกลื่อนไว้
เมื่อเชียนหนิงได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินมา เขาจึงไม่ได้สนใจท่าทีของหญิงสาว ได้แต่รีบพูดอย่างรวดเร็วว่า
“ฉันจะต้องพาคุณออกไปให้ได้ รอให้งานเลี้ยงเลิกก่อน ฉันก็จะพาคุณหนีไป”
พูดจบ เขาก็หันหลังจากไป ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้ข้างหลัง
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมาอีกที ก็ไม่เห็นเงาร่างของเชียนหนิงแล้ว แต่ว่าดวงตาที่เพิ่งจะบรรจงแต่งอย่างงดงามคู่นั้นกลับเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปหมดแล้ว
เด็กสาวทั้งสองคนที่เพิ่งเดินออกไปเมื่อครู่ ดูเหมือนว่าต้องการเข้ามาแต่งเติมรายละเอียดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นใบหน้าของหญิงสาวที่เลอะเทอะเช่นนั้น ทั้งสองคนก็ตกใจพูดว่า “คุณหนู ท่านไปทำอะไรมา หน้าเลอะหมดแล้ว”
หญิงสาวลุกขึ้นยืน รวบรวมสติอารมณ์ เคยใช้ชีวิตที่นี่มาหลายปีทำให้เธอรู้จัดเก็บความรู้สึกไว้ได้อย่างง่ายดาย เวลาที่พูดกับพวกเธอ ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม แล้วพูดว่า “เพียงแต่รู้สึกดีใจเกินไปหน่อยจนน้ำตาไหลออกมา”
“ใช่สิคะ เจ้าบ่าวของคุณหนูเป็นถึงคุณชายของตระกูลอู๋ ไม่เพียงแต่รูปหล่อเท่สมาร์ต อีกทั้งยังมีเสน่ห์และยังมีความสามารถอีกมากมาย……..”
หญิงสาวก็ไม่ได้ฟังคำพูดยกยอของพวกเธอทั้งสองคนอีกต่อไป เธอกำลังคิดถึงเชียนหนิง
เธอไม่รู้ว่าเชียนหนิงจะทำอย่างไร แต่เธอรู้ว่าเชียนหนิงจะต้องมาพาเธอหนีไปจากที่นี่แน่ เธอคิดจะหาทางขัดขวางไว้
ในไม่ช้างานเลี้ยงกลางคืนก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว คู่บ่าวสาวทั้งสองฝ่ายก็ต้องออกมาต้อนรับแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงาน
หญิงสาวยิ้มเล็กน้อยตรงมุมปาก อ่อนโยนน่าทะนุถนอม ควงแขนของเจ้าบ่าวเบาๆ เดิมตามจังหวะย่างก้าวของเจ้าบ่าวออกมา
เฉินเฟิงยืนอยู่มุมหนึ่งกำลังสังเกตดูนางเอกเพียงคนเดียวในงานเลี้ยงคืนนี้ อีกทั้งยังเป็นตัวเอกในนิยายสองเรื่องที่แตกต่างกันอีกด้วย
ช่างสวยงามจริงๆ ดวงตาก็สวยงามมาก ผู้คนมักพูดว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ แต่ว่าในใจกำลังคิดอะไรอยู่นั้น ก็ย่อมเห็นได้จากดวงตาคู่นั้นบ้าง
ผู้คนที่อยู่ในงานเลี้ยงส่วนใหญ่จะคิดว่าที่นั่นเต็มไปด้วยความสุขสำราญ แต่ว่าเฉินเฟิงมองเห็นความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวแล้ว
“เป็นยังไงบ้างล่ะ เธอเห็นด้วยหรือเปล่า?”
เชียนหนิงเข้าใกล้ตรงหน้าเฉินเฟิง เฉินเฟิงจึงรีบถามขึ้น
“เธอยังไม่ได้ตอบตกลง ยังไงก็แล้วแต่ฉันก็ต้องพาเธอหนีไปให้ได้” คำพูดของเชียนหนิงยังคงยืนหยัดเช่นนั้น
เฉินเฟิงตกตะลึง แต่ก็ตั้งสติกลับคืนมาได้อย่างเร็ว เขาพูดด้วยเสียงต่ำว่า “แกจะบ้าเหรอ ฉันบอกแกแล้วไง ถ้าเธอไม่เห็นด้วย เรื่องนี้ก็ไม่สามารถจะทำต่อไปอีกเด็ดขาด”
แต่ว่ารู้สึกเชียนหนิงไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น “ต่อให้แกไม่ยอมช่วย ฉันก็จะทำต่อไป ฉันบอกกับเธอแล้ว ฉันจะต้องพาเธอหนีไปให้ได้”
เฉินเฟิงรู้สึกปวดหัวมาก อาจจะตั้งแต่แรกเขาก็ไม่ควรเลือกที่จะช่วยเหลือเขาแล้ว เครื่องดื่มในมือก็รู้สึกไร้รสชาติไปหมด ดูเหมือนว่าก็คงต้องรอดูไปทีละก้าวแล้วค่อยว่ากัน
หนุ่มสาวคู่นี้ค่อยๆเดินเข้ามา เป็นที่สะดุดตาที่สุดในงานนี้ อีกทั้งพวกเขาก็เป็นจุดเด่นที่สายตาของทุกคนในงานเลี้ยงต่างก็จ้องจับตามองอีกด้วย
เมื่อเดินมาถึงเวที พิธีกรกำลังดำเนินรายการงานเลี้ยงคืนนี้ ดูไปแล้วทุกอย่างก็น่าจะราบรื่นดี ทุกคนต่างก็สุขสันต์หรรษากันไปทั่วหน้า
เด็กๆต่างก็ส่งเสียงร้องด้วยความยินดี พวกผู้ใหญ่ต่างก็นั่งคุยกัน พวกผู้หญิงก็นินทาเรื่องชาวบ้าน หรือไม่ก็คุยเรื่องแฟชั่น พวกผู้ชายต่างก็คุยเรื่องธุรกิจหรือไม่ก็เรื่องผู้หญิง บางครั้งก็คุยทักทายคู่บ่าวสาว เพื่อพูดคำอวยพรให้พวกเขา
ดูไปแล้วพวกเขาสองคนก็เหมาะสมกันดี ก็เป็นอย่างที่เชียนสวนยี่พูดไว้ ชายเก่งหญิงงาม สมกันราวกับกิ่งทองใบหยก
กาลเวลามักจะยุติธรรมกับทุกคนเสมอ ไม่ว่าจะเป็นความสุขสำราญ หรือว่าความเจ็บปวดที่ต้องอดทน หรือว่าจะเป็นความทุกข์ระทมที่ถูกบีบบังคับก็ตาม งานเลี้ยงคืนนี้ก็ใกล้จะจบสิ้นลงแล้ว
เฉินเฟิงเดินไปใกล้ตัวเชียนหนิง “เวลางานเลิกจะวุ่นวายมาก ถ้าเธอยอมตกลง ก็พาเธอเข้าไปอยู่ในรถเข็นกับข้าว ฉันจะช่วยแกสร้างเรื่องให้มันวุ่นวายขึ้น ส่วนจะพาเธอหนีออกไปได้หรือไม่นั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวแกเองแล้วแหละ”
เฉินเฟิงพูดจบ ก็ไม่สนใจเชียนหนิงอีก สิ่งที่เขาสามารถทำได้ก็มีเพียงเท่านี้ เรื่องราวนอกเหนือจากนี้มันก็เป็นหน้าที่ของเชียนหนิงแล้ว
หลี่ชื่อจือดูเหมือนว่าจะจับตาดูเฉินเฟิงอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ตอนที่เฉินเฟิงใกล้ชิดกับเชียนหนิง เขาก็ยังจ้องมองอย่างไม่ละสายตา
แต่ว่าเมื่อเฉินเฟิงเดินเข้ามาใกล้ตัวเขานั้น เขาก็รู้สึกแปลกใจ
ในมือก็ยังจับไม้เท้าวางไว้อยู่ที่นั่น เขาก็กำลังรอคอยเฉินเฟิงเดินเข้ามา
“คุณท่านครับ ผมรู้สึกว่าระหว่างพวกเราสองคนมีเรื่องที่ต้องสะสางกันแล้วล่ะ” เฉินเฟิงเดินเข้าไปใกล้เขา แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
หลี่ชื่อจือกลับฉงนตกใจ เขาถามด้วยความสงสัยว่า “คุณหมายความว่าอย่างไร?”
“ที่จริงก็ไม่ได้หมายความว่าอะไรหรอก ฉันรู้สึกว่าคุณคงไม่ยอมปล่อยฉันไปแน่ๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ผมก็คงจะต้องจัดการคุณก่อนจะดีกว่า เพื่อที่ว่าผมจะได้ไม่ต้องคอยหวาดผวาอยู่ทุกวัน”
หลี่ชื่อจือถึงแม้ว่าจะรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ยังคงสงบเยือกเย็น พูดว่า “ที่นี่มันบ้านตระกูลเชียนเชียวนะ คุณกล้าจะลงมือกับฉันที่นี่เลยเหรอ?”
เชียนหนิงเดินเข้าไปข้างหน้าก้าวเดียว ส่วนหญิงสาวกลับตะโกนว่า “คุณอย่าเข้ามานะ”
ตัวเธอก็รีบเดินถอยหลังไปไม่เพียงแค่ก้าวเดียว
เชียนหนิงจึงต้องหยุดลง แล้วเขาก็ถามว่า “ถ้าคุณไปกับฉัน ทุกอย่างก็จะอิสระแล้ว หรือว่าคุณไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นเหรอ? ไปอยู่ที่ที่ไม่มีคนจะทำให้คุณร้องไห้ได้อีก ไปที่ที่คุณคิดอยากจะทำอะไรก็ได้ตามที่ใจอยากจะทำ”
ใบหน้าที่บอปบางของหญิงสาวก็สั่นระรัว แผ่วเบามาก แต่ก็ดูออกว่าในใจเธอกำลังว้าวุ่น
ดวงตาคู่นั้นสวยงามมาก ขนตางอนยาวนั้นกำลังกะพริบอย่างแผ่วเบา น้ำตาที่รินไหลออกมาทำให้เครื่องสำอางบนใบหน้าเริ่มหลุดลอกออกมา
แต่ว่าสวยงามเช่นนี้ กลับแลดูหดหู่เศร้าหมอง ไม่รู้เป็นเพราะเชียนหนิงที่อยู่ตรงหน้า หรือว่าเพราะอะไรกันแน่
“คุณไปเถอะ พวกเราจะอยู่กันด้วยดี คุณเชื่อฉันเถอะ” เธอดูเหมือนไม่ค่อยหวาดกลัวเช่นนั้นแล้ว อย่างน้อยก็ไม่เหมือนเมื่อครู่ที่ตกใจจนต้องถอยหลังออกไปไกล
“ฉันไม่เชื่อหรอก ฉันรู้แต่ว่าคุณไม่เคยมีความสุขเลย ถ้าคุณยังเป็นอย่างนี้อีกต่อไป คุณก็จะไม่มีวันที่จะมีความสุขตลอดไป”
แต่เชียนหนิงก็เป็นคนที่ดื้อรั้นเหมือนกัน เขาพูดอย่างยืนหยัด
เขาพูดพลาง ก็เดินก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง แต่ว่าหญิงสาวยังยืนอยู่ตรงนั้นเช่นเดิม
“หรือว่าคุณไปรู้อะไรมาเหรอ?” หญิงสาวถาม
เชียนหนิงพูด “อึม ฉันก็รู้มาตั้งนานแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคน ในความทรงจำของฉันความหลังที่เลือนรางพวกนั้น ฉันก็นึกขึ้นมาได้หมดแล้ว ฉันเกลียดตัวเองมากเลยที่ถึงกับลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปได้”
“คุณไม่ควรจะนึกมันขึ้นมาได้อีก เพราะว่ามันไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับคุณเลย คุณเกิดในบ้านตระกูลเชียน เติบโตอยู่ในบ้านตระกูลเชียน ตระกูลเชียนถึงจะเป็นเสาหลักให้คุณได้ ฉันไม่ใช่ ฉันเป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น คนธรรมดาที่ไม่รู้ว่าจะธรรมดายังไงอีกแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับคุณด้วย คุณควรจะปล่อยฉันไปนะ”
หญิงสาวควบคุมอารมณ์ของตัวเองไว้ พูดคำพูดที่เธอรู้สึกมีสติยั้งคิดที่ดี เพราะว่าเธอรู้ว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเชียนหนิงแล้ว สำหรับตัวเธอเองก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดเช่นกัน
แต่ว่าเชียนหนิงตะโกนร้องว่า “ทำไมคุณจะต้องเลือกทางเดินให้ฉันด้วย นั่นมันเป็นทางเดินชีวิตของฉันเอง ฉันสามารถเลือกเองได้”
เขาแทบจะอยากบุกเข้าไปกอดหญิงสาวไว้ แต่ก็กลัวว่าหญิงสาวจะตกใจตื่นกลัว
อารมณ์ความรู้สึกของหญิงสาวกำลังพังทลาย เธอพูดว่า “เป็นเพราะว่าฉันรักคุณ ฉันไม่อยากให้คุณมีชีวิตอยู่ในความทุกข์ยาก…….”
“ไม่ ฉันไม่ต้องการ ถ้าหากให้ฉันทิ้งคุณไปเพื่อไปเลือกชีวิตที่แสนสุขสบายเช่นนี้ ฉันยอมที่จะไม่เอาอะไรเลยดีกว่า”
เชียนหนิงพูดตัดตอนคำพูดของหญิงสาวคนนั้น
“ทำไมคุณถึงต้องทำอย่างนี้…….”
หญิงสาวยกชายกระโปรงที่โป่งพองขึ้นแล้วนั่งลงไป ดูเหมือนเธอกำลังร้องไห้อยู่ แต่ก็ไม่อยากให้เชียนหนิงได้เห็นขณะที่ตัวเองกำลังร้องไห้ จึงทำท่าเช่นนี้เพื่อกลบเกลื่อนไว้
เมื่อเชียนหนิงได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินมา เขาจึงไม่ได้สนใจท่าทีของหญิงสาว ได้แต่รีบพูดอย่างรวดเร็วว่า
“ฉันจะต้องพาคุณออกไปให้ได้ รอให้งานเลี้ยงเลิกก่อน ฉันก็จะพาคุณหนีไป”
พูดจบ เขาก็หันหลังจากไป ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้ข้างหลัง
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมาอีกที ก็ไม่เห็นเงาร่างของเชียนหนิงแล้ว แต่ว่าดวงตาที่เพิ่งจะบรรจงแต่งอย่างงดงามคู่นั้นกลับเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปหมดแล้ว
เด็กสาวทั้งสองคนที่เพิ่งเดินออกไปเมื่อครู่ ดูเหมือนว่าต้องการเข้ามาแต่งเติมรายละเอียดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นใบหน้าของหญิงสาวที่เลอะเทอะเช่นนั้น ทั้งสองคนก็ตกใจพูดว่า “คุณหนู ท่านไปทำอะไรมา หน้าเลอะหมดแล้ว”
หญิงสาวลุกขึ้นยืน รวบรวมสติอารมณ์ เคยใช้ชีวิตที่นี่มาหลายปีทำให้เธอรู้จัดเก็บความรู้สึกไว้ได้อย่างง่ายดาย เวลาที่พูดกับพวกเธอ ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม แล้วพูดว่า “เพียงแต่รู้สึกดีใจเกินไปหน่อยจนน้ำตาไหลออกมา”
“ใช่สิคะ เจ้าบ่าวของคุณหนูเป็นถึงคุณชายของตระกูลอู๋ ไม่เพียงแต่รูปหล่อเท่สมาร์ต อีกทั้งยังมีเสน่ห์และยังมีความสามารถอีกมากมาย……..”
หญิงสาวก็ไม่ได้ฟังคำพูดยกยอของพวกเธอทั้งสองคนอีกต่อไป เธอกำลังคิดถึงเชียนหนิง
เธอไม่รู้ว่าเชียนหนิงจะทำอย่างไร แต่เธอรู้ว่าเชียนหนิงจะต้องมาพาเธอหนีไปจากที่นี่แน่ เธอคิดจะหาทางขัดขวางไว้
ในไม่ช้างานเลี้ยงกลางคืนก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว คู่บ่าวสาวทั้งสองฝ่ายก็ต้องออกมาต้อนรับแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงาน
หญิงสาวยิ้มเล็กน้อยตรงมุมปาก อ่อนโยนน่าทะนุถนอม ควงแขนของเจ้าบ่าวเบาๆ เดิมตามจังหวะย่างก้าวของเจ้าบ่าวออกมา
เฉินเฟิงยืนอยู่มุมหนึ่งกำลังสังเกตดูนางเอกเพียงคนเดียวในงานเลี้ยงคืนนี้ อีกทั้งยังเป็นตัวเอกในนิยายสองเรื่องที่แตกต่างกันอีกด้วย
ช่างสวยงามจริงๆ ดวงตาก็สวยงามมาก ผู้คนมักพูดว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ แต่ว่าในใจกำลังคิดอะไรอยู่นั้น ก็ย่อมเห็นได้จากดวงตาคู่นั้นบ้าง
ผู้คนที่อยู่ในงานเลี้ยงส่วนใหญ่จะคิดว่าที่นั่นเต็มไปด้วยความสุขสำราญ แต่ว่าเฉินเฟิงมองเห็นความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวแล้ว
“เป็นยังไงบ้างล่ะ เธอเห็นด้วยหรือเปล่า?”
เชียนหนิงเข้าใกล้ตรงหน้าเฉินเฟิง เฉินเฟิงจึงรีบถามขึ้น
“เธอยังไม่ได้ตอบตกลง ยังไงก็แล้วแต่ฉันก็ต้องพาเธอหนีไปให้ได้” คำพูดของเชียนหนิงยังคงยืนหยัดเช่นนั้น
เฉินเฟิงตกตะลึง แต่ก็ตั้งสติกลับคืนมาได้อย่างเร็ว เขาพูดด้วยเสียงต่ำว่า “แกจะบ้าเหรอ ฉันบอกแกแล้วไง ถ้าเธอไม่เห็นด้วย เรื่องนี้ก็ไม่สามารถจะทำต่อไปอีกเด็ดขาด”
แต่ว่ารู้สึกเชียนหนิงไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น “ต่อให้แกไม่ยอมช่วย ฉันก็จะทำต่อไป ฉันบอกกับเธอแล้ว ฉันจะต้องพาเธอหนีไปให้ได้”
เฉินเฟิงรู้สึกปวดหัวมาก อาจจะตั้งแต่แรกเขาก็ไม่ควรเลือกที่จะช่วยเหลือเขาแล้ว เครื่องดื่มในมือก็รู้สึกไร้รสชาติไปหมด ดูเหมือนว่าก็คงต้องรอดูไปทีละก้าวแล้วค่อยว่ากัน
หนุ่มสาวคู่นี้ค่อยๆเดินเข้ามา เป็นที่สะดุดตาที่สุดในงานนี้ อีกทั้งพวกเขาก็เป็นจุดเด่นที่สายตาของทุกคนในงานเลี้ยงต่างก็จ้องจับตามองอีกด้วย
เมื่อเดินมาถึงเวที พิธีกรกำลังดำเนินรายการงานเลี้ยงคืนนี้ ดูไปแล้วทุกอย่างก็น่าจะราบรื่นดี ทุกคนต่างก็สุขสันต์หรรษากันไปทั่วหน้า
เด็กๆต่างก็ส่งเสียงร้องด้วยความยินดี พวกผู้ใหญ่ต่างก็นั่งคุยกัน พวกผู้หญิงก็นินทาเรื่องชาวบ้าน หรือไม่ก็คุยเรื่องแฟชั่น พวกผู้ชายต่างก็คุยเรื่องธุรกิจหรือไม่ก็เรื่องผู้หญิง บางครั้งก็คุยทักทายคู่บ่าวสาว เพื่อพูดคำอวยพรให้พวกเขา
ดูไปแล้วพวกเขาสองคนก็เหมาะสมกันดี ก็เป็นอย่างที่เชียนสวนยี่พูดไว้ ชายเก่งหญิงงาม สมกันราวกับกิ่งทองใบหยก
กาลเวลามักจะยุติธรรมกับทุกคนเสมอ ไม่ว่าจะเป็นความสุขสำราญ หรือว่าความเจ็บปวดที่ต้องอดทน หรือว่าจะเป็นความทุกข์ระทมที่ถูกบีบบังคับก็ตาม งานเลี้ยงคืนนี้ก็ใกล้จะจบสิ้นลงแล้ว
เฉินเฟิงเดินไปใกล้ตัวเชียนหนิง “เวลางานเลิกจะวุ่นวายมาก ถ้าเธอยอมตกลง ก็พาเธอเข้าไปอยู่ในรถเข็นกับข้าว ฉันจะช่วยแกสร้างเรื่องให้มันวุ่นวายขึ้น ส่วนจะพาเธอหนีออกไปได้หรือไม่นั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวแกเองแล้วแหละ”
เฉินเฟิงพูดจบ ก็ไม่สนใจเชียนหนิงอีก สิ่งที่เขาสามารถทำได้ก็มีเพียงเท่านี้ เรื่องราวนอกเหนือจากนี้มันก็เป็นหน้าที่ของเชียนหนิงแล้ว
หลี่ชื่อจือดูเหมือนว่าจะจับตาดูเฉินเฟิงอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ตอนที่เฉินเฟิงใกล้ชิดกับเชียนหนิง เขาก็ยังจ้องมองอย่างไม่ละสายตา
แต่ว่าเมื่อเฉินเฟิงเดินเข้ามาใกล้ตัวเขานั้น เขาก็รู้สึกแปลกใจ
ในมือก็ยังจับไม้เท้าวางไว้อยู่ที่นั่น เขาก็กำลังรอคอยเฉินเฟิงเดินเข้ามา
“คุณท่านครับ ผมรู้สึกว่าระหว่างพวกเราสองคนมีเรื่องที่ต้องสะสางกันแล้วล่ะ” เฉินเฟิงเดินเข้าไปใกล้เขา แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
หลี่ชื่อจือกลับฉงนตกใจ เขาถามด้วยความสงสัยว่า “คุณหมายความว่าอย่างไร?”
“ที่จริงก็ไม่ได้หมายความว่าอะไรหรอก ฉันรู้สึกว่าคุณคงไม่ยอมปล่อยฉันไปแน่ๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ผมก็คงจะต้องจัดการคุณก่อนจะดีกว่า เพื่อที่ว่าผมจะได้ไม่ต้องคอยหวาดผวาอยู่ทุกวัน”
หลี่ชื่อจือถึงแม้ว่าจะรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ยังคงสงบเยือกเย็น พูดว่า “ที่นี่มันบ้านตระกูลเชียนเชียวนะ คุณกล้าจะลงมือกับฉันที่นี่เลยเหรอ?”