ภรรยาคั่นเวลา ชุด Sweet temptations - ตอนที่ 20
นารีรัตน์ที่ถูกปิดตาและมัดแขนขาเอาไว้สะดุ้งตกใจ เมื่อได้ยินเสียงบานประตูเปิดและปิดลง หล่อนพยายามดิ้นรนเหมือนเช่นทุกวันที่เคยทำ แต่ก็ไม่เคยได้รับอิสรภาพเลยแม้แต่น้อย
ที่นอนข้างตัวยุบยวบ พร้อมๆ กับผ้าปิดปากของหล่อนที่ถูกกระชากออก
“แก… แกเป็นใคร ปล่อยฉันไปนะ”
ตั้งแต่วันนั้นที่หล่อนถูกลักพาตัวมาจากห้องแต่งตัวเจ้าสาว และถูกข่มเหงร่างกายทุกวันภายในสถานที่นี้ หล่อนก็ยังไม่มีโอกาสได้รู้เลยว่า ไอ้วายร้ายใจโฉดคนนี้เป็นใคร
ทุกครั้งที่มันเข้ามา มันก็จะไม่หลุดคำพูดใดออกจากปากเลยแม้แต่คำเดียว มันกระทำย่ำยีร่างกายของหล่อนอย่างเหี้ยมโหด ทำจนมันพอใจจึงจากไป
“ใครจ้างแกมา มันให้แกเท่าไหร่ ฉันจะจ่ายให้มากกว่ามันร้อยเท่า คนรักของฉันรวยมาก ฉันจ่ายให้แกได้มากกว่าจริงๆ นะ ปล่อยฉันไปนะ ได้โปรดปล่อยฉันไปเถอะ”
“หึหึ”
เป็นครั้งแรกที่หล่อนได้ยินเสียงจากผู้ชายที่จับตัวหล่อนมากระทำชำเรา ซึ่งมันคุ้นหูเป็นที่สุด แต่ยังไม่ทันจะขานชื่อของเจ้าของเสียงออกไป ผ้าที่ปิดตาของหล่อนอยู่ก็ถูกกระชากออก
“กฤติชัย!”
เจ้าของชื่อระบายยิ้มเหยียดหยัน มองนารีรัตน์ด้วยสายตาทั้งรักทั้งแค้น
“ตกใจหรือว่าดีใจล่ะ ที่รู้ว่าเป็นผม”
“คุณจับฉันมาทำไม ฉันจะแจ้งตำรวจ”
“ถึงผมจะรวยสู้เจ้าบ่าวของคุณไม่ได้ แต่ผมก็มีเงินนะนารี คุณคิดหรือว่าผมจะถูกจับง่ายๆ น่ะ”
“ไอ้…”
“บอกแล้วไงครับ ว่าคุณเป็นของผม ไม่ว่าคุณจะหนีผมไปแต่งงานกับใคร ก็ไม่มีทางสำเร็จ”
หล่อนเจอกฤติชัยในงานเลี้ยงเมื่อหลายปีก่อนที่ต่างประเทศตอนที่หล่อนไปเที่ยวกับเพื่อน ตอนนั้นหล่อนหว่านเสน่ห์จนกฤติชัยปรนเปรอให้หล่อนทุกอย่าง เขาลุ่มหลงหล่อนมาก แต่เพียงไม่นานหล่อนก็สลัดเขาทิ้งอย่างไม่ไยดี และบินกลับมาเมืองไทย ทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นที่ลอนดอนมาก่อน
“ฉันจะบอกคุณแซค คุณจะต้องถูกลากเข้าคุกแน่ ไอ้ผู้ชายเฮงซวย”
แทนที่กฤติชัยจะหวาดกลัว กลับหัวเราะเยาะเสียงดังลั่น และนั่นก็ยิ่งทำให้นารีรัตน์เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
“แกจะหัวเราะบ้าอะไรของแก ไอ้คนประสาท!”
กฤติชัยไม่ได้พูดอะไรออกมา นอกจากยื่นโทรศัพท์มือถือที่ตัวเองแอบถ่ายรูปของอลินดากับแซคคารีย์เอาไว้ เมื่อครั้งที่ไปดินเนอร์ด้วยกันที่ร้านอาหาร ให้กับนารีรัตน์ดู
“น้องสาวของคุณเหมาะสมกับคุณแซคมาก ว่าไหมครับนารี”
นารีรัตน์เบิกตากว้างอย่างตกใจ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นความไม่พอใจ
“อีน้องระยำ”
“คุณไม่มีสิทธิ์ไปต่อว่าน้องสาวแสนดีของตัวเอง นารี”
“ทำไมฉันจะด่ามันไม่ได้ ในเมื่อมันคิดจะชุบมือเปิบแย่งคุณแซคไปจากฉัน”
กฤติชัยหัวเราะเยาะ
“ผู้หญิงเลวๆ สำส่อนไม่เลือกหน้าอย่างคุณไม่ควรคู่กับผู้ชายเพอร์เฟ็กอย่างคุณแซคคารีย์หรอกครับ คุณต้องเจอผู้ชายร้ายๆ แบบผมถึงจะเหมาะสม”
“ไอ้บ้า! ใครอยากจะคู่ควรกับแก นี่ปล่อยฉันออกไปนะ ไม่อย่างนั้นฉันแหกปากให้ลั่นเชียว”
“ที่นี่บ้านของผม และก็มีแต่คนของผมทั้งนั้น ถ้าอยากจะบริหารเสียงคุณทำได้ แต่หากต้องการจะร้องให้คนมาช่วย เสียเวลาเปล่าน่ะ เพราะคุณจะต้องอยู่ที่นี่ไปกับผมชั่วชีวิต”
นารีรัตน์หน้าตาซีดเผือด และพยายามหาทางรอด “ไม่นะ อย่ามากักขังฉันแบบนี้นะ”
“คุณเป็นเมียของผม”
“ฉันก็เป็นเมียผู้ชายมานับไม่ถ้วนแล้วนั่นแหละ แกอย่ามายุ่งกับผู้หญิงสำส่อนอย่างฉันเลย นู้น… นังลินดานู้น มันไม่เคยเที่ยวกลางคืน ไม่เคยมีแฟนมาก่อนด้วย แกควรจะไปจับตัวมันมาปู้ยี่ปู้ยำแทนฉันไม่ดีกว่าเหรอ”
กฤติชัยมองหน้านารีรัตน์อย่างรังเกียจ แต่ในความรังเกียจก็มีความรักร้อนแรงซ่อนอยู่เต็มแน่น
“แค่เอาชื่อน้องสาวไปทำให้ป่นปี้เสียหายยังไม่พอใจอีกเหรอ นารี นี่ยังจะยุให้ผมไปฉุดน้องสาวของตัวเองมาย่ำยีอีก ผมว่าตัวเองเลวแล้วนะ แต่คุณกลับเลวร้ายกว่าผมเสียอีก”
“ก็ฉัน… อยากให้แกได้ผู้หญิงดีๆ มาเป็นเมียนี่ เชื่อฉันเถอะ ไปจับนังลินดามา มันก็หน้าตาเหมือนฉันนี่แหละ”
“แต่ยังไงก็ไม่ใช่คุณอยู่ดี ผมชอบผู้หญิงชั่วๆ อยู่ใกล้แล้วเลือดลมมันเดินดี”
“ไอ้บ้า นี่แกโง่หรือไงเนี่ย” นารีรัตน์กรีดร้องอย่างโมโห ทนทางหนีไปจากที่นี่มืดมิดลงทันที
“ผมอาจจะโง่ที่ตัดใจจากผู้หญิงเลวๆ อย่างคุณไม่ได้ แต่ผมก็ไม่ได้เลวจนถึงขั้นที่จะไปทำร้ายผู้หญิงดีๆ คนอื่นได้”
นารีรัตน์มองหน้ากฤติชัยอย่างเกลียดชัง ความขยะแขยงจากดวงตาของหล่อนทำให้คนถูกมองเคียดแค้น กฤติชัยผลักร่างของนารีรัตน์ให้ล้มลงกับพื้น แก้เชือกที่มัดแขนมัดขาของหล่อนออก ก่อนจะข่มเหงหญิงสาวจนสาแก่ใจ
นารีรัตน์เต็มไปด้วยความคลั่งแค้น หล่อนนอนนิ่งให้กฤติชัยย่ำยีราวกับท่อนไม้ น้ำตาไหลรินออกมาอาบแก้ม และก็พยายามที่จะหาทางหนีไปจากที่นี่ตลอดเวลา
หลังถูกบังคับให้กลับมาที่นี่อีกครั้ง อลินดาก็หนีแซคคารีย์ขึ้นไปหมกตัวอยู่ในห้องหนังสือ และแม้แต่เวลาอาหารเย็น หล่อนก็เลือกที่จะไปกินในครัวกับคนใช้ ไม่ยอมไปร่วมโต๊ะกับเขา ความเสียใจ ความน้อยใจ ทำให้หล่อนไม่อยากจะใส่ใจอีกว่าแซคคารีย์รู้สึกยังไง จะโกรธ จะโมโห ก็ช่างเขาเถอะ เพราะแค่นี้มันยังไม่สาสมกับความป่าเถื่อนที่เขากระทำกับหล่อนเมื่อคืนเลย
หญิงสาวดันประตูห้องนอนให้เปิดออก และก็รีบแทรกตัวเข้าไปภายในห้อง ก่อนจะเป่าลมออกจากปากด้วยความโล่งอก เมื่อไม่เห็นแซคคารีย์ในห้องนอน
หล่อนรีบคว้าหมอนใบใหญ่ของตัวเอง และเดินหนีเข้าไปในห้องน้ำ กดล็อกประตูอย่างแน่นหนา และก็ขังตัวเองอยู่ภายในนั้นเหมือนค่ำคืนก่อนหน้า
แซคคารีย์ที่เพิ่งจะคุยโทรศัพท์กับนักสืบเอกชนที่ตัวเองจ้างให้ตามหานารีรัตน์อีกทางเสร็จก็เดินเข้ามาในห้องนอน มือใหญ่เอื้อมไปกดสวิตซ์ไฟจนห้องสว่างขึ้น สายตาคมกริบกวาดมองไปรอบๆ ห้อง แต่ก็ไม่พบแม้แต่เงาของอลินดา
“หรือว่ายังไม่ขึ้นมา”
เขาคิดแบบนั้นได้เพียงแค่วูบเดียวเท่านั้น เมื่อสายตามองไปเห็นว่าหมอนหายไปจากเตียงนอนหนึ่งใบ สายตาคมกริบจ้องไปที่บานประตูห้องน้ำทันที
วินาทีแรกแซคคารีย์ตั้งใจจะเดินเข้าไปเคาะประตูห้องน้ำและเรียกหล่อน แต่พอใช้สติคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วก็รู้ว่าทำแบบนั้นไม่ได้ผลหรอก เพราะ อลินดากำลังโกรธเขาอยู่ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดก็คือต้องเปิดเข้าไปโดยไม่ให้หล่อนตั้งตัว
แซคคารีย์เดินออกไปจากห้องนอนไปไม่นานก็กลับมาพร้อมกับลูกกุญแจในมือ เขาก้าวมาหยุดที่หน้าประตูห้องน้ำ ก่อนจะไขประตูที่ล็อกเอาไว้ และดึงมันออก
คนตัวเล็กนั่งกอดหมอนร้องไห้อยู่กับพื้นห้องน้ำ และหันมามองเขาที่ยืนอยู่ปากประตูด้วยความตื่นตกใจในวินาทีแรก แต่พอเจ้าหล่อนมีสติก็มองเขาอย่างขุ่นเคืองทันที
“ตอนนี้เป็นเวลาพักผ่อนของฉันค่ะ”
คนตัวโตเอียงคอมองหญิงสาวเล็กน้อย ก่อนจะโน้มตัวลงกระชากร่างอรชรให้ลุกขึ้นยืนเผชิญหน้า
“ปล่อยนะคะ”
“ไปนอนด้วยกันบนเตียง”
คนฟังคอแข็ง ความน้อยใจระเบิดไม่ยั้ง “ฉันไม่อยากทำให้เตียงของคุณแซคเปื้อนค่ะ”
“อย่าดื้อได้ไหม” น้ำเสียงของแซคคารีย์เต็มไปด้วยความอ่อนอกอ่อนใจอย่างเห็นได้ชัด แต่หล่อนไม่สนใจหรอก
“ฉันไม่ได้ดื้อค่ะ แต่กำลังทำในสิ่งที่คุณแซคต้องการมาตลอด ปล่อยค่ะ”
เขาไม่ยอมปล่อย และถอนใจออกมาอย่างหมดความอดทน “ถ้าไม่ออกไปนอนบนเตียงด้วยกันดีๆ ฉันจะอุ้มไปนะ อลินดา”
“อย่านะคะ”