ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 417 หวังว่าจะมีเพียงท่าน
“ช่วงที่เพิ่งแต่งงานกันนั้น ข้ากลับรู้สึกว่า รอบตัวราวกลับมีอะไรบางอย่างที่พูดได้โผล่ขึ้นมา เสมือนกลับสัตว์เลี้ยงของข้า ต่อมาข้ากลับรู้สึกว่า นั่นมิใช่สัตว์เลี้ยง หากแต่เป็นสตรีที่พร้อมจะอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่ข้าไปตลอด ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นเขาลงห้วย นางจักติดตามข้าไปทุกที่ แต่เดิมข้าเป็นคนที่เคยชินกับการอยู่คนเดียวมาโดยตลอด ทว่าหวังจิ้นฮวนบอกว่า หากเมื่อข้าเริ่มชอบใครสักคนแล้ว ข้าจะชอบอยู่แต่กลับนางตลอดเวลา ทว่าข้ากลับรู้สึกว่าตนเองอาจะไม่ได้รู้สึกชอบเจ้าถึงเพียงนั้น ภายหลังกลับรู้สึกว่า ถึงแม้มิได้อยู่กลับเจ้าตลอดเวลา หากแต่เจ้านั้น ได้สลักอยู่ในจิตใจของข้าไปเสียแล้ว เมื่อไหร่ที่ข้ากำลังคิดถึงเรื่องอะไรบางอย่างนั้น เจ้ามักจะโผล่ขึ้นมาในหัวของข้าเสมอ ข้ากลับรู้สึกว่าความรู้สึกนี้ก็ไม่ได้แย่นัก ”
หยุนชางได้ยินดังนั้น พลันหลี่ตาลงพร้อมยื่นมือไปกุมมือจิ้งอ๋องไว้ หากแต่ในใจกลับรู้สึกอิ่มเอมไปด้วยความสุขที่ไม่มีวันหมดสิ้น นางกลับมาเกิดใหม่ในชาตินี้ มิได้คาดหวังในความรักหรือความสุขแต่อย่างใด หากแต่ในเวลานี้นั้น นางกลับค่อย ๆ เชื่อใจผู้ชายตรงหน้า ราวกลับว่านางได้อยู่ภายในใจของเขาจริง ๆ ความรู้สึกเช่นนี้มันคุ้มค่าที่นางจะต่อสู้เพื่อมัน
“หม่อมฉันมิใช่ว่าตนเองยังเด็ก จึงมิรู้จักความรัก หากแต่ในวังหลวงนั้นล้วนแต่เป็นสถานที่ ที่มิเคยมีรักแท้อยู่จริง หม่อมฉันเห็นโศกนาฏกรรมของความรักมาเยอะเสียจนมิเคยเชื่อในรักแท้อีกเลย หากแต่ตอนนี้ ในเวลานี้ หม่อมฉันเริ่มที่จะรู้สึกเชื่อในรักแท้ดูบ้าง หวังว่าจะมีเพียงท่านที่คอยอยู่ข้างหม่อมฉันไปตลอด มิว่าฟ้าจะถล่ม โลกจะทลายเพียงใด หม่อมฉันหวังว่าจะได้อยู่ข้างท่านไปจนถึงผมเปลี่ยนเป็นสีดอกเลา ” หยุนชางกระซิบเบา ๆ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสุข
ในสายตาของจิ้งอ๋องนั้น เต็มไปด้วยความปิติยินดี พร้อมระเบิดเสียงหัวเราะออกมา พลางอุ้มหยุนชางขึ้นมาและเดินไปยังเตียงนอน พร้อมวางหยุนชางไว้บนเตียงด้วยความเบา ๆ หลังจากนั้นค่อย ๆ ใช้มือปิดม่านในเตียงลง ภายในห้องมีเพียงกลิ่นหอมในความมืดมิดแต่เพียงเท่านั้น
เนื่องจากเป็นเพราะจิ้งอ๋องกลับมาแล้ว. หน้าที่ของหยุนชางจึงเบาบางไปเยอะ จิ้งอ๋องมิต้องการให้นางเอาตัวเข้าไปลำบากกับเรื่องราวที่ยุ่งยากซับซ้อนเหล่านั้น หยุนชางจึงปล่อยมันไป เมื่อมีเวลาว่างมากขึ้น นางจึงเข้าวังไปบ้างเป็นครั้ง บางทีนางก็ออกไปพบปะกับหวังจินเหยียนเป็นบางครั้งบางคราว
มิรู้ว่าเป็นเพราะเหตุอันใด. ผู้ที่เดินตามข้างหลังหยุนชางนั้นดวงตาราวกลับไม่มีความสุขเลยแม้แต่น้อย นั่นจึงทำให้หยุนชางรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
“อีกไม่นาน เราจักต้องเดินทางไปแคว้นเซี่ยเร็ว ๆ นี้แล้ว ข้าเห็นว่าเสื้อผ้าอาภรณ์ของท่านอ๋องนั้นแลจะดูเก่าไปบ้าง วันนี้ก็มิรู้ว่าท่านอ๋องจะกลับเข้าวังมาเมื่อใด อีกชั่วครู่ข้าจักถามถึงรอบตัวของท่านอ๋อง เจ้าก็ไปจัดเตรียมเสื้อผ้าอาภรณ์แคว้นเซี่ยเสีย เมื่อไม่กี่วันก่อนข้าเข้าวังไปนั้น เสด็จพ่อมอบผ้าเนื้อดีมาให้ข้าอยู่หลายพับ เนื้อผ้าเบาบางกว่าผ้าไหมเป็นอย่างมาก เหมาะที่จะสวมใส่ในฤดูร้อน ” หยุนชางพลันสั่งเฉียนยิน พร้อมพูดว่า “มิต้องเตรียมให้มากเกินไปนัก ข้าได้ยินมาว่า เสื้อผ้าอาภรณ์แคว้นเซี่ยกับแคว้นหนิงมีความแตกต่างกันเป็นอย่างมาก หากเตรียมไปเยอะเกิน เกรงว่าจะใช้ไม่หมดเอา”
เฉียนยินพลางพยักหน้าน้อย ๆ “พวกเราจักต้องไปแคว้นเซี่ยเร็ว ๆ นี้แล้วหรือเพคะ ? ”
หยุนชางพลันพยักหน้าลง “อื้ม คงจะเป็นเช่นนั้น ข้าได้ยินมาว่า ชายหนุ่มแคว้นเซี่ยแต่ละคน ล้วนแต่สุภาพอ่อนโยน เป็นบุรุษท่องตำราเสียส่วนใหญ่ โอ้ เมื่อถึงแคว้นเซี่ยเมื่อใด ข้าจักหาชายหนุ่มดี ๆ มาให้เจ้าแต่งออกไป”
เฉียนยินได้ยินดังนั้น ดวงตาพลันเบิกกว้างรีบร้อนคำนับลงว่า “ไม่เอาเพคะ ไม่เอาเช่นนี้ นู๋ปี๋ได้ยินมาว่า ชายหนุ่มแคว้นเซี่ยนั้นล้วนแต่สวยสง่า มีบางคนที่รูปโฉมงามกว่าอิสตรีเสียอีก นู๋ปี๋มิอยากได้ชายเช่นนั้น นู๋ปี๋คิดว่าชายหนุ่มนั้น จักต้องดูกล้าหาญองอาจหน่อยถึงจะดูดีนะเพคะ”
“โอ้ ลั่วอี้กล้าหาญองอาจงั้นหรือ ? ” หยุนชางถามกลับอย่างไม่ใส่ใจ
“อืม. ก็ไม่เลวนักเพคะ หากแต่นู๋ปี๋ไม่เคยปะมือกับเขามาก่อน เลยไม่รู้ว่าวรยุทธ์ของเขาแข็งแกร่งดั่งที่คนร่ำลือกันหรือไม่ หากแต่เป็นหัวหน้าองครักษ์เงาของท่านอ๋องทั้งที เกรงว่าวรยุทธ์คงมิได้ด้อยกว่ามากนัก “เฉียนยินพลันก้มตัวลง ช่วยหยุนชางรัดเอว พร้อมกระซิบเบา ๆ
“โอ้ ? “หยุนชางพลันกระตุกยิ้มมุมปาก “อื้ม เจ้ามีคนในใจแล้วนี่เอง ”
“หา ?”เฉียนยินพลันตกตะลึง อีกนิดเดียวเกือบพลาดปล่อยมือหลุดออกมา “หวางเฟย อย่าได้หยอกล้อนู๋ปี๋เช่นนี้สิเพคะ นู๋ปี๋กับคนงี่เงาผู้นั้นมิได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันสักหน่อย ”
หยุนชางเหลือบมองนางแล้วจึงอมยิ้ม มิได้พูดอะไรออกมา
เฉียนยินพลันรู้สึกว่ารอยยิ้มของหยุนชางแปลกประหลาดเสียจริง จึงรีบร้อนเปลี่ยนหัวข้อเรื่องว่า “เร็ว ๆนี้ ยังมิได้มีข่าวคราวจากเถ้าแก่เฉียนเฉี่ยนมาเลยนะเพคะ ว่าจักรพรรดิแคว้นเซี่ยไม่อยู่ ฮองเฮาแคว้นเซี่ยทำให้เถ้าแก่เฉียนเฉี่ยนเต็มไปด้วยความยากลำบากเป็นอย่างมาก เถ้าแก่เฉียนเฉี่ยนคร้านที่จะจัดการกับมันเสียแล้ว หากแต่ทำได้เพียงอยู่แต่ในตำหนักของตนเท่านั้น มิออกไปไหน เมื่อได้ยินถึงข่าวคราวของคนของเราที่ลอบส่งเข้าไปยังแคว้นเซี่ยนั้น ร้านรวงในแคว้นเซี่ยขยายไปมากกว่าสี่สิบร้านเสียแล้ว เกรงว่า อีกไม่นานแคว้นเซี่ยนั้น คงได้ตกเป็นของหวางเฟยเป็นแน่”
“เจ้าพูดอะไรไร้สาระเช่นนั้น ” หยุนชางพลันขึ้นเสียงใส่เฉียนยินเล็กน้อย ขณะที่กำลังจะพูดอยู่นั้น หูกลับได้ยินเสียงการต่อสู้อย่างแผ่วเบาดังเข้ามา
หยุนชางและเฉียนยิน พลันส่งสายตารังสีฆ่าฟันออกมา หยุนชางจึงรีบร้อนส่งเสียงถามออกมาว่า “เกิดอะไรขึ้น ? ” “รายงานหวางเฟย ข้าน้อยมิอาจทราบได้ เสียงดังมาจากทางทิศตะวันตกของวัง ข้าน้อยจะรีบไปตรวจสอบดูพะยะค่ะ ”
หยุนชางพลันขมวดคิ้วลง พลางนึกถึงคำพูดของจิ้งอ๋องว่า หนิงหัวจิ้งถูกขังไว้อยู่ภายในวัง หากแต่นางมิได้ถามต่อว่าอยู่ ณ ที่ใด หยุนชางพลันหันไปถามว่า “ท่านอ๋องตอนนี้อยู่ที่ใด ? ”
เฉียนยินรีบร้อนตอบกลับว่า “ก่อนหน้านั้นท่านอ๋องอยู่ที่ลานประลองเพคะ”
ลานประลอง หยุนชางพลันขมวดคิ้วลง ลานประลองก็อยู่ที่ทิศตะวันตกเช่นกัน
หยุนชางพลันลุกขึ้นยืน พร้อมเดินออกไปยังนอกประตู พลางพบกับองครักษ์เงาที่รีบร้อนเข้ามารายงานว่า “หวางเฟย มีนักฆ่าลอบเข้ามาในวังพะยะค่ะ”
หยุนชางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ “เจ้ารู้หรือไม่ ว่าจุดประสงค์ของพวกมัน มาเพราะจิ้งอ๋องหรือหนิงหัวจิ้ง ? ”
องครักษ์พลันรีบร้อนตอบกลับว่า “ไม่ทราบพะยะค่ะ นักฆ่าพวกนั้นดูเหมือนจะบุกเข้ามาโดยไม่มีเป้าหมายอันใดชัดเจน พวกเขาพลางบุกเข้ามาโดยตรง และฆ่าผู้คนระหว่างทางไปบางส่วนเท่านั้น อีกทั้งวรยุทธ์นักฆ่าพวกนั้นมิได้ด้อยเลย อีกทั้งยังสามารถบุกทะลวงองครักษ์เงาเข้ามาในวังได้”
“ในเวลานี้ ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนแต่สงสัยว่าท่านอ๋องอยู่ในวังจริงหรือไม่ เกรงว่าคงจะส่งคนเข้ามาลองเชิงดูกระมัง” หยุนชางพลันพาองครักษ์เงาทั้งหลายมายังทิศตะวันตกของวัง “ไปรายงานท่านอ๋อง ว่าอย่าได้ออกมา”
องครักษ์เงาพลันรับคำสั่ง พร้อมกับเร้นกายหายไป
พวกนักฆ่าบุกเข้ามาจนถึงทิศตะวันตกของศาลาริมทะเลสาปเสียแล้ว หยุนชางมองจากไกล ๆ เห็นเป็นประมาณ หกถึงเจ็ดสิบคน แม้จะถูกตรึงไว้เป็นวงกลมโดยหันหลังต่อต้านให้กับทหารรักษาพระองค์นั้น
หยุนชางเดินไปยังด้านหลังขององครักษ์เงา พลางพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้นมาว่า “ผู้ใดส่งพวกเจ้ามากัน?”
มีคนตอบกลับมาว่า “วังของจิ้งอ๋องใหญ่โตเช่นนี้ กลับส่งอิสตรีมาออกหน้าเพียงผู้เดียวงั้นหรือ ? สตรีที่รูปโฉมงามราวกับใบหยกเช่นนี้ มิเกรงกลัว จะถูกพวกข้าสังหารเลยหรือ ?”
หยุนชางพลันหัวเราะออกมาเบา ๆ “เปิ่นหวางเฟย มิกลัวพวกเจ้าจะสังหารเปิ่นหวางเฟยหรอก เกรงว่าเจ้านายของพวกเจ้าจะไม่มีโอกาสได้พูดเสียมากกว่า”
หยุนชางรู้สึกว่า มิต้องถามให้มากความ ผลลัพธ์คงเป็นดั่งเช่นที่นางคาดการณ์เอาไว้ นักฆ่าพวกนี้คงมาเพราะจิ้งอ๋องเป็นแน่
หยุนชางพลันโบกมือไปมา “สังหารให้หมด”
องครักษ์เงาที่อยู่บริเวณรอบ ๆ เมื่อได้ยินคำสัง จึงปรากฏกายออกมา พร้อมทั้งมุ่งตรงไปยังเหล่านักฆ่าพวกนั้น มิถึงเพียงครึ่งชั่วยาม ก็ได้จัดการนักฆ่าทั้งหกถึงเจ็บสิบกว่าชีวิตหมดลง
หยุนชางมองไปยังเหล่าซากศพที่อยู่ตรงหน้า พลางหลี่ตาลงเล็กน้อย พร้อมครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ “เกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ คนตายมากมายขนาดนี้ เกรงว่าข่าวคราวคงส่งไปถึงพระราชวังแล้วกระมัง เฉียนยิน กลับห้อง เมื่อเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยเมื่อใด เราจักเข้าวัง”
ที่จริงก็มิได้จัดเก็บอันใดมาก หยุนชางตั้งใจให้รอยเลือดกระเด็นโดนชุดกระโปรงนางเล็กน้อย พร้อมทั้งโปะแป้งลงบนใบหน้าให้ดูขาวซีดลงซักหน่อย
จิ้งอ๋องกลับมาแล้ว เมื่อเห็นรูปลักษณ์ของหยุนชางเป็นเช่นนี้ จึงตกใจเป็นอย่างมาก พร้อมขมวดคิ้วด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าทำเช่นนี้ คงจะไปเข้าเฝ้าขอความเห็นใจจากเสด็จพ่อกระมัง ?”
หยุนชางพลันหัวเราะออกมาเล็กน้อย พลางขมวดคิ้วออกมา นางมิอยากจะเล่าให้จิ้งอ๋องฟัง แม้ว่าเขาจะรู้สึกสงสัยในตัวเสด็จพ่ออยู่แล้ว เนื่องจากว่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ ที่ได้เข้าพบเสด็จพ่อนั้น เมื่อวานพลันได้ยินเขาพูดขึ้นมาว่า “ช่วงนี้สีหน้าของเจ้าดูดีขึ้นมามากแล้ว คงจะได้พักผ่อนมากขึ้นแล้วกระมัง มิอะไรคืบหน้าบ้างงั้นหรือ ?”
หยุนชางพลันยิ้มพร้อมตอบรับว่า “ชางเอ๋อร์จักรักษาสัญญาที่ให้ไว้ จะตรวจสอบคนของแคว้นเย้หลางที่มายังเมืองหลวงนั้นให้ระเอียด”
เกรงว่าลักษณะของนางไม่กี่วันนี้ คงจะไปกระตุ้นความสงสัยของจักรพรรดิหนิงเข้าแล้วกระมัง