ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 210 นอกเหนือความคาดหมาย (๑)
หยุนชางตกตะลึง ไม่คาดคิดว่าจะมีกองทัพที่ไม่ใช่กองทัพแคว้นหนิงเข้ามาในแคว้นหนิง และในพระราชวังนั้นกลับไม่ทราบข่าวกระไรเลย…
"กองทัพหนึ่งกองอย่างน้อยมีทหารหมื่นนาย หากมีแผนการใดจริงๆล่ะก็ เกรงว่าผู้คนนับหลายหมื่นก็คงไม่เพียงพอ คนจำนวนมากเช่นนี้เข้ามาในแคว้นหนิงอย่างไม่มีร่องรอยได้เยี่ยงไรหรือ?"
เซียวหย่วนซานมองไปที่ไกลๆ แววตาของเขาว่างเปล่าเล็กน้อย "เข้ามาโดยการแยกออกเป็นกลุ่ม ๆ ข้าเกรงว่าพวกมันคงจะปลอมตัวเป็นคนธรรมดาหรือว่าขบวนการค้า แล้วแอบเข้ามาในแคว้นหนิง ดูจากร่องรอยการตั้งฐานทัพแล้ว มีคนอยู่อย่างน้อยหนึ่งแสนคน พวกเขาคงวางแผนนานมากแล้ว กองกำลังกว่าแสนคน แม้ว่าจะแยกออกเป็นกลุ่มเล็กๆอย่างไร หากไม่ใช้เวลาสักหลายปีก็คงยากที่จะเข้ามาในแคว้นหนิงได้ทั้งหมด"
แสนคนหรือ?
สีหน้าของหยุนชางค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้นมา นางทราบเป็นอย่างดี หากว่าเป็นกองทัพชั้นยอด คนหนึ่งแสนคนนั้นสามารถทำอะไรได้เยอะเหลือเกิน มากจนกระทั่งสามารถทำลายทั้งแคว้นได้
ไม่น่าแปลกใจที่จิ้งอ๋องถูกวางกลอุบายอย่างต่อเนื่อง อาจเป็นเพราะอีกฝ่ายนั้นได้เตรียมพร้อมแล้ว และคิดว่าจิ้งอ๋องนั้นเป็นภัยคุกคามที่อันตรายที่สุด ดังนั้นจึงคิดจะจัดการจิ้งอ๋องก่อนที่จะเริ่มทำการบางอย่าง หยุนชางไม่สามารถจินตนาการได้ว่า หากว่าไม่มีจิ้งอ๋อง แล้วแคว้นหนิงจะเป็นอย่างไรเมื่อเจอกับเหตุการณ์ที่วางแผนมานานเช่นนี้
"ท่านตาเพคะ จิ้งอ๋องถูกพาตัวไปแล้วเพคะ เราต้องตามหาจิ้งอ๋องให้เจอโดยเร็วที่สุดเพคะ ต้องนำเรื่องนี้ไปทูลให้เสด็จพ่อทราบก่อนหรือไม่เพคะ?" หยุนชางรู้สึกว่าในหัวของตนนั้นมีแต่ความว่างเปล่า จึงรีบหันไปหาเซียวหย่วนซานอย่างรวดเร็วและกล่าวเช่นนี้
เมื่อเห็นท่าทีที่ตื่นตระหนกเช่นนี้ของนาง ก็ยิ้มและตบไหล่นาง " ชางเอ๋อร์ ในเมื่อข้าสังเกตเห็นเรื่องนี้ล่วงหน้าแล้ว และเรื่องนี้ยังไม่ได้เลวร้ายมากจนไม่สามารถแก้ไขได้ เจ้าไม่ต้องกังวล ใจเย็น ๆ ส่วนทางฝ่าบาท ข้าจะไปทูลกับท่านเอง ตอนนี้สิ่งที่สำคัญมากที่สุดของเจ้าคือหาจิ้งอ๋องให้เจอ อีกทั้งตาทราบดีว่าเจ้าได้วางกำลังคนไว้ทั่วแคว้นหนิงแล้ว ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแม้แต่แคว้นอื่นๆเจ้าก็ได้วางกำลังพลไว้ เจ้าคิดหาวิธีใช้คนเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์อย่างมากที่สุด ข้ามั่นใจว่าเจ้าทำได้"
หยุนชางตกตะลึงจึงค่อยๆสงบลงอย่างช้าๆ ท่านตากล่าวได้ถูกต้อง ตนต้องใจเย็นและอย่างได้ร้อนรนเป็นอันขาด "ท่านตามิต้องเป็นกังวลไปเพคะ ชางเอ๋อร์จะกลับไปคิดทบทวนเรื่องนี้ แล้วค่อยมาหารือกับท่านตาอีกครั้งเพคะ"
หลังจากน้อมลาเซียวหย่วนซานไป เมื่อหยุนชางกลับไปที่ตำหนักชิงซินจึงเก็บตัวอยู่ในตำหนักใน เฉี่ยนอินและฉินยีเห็นเพียงนางเอาแต่ขีดเขียนบนกระดาษเพียงลำพัง และสิ่งที่วาดออกมานั้นมีแต่ภาพที่คนอื่นอ่านไม่เข้าใจ
หนึ่งแสนคน แม้จะคิดเอาเพียงเลขรวม นอกจากจะต้องใช้เวลานานในการรวมตัวแล้ว ยังต้องมีคนคอยตอบรับดูแล อีกทั้งตำแหน่งของคนคนนั้นต้องสูงอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นคนหนึ่งแสนคนเข้ามาในแคว้นหนิง แล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เป็นเรื่องที่เป็นที่สนใจอย่างมาก แต่กลับไม่มีใครทราบเรื่องนี้เลย ฉะนั้นจึงพิสูจน์ได้ว่า มีใครบางคนปกปิดเรื่องนี้เอาไว้
คนแรกที่หยุนชางนึกถึงคือหนิงเย่
ตัวตนของหนิงเย่ หากเป็นไปตามที่หนิงเฉี่ยนสิบมา หนิงเย่คนปัจจุบันนี้เป็นตัวปลอมอย่างแน่นอน อีกทั้งการปลอมตัวในครั้งนี้ทำมานานกว่าหลายปี นี้ ก่อนหน้านี้ตนไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าใครเป็นคนทำเรื่องนี้ แล้วเหตุใดจึงต้องทำเช่นนี้ เพราะถึงอย่างไรแม้ว่าจวนซุ่นชิ่งอ๋องจะมีฐานะสูงส่ง แต่ก็ไม่มีอำนาจที่แท้จริง แม้ว่าหนิงเย่มีตำแหน่งเป็นท่านอ๋อง แต่เขาก็ไม่มีอำนาจใดๆ เมื่อมองดูเช่นนี้แล้ว กลับรู้สึกว่าหากการดำรงอยู่ของหนิงเย่ เป็นดำรงอยู่เพื่อปกปิดที่มาที่ไปของคนหนึ่งแสนคน หากคิดเช่นนี้กลับดูเหมาะสมและพอดีเป็นอย่างมาก
หนิงเย่ไม่มีอำนาจที่แท้จริง แต่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเหล่าขุนนางในพระราชวัง และเพราะเขาไม่มีอำนาจจึงทำให้เหล่าขุนนางนั้นวางใจเขาเป็นอย่างมาก หากว่าหนิงเย่วางเล่ห์เหลี่ยมบ้างเป็นครั้งคราวและช่วยงานเหล่าขุนนางบ้างเล็กน้อย ข้าคิดว่าคงมีขุนนางหลายท่านเต็มใจที่จะให้เขาช่วย
จำได้ว่าช่วงก่อนหน้านี้ หวังจินฮวนก็กำลังสืบตัวตนของหนิงเย่เช่นกัน เป็นไปได้หรือไม่ว่าจิ้งอ๋องเอะใจกับเรื่องนี้ ฉะนั้นจึงสงสัยตัวหนิงเย่?
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้หยุนชางก็รีบออกจากตำหนักอย่างเงียบ ๆ และตรงไปที่ตระกูลหวัง
หยุนชางเคยไปที่จวนตระกูลหวังมาก่อน พ่อบ้านที่อยู่หน้าประตูจำนางได้ จึงรีบต้อนรับนางเข้าไปภายในบ้าน หยุนชางนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ ไม่นานหวังฮูเหรินก็เดินมาหานางอย่างเร่งรีบ " หม่อมฉันคารวะองค์หญิงเจ้าค่ะ องค์หญิงมาพบเหยียนเอ๋อร์ใช่หรือไม่เจ้าคะ?"
หยุนชางกำลังจะกล่าวว่าตนมาที่นี่เพื่อมาพบหวังจินฮวน แต่ก็รู้สึกตัวทันที แม้ว่าตนเป็นองค์หญิง แต่ตนก็ยังเป็นสตรีที่ยังมิได้อภิเษกสมรส หากว่านางกล่าวไปตรงๆว่ามาพบหวังจินฮวนก็คงจะไม่เหมาะสมเท่าไหร่ นางจึงยิ้มและกล่าวว่า "ใช่แล้ว ข้ามิได้พบเหยียนเอ๋อร์มาสองวันแล้ว วันนี้จึงออกมาจากพระราชวัง เพราะอยากให้เหยียนเอ๋อร์นั้นไปเดินเล่นกับข้าสักหน่อย "
หวังฮูเหรินรีบตอบกลับ "หม่อมฉันสั่งให้บ่าวไปตามเหยียนเอ๋อร์มาประเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ"
หยุนชางพยักหน้า เมื่อนึกถึงหวังจินเหยียนจึงได้พูดคุยกับหวังฮูเหรินขึ้นมา " ข้าได้ยินมาว่าตอนนี้หวังฮูเหรินกำลังตามหาคุณชายตระกูลเหล่าขุนนางในเมืองหลวงนี้ให้เหยียนเอ๋อร์ใช่หรือไม่"
หวังฮูเหรินตกตะลึง นางทราบว่าช่วงนี้หยุนชางและหวังจินเหยียนนั้นสนิทกันอย่างมาก จึงคิดว่าเรื่องนี้เหยียนเอ๋อร์คงเป็นคนบอกกับนาง แต่ไม่ทราบว่าเหยียนเอ๋อร์ขอให้นางมาพูดกล่อมหรือไม่ จึงยิ้มอย่างระแวงและกล่าวว่า "มีเรื่องเช่นนี้จริงเจ้าค่ะ หม่อมฉันคิดว่า ตอนนี้เหยียนเอ๋อร์ก็มีอายุไม่น้อยแล้ว อีกไม่นานก็จะอายุสิบเจ็ดแล้ว หากว่ายังไม่รีบสมรสก็คงกลายเป็นสตรีวัยกลางคนแล้วเจ้าค่ะ เมื่อไม่กี่วันก่อน นางทูลขอฝ่าบาทให้นางรับราชการเป็นทหารโดยไม่บอกหม่อมฉัน หม่อมฉันตกตะลึงอย่างมากเจ้าค่ะ นางเป็นสตรี วันๆเอาแต่ขี่ม้าฟันดาบ แม้แต่เย็บปักถักร้อยก็ทำไม่เป็นเจ้าค่ะ เช่นนี้ใครจะกล้าสมรสด้วยหรือเพคะ หม่อมฉันเป็นมารดาของเหยียนเอ๋อร์ และแน่นอนจึงต้องวางแผนแทนนางอย่างดีเจ้าค่ะ"
หยุนชางยิ้มเบา ๆ และกล่าวว่า "เหยียนเอ๋อร์ก็ควรหาสามีแล้วจริงๆ แต่ว่าเหล่าตระกูลขุนนางในเมืองนี้ หวังฮูเหรินก็คงทราบดีใช่หรือไม่เจ้าคะ ว่ามีเล่เหลี่ยมมีมากมาย เหยียนเอ๋อร์เป็นคนตรงไปตรงมา หากว่าปล่อยให้นางเข้าไปอยู่ในถ้ำเสือเช่นนั้นจริงๆ ข้าเกรงว่าคงเป็นอันตรายต่อชีวิตนางหรือไม่นางก็คงไม่มีความสุขกระมั้ง"
หวังฮูเหรินไม่คาดคิดว่าหยุนชางจะกล่าวเช่นนั้น นางเงียบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงถอนหายใจ "ต้องโทษหม่อมฉันเจ้าค่ะ ที่ตามใจบุตรสาวมากจนเกินไป"
"ข้ากลับคิดว่า เหยียนเอ๋อร์นั้นมีนิสัยที่ตรงไปตรงไป เป็นคนที่หาได้อยากในพระราชวังนี้ เพียงแต่ว่าสำหรับเหยียนเอ๋อร์แล้ว หากว่าจะหาสามีให้นางก็คงต้องไตร่ตรองเป็นอย่างดี หวังฮูเหรินโปรดอย่าโกรธกับความจริงที่หยุนชางไม่ควรพูดดังต่อไปนี้ หากดูตามอำนาจที่ใต้เท้าหวังมีในพระราชวังแล้ว แม้ว่าเหยียนเอ๋อร์ได้สมรสกับตระกูลที่ไม่ใช่ขุนนางก็ย่อมไม่เป็นกระไร ข้าเห็นว่าหวังฮูเหรินและใต้เท้าหวังนั้นรักเหยียนเอ๋อร์อย่างมาก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คงจะดีกว่าหากหาตระกูลที่ความสัมพันธ์ในครอบครัวที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อน และเขารักเหยียนเอ๋อร์จริง……."
หวังฮูเหรินได้ยินเช่นนี้ ก็เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพยักหน้าและกล่าวว่า "องค์หญิงทรงกล่าวได้อย่างถูกต้องเจ้าค่ะ"
"ชางเอ๋อร์….…ชางเอ๋อร์……." เสียงที่ร่าเริงของหวังจินเหยียนดังมาจากด้านนอก หยุนชางยิ้มและมองที่ประตู ก็พบว่าหวังจินเหยียนนั้นวิ่งตรงเข้ามาอย่างมีความสุข เมื่อเห็นว่าหวังฮูเหรินก็นั่งอยู่ในห้องโถงเช่นกัน นางก็หยุดลงทันที และไอออกมาเบาๆ และเก็บอาการที่มีความสุขนั้นกลับไป จากนั้นก็ส่งยิ้มให้หวังฮูเหริน " ท่านแม่… "
หวังฮูเหรินพยักหน้า "องค์หญิงมาหาเจ้าออกไปเดินเล่น วันนี้เจ้ามิต้องฝึกการเย็บปักถักร้อยแล้ว ออกไปเป็นเพื่อนองค์หญิงเถิด"
เย็บปักถักร้อย? หยุนชางเลิกคิ้วและมองไปที่หวังจินเหยียน แล้วก็พบความปีติยินดีบนใบหน้าของหวังจินเหยียน นางยกมือขึ้นแล้วเดินเข้าไปกอดหวังฮูเหรินไว้ "ท่านแม่ดีที่สุดเจ้าค่ะ!" แต่ทันใดนั้น เสียง "ซี๊ด" ก็ดังขึ้น แล้วนางก็เก็บมือกลับไป
หวังฮูเหรินขมวดคิ้วและจับมือของหวังจินเหยียนมาดู แล้วพบว่ามือของหวังจินเหยียนเต็มไปด้วยรอยเข็มที่โดนเข็มทิ่ม ซึ่งบางรอยก็มีเลือดออก หวังฮูเหรินก็รู้สึกกังวลขึ้นมา "ดูนี่สิ เป็นเยี่ยงนี้ได้อย่างไรหรือ? "
หวังจินเหยียนทำปากจู๋แล้วเอามือกลับ "เข็มปักร้อยนั้นใช้ยากเกินไปเจ้าค่ะ ใช้ยากกว่ายิ่งกว่าหอกอีกเจ้าค่ะ ไม่ว่าอย่างไรมันก็ไม่ฟังข้า ข้าอยากให้มันเย็บลงที่ผ้า แต่มันกลับทิ่มมาที่มือ"
หวังฮูเหรินถอนหายใจ "ไม่เป็นไร เจ้าไม่ต้องเรียนเย็บปักถักร้อยแล้ว ไปเที่ยวเถอะ" จากนั้นนางก็น้อมลาหยุนชาง และถอยออกไป