ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1003 ไม่ใช่เจ้า แล้วเป็นผู้ใด
ตอนที่ 1003 ไม่ใช่เจ้า แล้วเป็นผู้ใด
เมื่อคำพูดนี้เอ่ยออกมา ภายในลานก็เงียบสงัดยิ่งกว่าเดิม
คนจำนวนมากเองก็รู้สึกว่าก่อนหน้านี้เองก็มีสิ่งที่ไม่ชอบมาพากลตั้งแต่ต้นแล้ว
หลังจวินจิ่วชิงออกคำสั่งให้ทุกคนออกมาจากหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวง คนจากราชวงศ์ใหญ่ต่างพากันทยอยออกมา ทว่ากระทั่งค่ายกลปิดลงแล้ว คนของราชวงศ์ไท่อวี่กลับมิได้ปรากฏตัว
จากห้าคน สักหนึ่งคนก็ไม่ปรากฏมาให้เห็น
ในตอนนั้นเอง ทุกคนล้วนคาดเดากันได้ว่าอาจเกิดเรื่องขึ้นกับคนของราชวงศ์ไท่อวี่แล้ว
ยามนี้เมื่อได้ยินคำถามของเขาก็มั่นใจได้แล้วว่า พวกเขาทั้งห้าคนล้วนพ่ายแพ้ยับเยินไปแล้วเป็นแน่แท้!
ครั้งนี้ ผู้ที่สามารถติดสอยห้อยตามถานไถเฉินมาที่แห่งนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคุณสมบัติที่จะเข้าไปในหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงได้ ล้วนแล้วแต่เป็นอัจฉริยะที่ยอดเยี่ยมที่สุดของราชวงศ์ไท่อวี่
สูญเสียไปหนึ่ง ก็เพียงพอให้ผู้คนรำพึงรำพันอย่างเสียดายแล้ว
แต่นี่หายไปห้าเชียวนะ?
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าภายในกลุ่มคนเหล่านี้ ยังมีไข่มุกเม็ดงามบนฝ่ามือของถานไถเฉิน…ถานไถรั่วหลี!
“มิแปลกใจแล้วว่า เหตุใดก่อนหน้านี้ท่าทางถานไถเฉินดูผิดปกตินัก ที่แท้ก็เพราะเกิดเรื่องนี้ขึ้นมานี่เอง… ถ้าเป็นแบบนี้ แสดงว่าตอนนั้นเองเขาก็พอจับจุดอันใดได้บ้างแล้วล่ะสิ?”
“ช่างน่ากลัวจริงๆ! คนทั้งห้าล้วนตายไปหมดแล้วนี่เอง…”
“แต่ว่าในหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงคนเยอะถึงเพียงนั้น เขาจะสรุปได้อย่างใดว่าเรื่องนี้ซั่งกวนเยว่เป็นคนทำ?”
“ในเมื่อเขามั่นใจขนาดนี้ คงต้องมีหลักฐานแล้วกระมัง? มิเช่นนั้นจะออกมาป่าวประกาศต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้หรือ? หากเรื่องนี้ซั่งกวนเยว่เป็นคนทำจริง เช่นนั้น… วันนี้ก็มีเรื่องน่าสนุกให้ดูแล้ว!”
คนบางกลุ่มเอ่ยความเห็นออกมาเสียงเบาอย่างประหลาดใจและยากจะคาดเดา ต่างความคิดต่างมุมมอง
…
ฉู่หลิวเยว่นิ่งงันไปครู่หนึ่ง ราวกับรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง
“ผู้อาวุโสถานไถ คำพูดนี้ท่านไปเอามาจากไหน? เหตุใดตัวข้าเองจึงไม่รู้เล่าว่าข้าสังหารคนของราชวงศ์ไท่อวี่ตั้งแต่เมื่อไร?”
พูดไปพลาง นางก็มองรอบด้านไปพลาง ราวกับกำลังหาตำแหน่งของกลุ่มคนเหล่านั้น
“ก่อนหน้านี้มิใช่ว่าทุกคนออกมากันหมดแล้วหรือ เหตุใดพวกเขาจึงไม่อยู่กันเล่า?”
“นังเด็กจอมเสแสร้ง!”
ถานไถเฉินโกรธเสียจนหัวเราะใส่
“ใช่เจ้าทำหรือไม่ เจ้าเองก็รู้อยู่แก่ใจ! เจ้าฝ่าฝืนค่ายกลของหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงให้เปิดออก หลังเข้าไปได้ไม่นาน พวกเขาก็ถึงแก่ความตาย! หากมิใช่เจ้า เหตุใดจึงบังเอิญได้ถึงเพียงนี้!?”
“อ้อ? ท่านหมายถึงเรื่องนี้เองหรือ…”
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง มุมปากค่อยๆ ยกขึ้นมาเป็นรอยยิ้มบางแสนเย็นเยียบ เอ่ยเน้นทีละคำว่า
“นั่นก็เพราะว่า หลังจากข้าเข้าไปแล้ว ก็ปะเข้ากับพวกเขาที่กำลังไล่ฆ่าคนจากราชวงศ์เทียนลิ่งของข้าพอดีน่ะซี”
สีหน้าของถานไถเฉินพลันแข็งค้าง!
“พอรู้ว่าพวกเขาต้องเข้าไปเจอกับวิกฤตความเป็นความตาย ในใจข้ากังวลอย่างมาก จึงเลือกที่จะผ่าค่ายกลแล้วบุกฝ่าเข้าไป หลังรีบร้อนไล่ตามสักพัก ก็เห็นกลุ่มหงอวี่สามคนถูกพวกของถานไถรั่วหลีห้าคนล้อมไว้พอดี หากมิใช่ว่าข้าไปถึงทันเวลาแล้วล่ะก็ ตอนนั้นพวกนางสามคนคงตายอยู่ตรงนั้นแล้ว”
“แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่ากลุ่มของหงอวี่ไปทำอันใดผิดต่อพวกเขานักหนา ถึงทำให้พวกเขาต้องรีบมาตามไล่ฆ่าให้หมด? ทุกคนที่เข้าไปในหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวง เดิมทีก็เพื่อรีบไปให้ทันวันสามหยวนรวมยอด ทว่าต้องการไล่ฆ่าผู้อื่นอย่างรีบเร่งและโจ่งแจ้งเช่นนี้… ช่างน่าแปลกโดยแท้ ผู้อาวุโสถานไถ ท่านคิดว่าอย่างใดเล่า?”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยอย่างมิรีบร้อน ทว่าทุกคำเป็นดั่งตะปูเหล็กที่ตอกให้ถานไถเฉินยืนเกร็งอยู่กับที่! ขยับตัวไม่ได้แม้แต่น้อย!
แววตาของเขาพยายามหลบเลี่ยงไปมา ก่อนจะตวาดออกมาด้วยความโกรธจัดว่า
“ผู้ใดจะรู้ว่าเกิดอันใดขึ้น! พวกรั่วหลีแต่ไหนแต่ไรมาก็ใจดีกับผู้อื่นเสมอ ย่อมไม่ทำเรื่องแบบนี้อย่างแน่นอน! หรือต่อให้ทำจริงก็ต้องเป็นคนของพวกเจ้าที่เริ่มก่อน! มิเช่นนั้นอยู่ดีๆ พวกเขาจะไปอยากฆ่าคนราชวงศ์เทียนลิ่งอย่างพวกเจ้าเหตุใด!?”
“นั่นสิ! พวกข้าเทียนลิ่งประพฤติตัวดีอยู่ตลอด พวกหงอวี่รู้ดีว่าพลังของตนเทียบเคียงกับคนของราชวงศ์อื่นมิได้ ดังนั้นจึงคอยระวังอย่างรอบคอบ ซื่อสัตย์อยู่เสมอ คิดไปคิดมา ดูเหมือนจะมีแค่ข้าที่ก่อนหน้านี้เคยทำผิดต่อไท่อวี่…”
สีหน้าของถานไถเฉินแทบควบคุมอารมณ์ไว้ไม่อยู่ จากนั้นก็เอ่ยแทรกคำพูดของฉู่หลิวเยว่
“พวกนี้ก็เป็นคำพูดจากเจ้าฝั่งเดียว! ตอนนี้พวกรั่วหลีก็ตายไปหมดแล้ว เจ้าจะพูดอันใดก็ย่อมได้ทั้งนั้น! ต่อให้ข้าไม่มีหลักฐานที่ชัดแจ้ง แต่ในเมื่อเจ้ายอมรับว่าต่อสู้กับพวกเขาแล้ว ก็ดิ้นไปไหนไม่ได้แล้ว! เว้นแต่ว่าเจ้าจะมีหลักฐานที่ชัดเจนมาพิสูจน์ มิเช่นนั้นแล้ว…บัญชีนี้ย่อมต้องคิดลงบนหัวเจ้า!”
คิ้วของฉู่หลิวเยว่เลิกขึ้นเล็กน้อย เกือบจะหัวเราะออกเสียงออกมา
ถานไถเฉินไม่มีหลักฐานใด กลับมากล่าวหากันโดยตรงเช่นนี้ อีกทั้งยังให้นางไปหาหลักฐานมายืนยันความบริสุทธิ์ใจของตัวเอง มิฉะนั้นจะโยนทุกข้อกล่าวหามาที่นาง…
นี่มันตรรกะของพวกอันธพาลชัดๆ!
บนโลกนี้จะไปมีเหตุผลเช่นนี้ได้อย่างใด!?
“หลังจากพวกรั่วหลีสู้กับพวกข้าเสร็จก็จากไปอย่างรวดเร็ว สำหรับเรื่องต่อจากนั้นว่าพวกเขาไปที่ใด พวกข้าไม่รู้แล้ว ว่าตามตรงพวกข้าล้วนแล้วแต่ยุ่งกับการยกระดับฝีมือของตน ไม่มีเวลาว่างไปยุ่งกับคนที่ไม่ชอบตัวเองหรอก”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยอย่างราบเรียบ น้ำเสียงติดจะเยือกเย็นเล็กน้อย
“ท่านต้องการคำอธิบาย ข้าก็พูดแล้ว หากไม่เชื่ออีก พวกข้าก็จนปัญญาแล้ว แต่ถ้าหากท่านคิดว่าคำกล่าวหาที่มีเพียงลมปากสามารถตัดสินความผิดของพวกข้าได้ละก็ เช่นนั้น… อย่าหาว่าพวกข้ามิไว้ซึ่งไมตรี!”
นางมิได้อารมณ์ดีหรือมีความอดทนมากพอที่จะมานั่งต่อล้อต่อเถียงเรื่องไร้สาระกับพวกเขาอยู่ที่นี่!
…
ถานไถเฉินโกรธเสียจนพูดสิ่งใดมิออก
ตัวเขาอยากจะหยิบหลักฐานออกมาใจจะขาด แต่เขาทำไม่ได้และไม่กล้าทำด้วย
อักขระยันต์อันนั้น กว่าจะได้มันมาไม่ใช่เรื่องง่าย เขาแบ่งมันออกเป็นห้าส่วน แล้วแปะเอาไว้บนร่างของคนทั้งห้า
หนึ่งคือเพื่อให้พวกเขาสามารถหากันและกันเจอได้อย่างรวดเร็วหลังจากเข้าไปข้างในแล้ว สองคือเพื่อรับประกันความปลอดภัยของพวกเขา
ตอนที่พวกเขาสิ้นใจในท้ายที่สุดนั่นเอง อักขระยันต์อันนั้นย่อมมิได้กลับมาเชื่อมต่อกันอย่างสมบูรณ์
แต่เขากลับสัมผัสได้อย่างเลือนรางถึงลมปราณอันร้อนระอุสายหนึ่ง
ราวกับว่าถูกไฟอันใดสักอย่างเผาเข้า!
ในตอนแรกเขาทำได้แค่คาดเดา ทว่าเมื่อครู่ตอนที่เห็นซั่งกวนเยว่ใช้เปลวเพลิงสองสีนั่น ในใจของเขาก็แทบจะมั่นใจได้แล้วว่า…ย่อมต้องเป็นนาง!
เพียงแต่เสียดายว่าเวลากระชั้นชิดเกินไป เขาจึงไม่สามารถหาข้อมูลที่มีประโยชน์ได้มากนัก
ที่สำคัญที่สุดคือ พยานของหลักฐานชิ้นนี้นับว่าน่าอึดอัดใจนัก เขาไม่สามารถเปิดเผยต่อหน้าธารกำนัลได้!
มิเช่นนั้นละก็อาจทำให้เขาและทั้งราชวงศ์ไท่อวี่ต้องประสบกับปัญหาใหญ่ได้!
ในใจของถานไถเฉินราวกับถูกหินมีน้ำหนักมากก้อนหนึ่งกดทับไว้อยู่ พาให้รู้สึกทุกข์ใจมิหยุด!
…
ฉู่หลิวเยว่มองดูสีหน้าของถานไถเฉินอย่างละเอียด แล้วนำสีหน้าของเขามาผนวกรวมกับแววตา
ดูเหมือนว่า… ถานไถเฉินจะขี้ระแวงไม่น้อย
อีกทั้งสิ่งที่ทำให้ถานไถเฉินดูเป็นคนขี้ระแวงนั้น เห็นได้ชัดเลยว่าเป็นอักขระยันต์อันนั้นจากถ้ำปีศาจทมิฬ!
ขอเพียงแค่เขากล้าพูดขึ้นมา นางก็กล้าถามออกไปตรงนั้นตรงๆ!
แต่ชัดเจนว่าเขาไม่กล้า
ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่การตายของลูกสาวที่เขารักที่สุดจนใจของเขาเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและชิงชังถึงเพียงนั้น เขาก็ยังไม่กล้าเอ่ยถึงถ้ำปีศาจทมิฬเลยสักครึ่งคำ!
…
แต่ว่า ถานไถเฉินจะถอนคำพูดของตนไปได้อย่างใด?
เขามองไปโดยรอบคราหนึ่ง แล้วเอ่ยอธิบายด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ดี! ในเมื่อเจ้าบอกว่าหลังพวกเจ้าและพวกเขาสู้เสร็จก็แยกย้าย เช่นนั้นข้าถามหน่อย ในหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงหกวันให้หลัง มีผู้ใดเคยเจอคนของราชวงศ์ไท่อวี่บ้างหรือไม่?”
ผู้คนต่างมองกันไปกันมาด้วยความสับสนงุนงง
หลังจากเงียบกันไปชั่วครู่ใหญ่ ก็มีคนบางกลุ่มพึมพำเสียงเบา
“หกวันให้หลังหรือ… เหมือนว่าจะไม่เห็นนะ…”
“นั่นสิ! หลังจากนั้นข้ายังสงสัยอยู่เลย พวกเขาล้วนมิได้พากันไปยอดเขาของหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวง ตอนนี้มาคิดดู หรือว่าในตอนนั้นเกิดเรื่องขึ้นแล้ว?”
“ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้…”
ถานไถเฉินแค่นหัวเราะเย็นเยียบออกมาเสียงหนึ่ง
“ซั่งกวนเยว่ เจ้าได้ยินแล้วนี่? ชัดแล้วว่าพวกเจ้าทุกคนเป็นกลุ่มสุดท้ายที่เคยเจอพวกเขา! ไม่ใช่มือพวกเจ้าทำ แล้วจะเป็นผู้ใดได้!?”