พี่สาวนางร้าย ปักธงตายตั้งเเต่ตอนเเรก !? - ตอนที่ 23
ในวันถัดมา ฉันก็พาไอรินไปซื้ออุปกรณ์ที่เรียกว่า ‘ไม้กายสิทธิ์’
มันคือไม้เรียวยาวคล้ายกิ่งไม้ที่ฝังผลึกเวทย์และใช้ต้นไม้ที่มีคุณสมบัติดูดซับพลังเวทย์เป็นส่วนประกอบ
ไม้กายสิทธิ์คือ สิ่งที่จอมเวทย์ทุกคนต้องมี เพราะมันช่วยในการควบคุมพลังเวทย์ให้ก่อเกิดเป็นปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ
ตามหลักแล้ว ผู้ใดไร้ซึ่งไม้กายสิทธิ์ ผู้นั้นย่อมไม่ใช่จอมเวทย์
นั่นคือหลักการขั้นพื้นฐานของโลกใบนี้ โดยมีข้อยกเว้นพิเศษเพียงแค่จอมเวทย์ระดับสูงที่ควบคุมเวทมนต์ได้โดยไม่ต้องใช้ไม้กายสิทธิ์ซึ่งมีจำนวนน้อยมากถึงหนึ่งในล้านหรือบางทีก็อาจจะหนึ่งในสิบล้านแล้วแต่ยุคสมัย ทว่า เหล่าวีรชนเทียมผู้ครอบครองแก่นมนตราก็เป็นหนึ่งในข้อยกเว้นเหล่านั้น
ดังนั้น ก่อนจะกลายเป็นนักผจญภัยตามข้อตกลงที่ให้ไว้กับคุณหมอโยฮันซึ่งฉันตัดสินใจทำตามข้อตกลงนั่นหลังจากที่ติดต่อและรู้ความจริงว่าเมืองข้างหน้ายังไม่ปลอดภัยที่จะเดินทางจากอลิซเมื่อวาน ฉันและไอรินจึงต้องปลอมตัวให้ดูเหมือนคนธรรมดาๆมากที่สุด
ว่าแล้วก็นำเงินที่มีอยู่น้อยนิดมาเลือกซื้อไม้กายสิทธิ์และเสื้อผ้าอีกนิดหน่อย
พวกเราเดินตรงไปที่ร้านขายไม้กายสิทธิ์โดยสวมชุดกระโปรงสีฟ้าเข้าคู่กันและปลอมสีผมเป็นสีชมพูเป็นอย่างดี ไม่น่าจะมีใครจำพวกเราได้
ในตอนนี้ เราทั้งคู่พักอาศัยอยู่ที่บ้านของคุณหมอโยฮัน นอกจากจะสร้างปัญหาให้เขาแล้วยังต้องพึ่งพาเขาอีก มันทำให้ฉันรู้สึกเกรงใจเขาพอสมควร แม้ว่าเมอลินที่มานอนอยู่ในบ้านคุณหมอโยฮันได้ยังไงก็ไม่รู้จะบอกว่า ไม่ต้องเกรงใจก็ตาม ซึ่งเอาจริงๆแล้ว เธอก็ไม่ใช่เจ้าของบ้านด้วยซ้ำ ฉันเลยพยายามรวบกวนทั้งคู่ให้น้อยที่สุดและไม่ซักไซร้ความสัมพันธ์ที่น่าสงสัยของทั้งสองคน
“ฮืม~ ♪ ดิฉันว่าคุณน้องสาวจะต้องชอบชุดนี้แน่เลยค่ะ ”
“……………”
ระหว่างทาง ฉันและไอรินก็แวะซื้อเสื้อผ้าเล็กน้อย ในตอนที่อยู่ที่ร้านขายเสื้อผ้าแล้วพนักงานมาทักไอริน เธอก็รีบหลบมาอยู่ข้างหลังฉันอย่างรวดเร็ว
“เอ๋ ? เป็นอะไรหรอจ๊ะ ?”
“แห่ะๆ ขอโทษค่ะ พอดีเด็กคนนี้ขี้อายนิดหน่อย”
“…………………..”
จะว่าไปแล้ว หลังจากเหตุการณ์หนีออกจากบ้าน ไอรินก็ดูสงบเสงี่ยมขึ้นเยอะเลย
เธอพยายามไม่แสดงปฏิกิริยาเกลียดชังมนุษย์ออกมาตรงๆเช่นการโหวกเหวกโวยวายเหมือนเมื่อก่อน แต่กลับเลือกที่จะทำตัวเย็นชาใส่ด้วยการเมินเวลาพวกเขาเวลาเดินมาคุยด้วย ไม่ก็เดินมาหลบอยู่ข้างหลังฉันแทน นั่นทำให้ใครหลายๆคนเข้าใจว่าไอรินเป็นเด็กขี้อายซ่ะอย่างงั้น
“ไอริน อย่าเอาแต่หลบอยู่ข้างหลังพี่สิ”
“ไม่เอา…มนุษย์…น่ารำคาญ”
ทว่า ถึงแม้เธอจะบ่นแบบนั้น
ระหว่างที่แวะซื้อบาร์บีคิวข้างทาง แล้วคุณป้าเจ้าของร้านที่ยิ้มแย้มแจ่มใสแถมบาร์บีคิวให้ไม้นึง—
“โฮะๆ เป็นพี่น้องที่ดูรักกันดีจัง เด็กๆต้องกินเยอะๆจะได้โตวัยๆสิเนอะ เอ้า ป้าแถมให้ไม้นึง !”
“อ๊ะ ! ขอบคุณค่ะ !!!”
— ไหงพอคุณป้าร้านขายบาร์บีคิวข้างทาง แถมบาร์บีคิวให้ไม้นึง ไอรินกลับยิ้มแย้มแล้วพูดขอบคุณอย่างน่ารักน่าเอ็นดูซ่ะอย่างงั้น !?
ทำไมน้องสาวสุดที่รักของฉันกลับพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพียงเพราะบาร์บีคิวแค่ไม้นึงไปได้ล่ะเนี่ย ?
“ง่ำๆ อร่อยจัง”
ไอรินเคี้ยวแก้มตุ่ย ในขณะที่กำลังยิ้มหน้าบาน
“ชอบบาร์บีคิวขนาดนั้นเลยหรอ ?”
“พี่ริซไม่คิดว่ามันสุดยอดหรอคะ ? กับการเอาเนื้อสัตว์กับผักมาเสียบในไม้เดียวกันทำให้เวลากินเราสามารถกินได้ทั้งผักและเนื้อไปพร้อมๆกันได้ ”
ไอรินพูดดด้วยตาเป็นประกาย แล้วยืดอกราวกับผู้ทรงสติปัญญา
“ปกติแล้วการย่างเนื้อก็ทำแค่เสียบไม้แล้วเอาไปย่างเฉยๆ แต่เเล้วอยู่ๆก็มีใครซักคนทำขั้นตอนให้ยุ่งยากขึ้นด้วยการเสียบผักและผลไม้เข้าไปเพิ่ม จนทำให้จากเนื้อย่างธรรมดาๆกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า บาร์บีคิว ! การเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆนี่กลับสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆซึ่งมีรสชาติต่างไปจากเดิมขึ้นมา จากเนื้อหมูที่มีความเค็มแค่อย่างเดียว มันกลับถูกผสมผสานด้วยรสชาติหวานชุ่มฉ่ำของสัปปะรด เมื่อก่อนที่หนูเคยเห็นแค่หมูป่าที่ล่าได้นานๆครั้งกลายมาเป็นหมูย่างบนโต๊ะอาหาร หนูไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าบนโลกนี้จะมีคนที่คิดเอาหมูและผักมาเสียบไม้และย่างไปพร้อมๆกันด้วย ช่างเป็นอาหารที่น่าสนใจและอร่อยเหลือเกินค่ะ—”
นี่มัน ? คงไม่ได้เห็นแก่กินเกินไปหน่อยใช่ป่ะ ? ไอรินน้อยผู้แสนจะดื้อรั้นและหยิ่งยโสถูกทลายปราการน้ำแข็งได้อย่างง่ายดายด้วยของกิน ?
แถมดูพูดมากขึ้นกว่าปกติ ไอรินพูดด้วยตาเป็นประกายแล้วพูดไม่หยุดต่อให้น้ำไหลไฟดับก็ยังพูดต่อ
“อื้อ~ ♪ แล้วก็ๆ ดูความสดใหม่และมันหมูที่เข้มข้นซึ่งหาไม่ได้จากแถบบ้านเกิดของพวกเราสิค่ะ !”
“อะ อะ อื้ม !”
ฉันก็ได้แต่เออ ออ แบบงงๆ
พอได้ยินที่เธอพูด นึกๆดูแล้ว เมื่อก่อน บ้านของพวกเราก็ยากจนถึงขั้นอดมื้อกินมือจริงๆด้วย
ไม่ค่อยมีโอกาสได้กินอาหารดีๆเป็นผู้เป็นคนแบบคนอื่นซักเท่าไหร่ เนื้อสัตว์ที่หาๆได้ก็มักจะเป็นเนื้อปลามากกว่าพวกหมูป่าที่การจะไปไล่จับจะเสี่ยงอันตรายและยากมากกว่า ซ้ำร้ายต่อให้ล่ามาได้ก็คงเอาเนื้อไปขายให้ได้เงินมาจ่ายค่าคุ้มครองให้กับพวกทหารที่ดูและความปลอดภัยให้กับคนในหมู่บ้าน เพราะเนื้อหมูป่าในแถบนั้นค่อนข้างหายากและมีราคาแพง
ในยุคสมัยที่ประชากรแทบจะล้นทวีป ทรัพยากรสัตว์ป่าก็เลยหายากขึ้น พื้นที่ที่ใช้ปลูกพืชก็เหลือน้อยลง แถมดินที่ขาดการบำรุงก็ทำให้ได้ผลผลิตออกมาไม่ดีซักเท่าไหร่ ซ้ำร้ายพวกทหารที่ถูกส่งมาประจำการแถวบ้านนอกก็ใช้กำลังกดดันขูดรีดเงินจากชาวบ้านตาดำๆภายใต้คำพูดสวยหรูว่า ‘ค่าคุ้มครอง’
ค่าคุ้มครอง คือ เงินที่จ่ายให้พวกทหารโดยแลกกับหลักประกันความปลอดภัยของทรัพย์สินและชีวิตของผู้คนในหมู่บ้าน
มีครั้งหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่ไม่สามารถหาเงินมาจ่ายค่าคุ้มครองได้ ตกดึกของคืนหนึ่งก็เลยมีคนมาทำลายพืชผักที่เราปลูกไว้จนหมด โดยที่เช้าวันรุ่งขึ้นพวกทหารก็บอกว่าไม่รู้ไม่เห็นแล้วอ้างว่า เพราะพวกเราไม่จ่ายค่าคุ้มครอง พวกเขาก็เลยไม่ช่วยดูแลสวนของพวกเรา ทว่า ฉันจำได้เลยว่า มะเขือเทศที่พวกทหารถือในขณะที่ปฏิเสธอย่างโหดร้าย มันคือพืชผักที่ฉันและไอรินช่วยกันทะนุถนอมมาโดยตลอด ทว่า ถึงจะรู้ความจริงนั่นก็ไม่อาจขัดขืนพวกเขาได้
ในตอนนั้นพวกเราเกือบจะอดตายกันเลยทีเดียว โชคดีที่ตอนนั้นท่านผู้ตรวจการมาเยี่ยมหมู่บ้านพอดี คุณพ่อคุณแม่เลยให้ฉัน….ไปนอนกับเขา เพื่อแลกกับเศษเงินที่ช่วยให้เราทุกคนรอดจากวิกฤติในครั้งนั้นไปได้ ………….อะแฮ่มๆ ช่างเรื่องอดีตอันดำมืดนั่นเถอะ เอาเป็นว่าหลังจากนั้นคุณพ่อแม่ก็จ่ายเงินตรงเวลาครบทุกครั้ง โดยที่บ้านของเราซึ่งยากจนอยู่แล้วก็อยู่อย่างยากลำบากมากกว่าเก่า
แน่นอนว่าผู้ตรวจการนั่นก็ไม่ได้จับพวกทหารแต่อย่างใด ต่อให้ฟ้องไปเจ้าหน้าที่รัฐอย่างเขาก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะ มันเป็นเรื่องปกติของพวกทหารที่จะเรียกร้องค่าคุ้มครองเวลาไปประจำการที่หมู่บ้านอันห่างไกลจากเมืองหลวง
เหตุผลก็ทำนองว่า ‘ใครๆเขาก็ทำกัน ฟ้องไปรัฐบาลทหารไปก็ไม่มีใครฟังหรอก’ นั่นทำให้คนในหมู่บ้านทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาจ่ายค่าคุ้มครองต่อไป
ถ้าใครไม่มีเงินจ่ายก็อาจจะจ่ายด้วยร่างกายของลูกสาวแทน เพราะพวกทหารที่มาประจำการก็ค่อนข้างจะอดอยากหญิงสาวพอสมควร เพราะงั้นใครที่มีลูกผู้หญิงเหมือนอย่างบ้านของฉันก็โชคดีไป
มันเป็นความอยุติธรรมในยุคสมัยแห่งความขัดแย้ง ที่แม้เเต่ตัวฉันในอดีตก็ทำได้เพียงก้มหน้ารับชะตากรรมที่ตัวเองเป็นได้เพียงเครื่องมือหาเงินของคุณพ่อคุณแม่
สิ่งเดียวที่ค้ำจุ้นจิตใจของฉันในอดีตที่ถูกเหยียบย่ำจนแตกสลาย มีเพียงไอรินที่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ยังคงมอบรอยยิ้มให้กับฉันเสมอ ต่างจากพวกผู้ชายและพวกผู้ใหญ่ในหมู่บ้านที่มองตัวฉันซึ่งแปดเปื้อนไปแล้วด้วยสายตาไม่ดีซักเท่าไหร่ แม้ว่าจะมีคนที่ดีกับฉันอยู่มาก แต่ในหมู่บ้านนั่นก็มีคนที่คิดไม่ดีกับฉันเพียงพราะสิ่งที่พ่อแม่ทำให้ฉันเป็นเช่นเดียวกัน
เพราะงั้นสำหรับฉันแล้ว พวกเขาเหล่านั้นที่รู้อยู่แบบนี้ก็ยังเข้าหาฉัน ทุกคนจึงล้วนสำคัญกับฉันทุกคน โดยเฉพาะไอรินที่พอรู้สึกตัวอีกที เธอก็เป็นความหายเพียงหนึ่งเดียวในการมีชีวิตอยู่ของฉันไปซ่ะแล้ว
“แล้วก็นะ พี่ริซ—มีอะไรรึเปล่าคะ ?”
“เปล่า….ไม่มีอะไรจ้ะ”
ว่าแล้วฉันก็เอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดมุมปากของไอรินที่เปื้อนซอสบาร์บีคิว
“โธ่ ! หนูไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ”
ไอรินที่ทำแก้มป่อง ไม่ว่าจะมองอีกกี่ครั้งก็ไม่เคยเบื่อ
“ฮุๆๆ”
“หัวเราะแบบนั้นหมายความว่ายังไงกันคะ ?”
“~ ❤”
“เดี๋ยวเถอะ ! ยิ้มแบบนั้นหมายความว่ายังไง ถ้าไม่ตอบหนูไม่พูดด้วยแล้วนะ !”
ว่าแล้วฉันก็สวมกอดน้องสาวตัวน้อยของฉันแล้วถูแก้มของตัวเองไปกับแก้มนุ่มๆของเธอ
นุ่มนิ่มๆ นุ่มนิ่มๆ
“ ❤❤❤❤”
“อะ อะ อะไรของพี่กันเนี่ย ?”
“เปล่า…พี่ก็แค่รักไอรินที่สุดเลยน่ะ”
“อึก ! พูดอะไรไม่เห็นเข้าใจเลยค่ะ”
แม้เธอจะบ่นแบบนั้นด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ แต่ไอรินก็ไม่ขัดขืนแล้วปล่อยให้ฉันกอดแต่โดยดี
จะว่าไป คงต้องหาวิธีทำให้เธอพูดกับคนอื่นมากกว่านี้แล้วสิ ไม่งั้นคงมีคนเข้าใจว่าไอรินเป็นเด็กขี้อายไปตลอดแน่ๆ แถมถ้าโตไปกลายเป็นคนที่โดนหลอกล่อด้วยอาหารง่ายๆ มันคงไม่ดีซักเท่าไหร่
— เพราะอย่างงั้นแล้ว
“เอาล่ะ ! ถ้างั้นเราไปต่อกันที่ร้านไอศกรีมกันเถอะ”
“ไอ สะ กรีม ? พี่ริซไม่สบายหรอคะ ?”
“ฮุๆ อยากรู้ก็ตามมาสิ”
ฉันจูงมือน้องสาวตัวน้อยที่กำลังเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นแล้วพาตะลอนหาของกินใหม่ๆไปทั่วเมือง
ทีนี้พอเธออิ่มแป้ลและรู้จักอาหารทุกอย่าง ก็คงจะโดนล่อซื้อด้วยอาหารน้อยลงล่ะมั้ง ?
๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ไอรินมีกระเพาะราวกับหลุมดำไม่มีผิด
สามารถกินอาหารติดต่อกันได้ถึง 6 ชั่วโมงไม่หยุด โดยที่ไม่อ้วนขึ้นแม้แต่น้อย
ตรงข้ามกับฉันที่อิ่มแปล้จนพุงป่อง ไอรินกลับยังกินได้เรื่อยๆราวกับว่าเธอคือเครื่องจักรนักกินรูปแบบมนุษย์โค้ดเนม ไอริน 001
โชคดีที่ฉันเก็บเงินไว้บางส่วนก็เลยพอมีตังค์ซื้อไม้กายสิทธิ์ ไม่อย่างงั้นมันคงกลายเป็นอากาศเหมือนเหรียญที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มถุงเงินมาก่อน
“กินจนหมดเกลี้ยงเลยแฮะ”
ฉันมองถุงที่ว่างเปล่า สลับกับไอรินที่ยังคงเดินดี๊ด๊าสบายๆ ในขณะที่ทุกย่างก้าวของฉันหนักอึ้งจากอาหารในกระเพาะ
“เจ้านี่น่ะ ไม่เห็นจำเป็นเลยนิคะ”
ไอรินมองไม้กายสิทธิ์ในมือซึ่งมีสีดำสนิทพลางพลิกไปมาพลิกมา ราวกับจะดูว่ามีอะไรอยู่ข้างใน
ไม้กายสิทธิ์จากต้นบูราบาราทางตอนใต้ของทวีป หนึ่งในไม้กายสิทธิ์รุ่นผลิตจำนวนมากที่มีสื่อนำพลังเวทย์ระดับกลางๆซึ่งมีต้นทุนที่ต่ำเมื่อเทียบกับประสิทธิภาพที่ให้ จอมเวทย์ฐานะกลางๆระดับฝีมือบ้านๆส่วนมากต่างใช้ไม้กายสิทธิ์ชนิดนี้
เราทั้งคู่ต่างซื้อไม้กายสิทธิ์ซึ่งมีแกนกลางมาจากต้นบูราบารา
“อย่างน้อยเวลาจะร่ายเวทย์ ตั้งแต่นี้ไปก็ทำเป็นชี้ไม้ไปข้างหน้านะ”
“อ๊ะ ! มีเศษใบไม้ติดหัวพี่ริซด้วยล่ะ”
“อย่าเอาไม้กายสิทธิ์มาปัดผมพี่สิ”
ฉันย่อตัวลงให้หัวอยู่ในระดับที่มือของไอรินเอื้อมถึงได้ง่ายๆ
ไอรินที่เคยเขย่งเท้าเพื่อเอาไม้ปัดๆใบไม้บนหัวของฉันออกไปก็บ่นอุบอิบพลางหยิบใบไม้บนผมของฉันออก
“เอาไปใช้เกาหลังยังมีประโยชน์กว่าเลยค่ะ”
“ไม่ใช่ไม้เกาหลังนะ อย่าทำแบบนั้นสิ”
“ยุ่งยากจัง”
“น่าๆ ทนนิดนึง”
“…………….”
“ได้ไหม ?”
“เสร็จแล้วค่ะ !”
พอฉันเงยหน้าขึ้นมาก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างติดหัวอยู่
“นี่มัน ?”
พอมองไปยังกระจกที่อยู่ในร้านข้างทางก็พบดอกไม้สีฟ้าดอกหนึ่งติดอยู่บนผมของฉัน
“ไอริน ?”
“ดู…เป็นยังไงบ้างคะ ?”
ไอรินถามฉันด้วยท่าทางกล้าๆกลัวๆเล็กน้อย
“ไปเก็บมาตั้งแต่เมื่อไหร่หรอ ?”
“ก่อนหน้านี้ระหว่างที่พี่ริซกำลังเลือกซื้อไม้กายสิทธิ์ค่ะ”
ฉันหมุนคอซ้ายขวา เรือนผมสีชมพูส่ายไหวไปมาโดยที่มีดอกไม้สีฟ้าดูโดดเด่นอยู่ตรงกลาง
“ให้พี่หรอ ?”
“อะ…อะ อื้ม ?”
“งี้นี่เอง”
ฉันอมยิ้มเล็กน้อย ขณะที่มองไปยังดอกไม้สีฟ้าที่น้องสาวตัวน้อยอุตส่าห์เลือกให้
“ถ้าไม่ชอบล่ะก็….จะเอาออกก็ได้นะคะ”
“อย่าถามในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้สิ”
ฉันขยี้ผมของไอรินจนยุ่ง ก่อนจะหลับตาแล้วนาบหน้าผากของฉันและเธอเบาๆ
“รักเลยล่ะ….”
“อะ..อะ…อื้ม”
ไอรินกอดอกเบือนแล้วหน้าหนี ก่อนจะยื่นมือมาให้ฉัน
ใบหูของเธอมีสีแดงระเรื่อเล็กน้อย
“กะ กลับกันเถอะค่ะ”
“จ้ะ ”
ฉันปัดเส้นผมทัดหูทำให้ดอกไม้ที่ไอรินให้ดูโดดเด่นขึ้นมา พอมองดอกไม้และทรงผมในกระจกจนพอใจ ฉันก็กุมฝ่ามือเล็กๆที่นุ่มนิ่มและอบอุ่น ก่อนจะก้าวเดินไปพร้อมๆกัน
ท่ามกลางตะวันที่ใกล้จะหลับขอบฟ้า เงาของเราสองก็ทอดยาวออกไปบนเส้นทางของตลาดที่ใกล้จะวาย
“~ ♪”
เสียงฮัมเพลงที่ได้ยิน ยากจะเดาว่ามาจากฉันหรือเธอ หรือว่าเป็นเสียงของเราทั้งคู่กันแน่
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
หลังจากที่เดินมาถึงบ้านสองชั้นซึ่งทาด้วยสีฟ้าสลับขาวและมีหลังคาสีแดงสด
ฉันก็เคาะประตู ก่อนจะพูดว่าขออนุญาตค่ะ แล้วเปิดประตูเข้าไปข้างใน
ปัง !
“—-!!!”
พร้อมกับเสียงที่ดังสนั่นหวั่นไหว เศษกระดาษหลากสีก็กระจายใส่หน้าของเราทั้งสองคน
“ยินดีต้อนรับจ้า”
“ยินดีต้อนรับกลับ ”
““ —- ??? ””
สิ่งที่ต้อนรับการกลับมาของพวกเรา คือคุณหมอโยฮันและเมอลินที่ถือพลุกระดาษอยู่คนล่ะชิ้น
“ฮ่าๆ ตกใจล่ะสิ”
ข้างหลังเมอลินที่กำลังหัวเราะอยู่ คือ โต๊ะอาหารที่เต็มไปด้วยอาหารนานาชนิดเต็มโต๊ะไปหมด
ไม่ว่าจะมันฝรั่งบอด เนื้อไก่อบ ผักสลัด หรือแม้กระทั่งเค้กก้อนโต
“ทำไมถึง ?”
“งานเลี้ยงต้อนรับไง อุตส่าห์มีแขกมาบ้านของพวกเรานานๆที มันก็ต้องจัดงานเลี้ยงกันซักหน่อย”
“ไม่ใช่อย่างงั้นคะ…คือ พวกเราคงไม่ได้อยู่ที่นี่นานขนาดนั้น เพราะอย่างงั้น—”
“คิดมากน่า ขี้เกรงใจจริงๆ เด็กกำลังโต เพราะงั้นก็กินๆไปเถอะ”
เมอลินตบหลังของฉันพลั่กๆอย่างเป็นกันเอง พลางดันพวกเราทั้งสองคนไปที่โต๊ะอาหาร
“คุณหมอ…..”
ฉันมองไปยังเจ้าของบ้านหลังนี้ ชายวัยกลางคนหัวมันฝรั่งซึ่งยังคงมีรอยยิ้มอ่อนโยนเหมือนทุกครั้ง
“ทำไมถึง ?”
“ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลหรอก”
ทว่า เขากลับตอบคำถามของฉันสั้นๆราวกับรู้ว่าฉันจะถามอะไร
“การที่อยากให้เด็กๆมีความสุข ไม่จำเป็นต้องมีเหตุหรอก หมอก็แค่ทำในสิ่งที่หมออยากทำ เมอลินเองก็แค่อยากทำในสิ่งที่เธอคิดว่าสนุก มันก็เท่านั้นเอง ไม่ใช่หน้าที่ หรือ เรื่องที่ต้องคิดว่าเป็นหนี้บุญคุณหรอกนะ”
ระหว่างนั้นเอง เขาก็มองไปที่ไอรินซึ่งกำลังจ้องพลุกระดาษในมือของเขา
“ลองไหมละ ?”
ได้ยินดังนั้น ไอรินที่รับพลุกระดาษก็เอ่ยถามด้วยดวงตาเป็นประกาย
“ลองได้หรอ ?”
“ลองดูสิ…ดึงปลายเชือกที่อยู่อีกด้านหนึ่ง”
“อ๊ะ !”
ปัง !
เสียงระเบิดที่ดังสนั่น มาพร้อมกับกระดาษหลากสีที่กระจัดกระจายไปทั่วพื้น
“เห~ ก็น่าสนใจดี ”
“มีเหลืออีกนะ”
“อ๊ะ ! ขอหนูลองอีกอันนะ !”
แม้จะทำท่าเคร่งขรึมหลังยิงไปอันหนึ่ง พอคุณหมอยื่นให้อีกอัน ไอรินก็กลับมาทำตัวดี๊ด๊าอย่างกระตือรือร้น
เป็นภาพที่คล้ายกับตาหลานเล่นกันไม่มีผิด
ไม่รู้ทำไมภาพที่เห็นตรงหน้าถึงได้รู้สึกพร่ามัวขึ้นมานิดหน่อย
“ฮุๆ จะสวมกอดพี่สาวแล้วร้องไห้ออกมาก็ไม่มีใครว่านะ”
“อึก ! ฉันโตแล้วค่ะ ไม่ทำอะไรเป็นเด็กๆแบบนั้นหรอก”
“นั่นสิน้า ~ ♪ แต่ว่านะ สิ่งที่เรียกว่า ผู้ใหญ่น่ะ นั่นมันก็แค่เด็กที่โตขึ้นมาโดยมีสิ่งที่เรียกว่าความรับผิดชอบแบกอยู่บนหลังก็เท่านั้นเอง ”
“……………………”
“เพราะงั้น นั่นก็ไม่ได้แปลว่า จะร้องไห้ไม่ได้ซักหน่อยนี่นา”
“………………..”
เพราะภาพตรงหน้าเริ่มเห็นไม่ค่อยชัด ฉันเลยต้องรีบเอามือปาดหน้าเพื่อเช็ดหยาดน้ำอุ่นๆบริเวณขอบตา
ยากจะกลั้นริมฝีปากที่ค่อยๆบิดเบี้ยวอย่างช้าๆ
“ไว้จะคิดดูอีกทีล่ะกันคะ”
“โฮะๆๆๆ ไว้อยากให้โอ๋เมื่อไหร่ก็มาที่ห้องนอนพี่สาวได้ทุกคืนเลยเน้อ”
“ค่ะ……..”
ช่างเป็นน้ำเสียงหยอกเย้าที่ไม่น่าไว้ใจ แต่ก็ไม่ได้เกลียดหรอกนะ
“เฮ้อ…..”
ฉันตบแก้มสองสามที ก่อนจะประดับรอยยิ้มไว้บนหน้าอีกครั้ง
“คุณพี่สาวก็พยายามสู้ๆเข้าเน้อ”
เมอลินพูดกับฉันด้วยเสียงร่าเริงขี้เล่น หลังจากนั้นพวกเราทั้งสี่คนก็ทานอาหารร่วมกัน
เป็นมื้อที่หรูหราในแบบที่ไม่เคยกินมาก่อน แต่บางทีสิ่งที่ทำให้อาหารมื้อนี้อร่อยอาจจะมาจากบางสิ่งบางอย่างที่ไม่รู้จะสื่อว่ายังไงดีนอกจากคำว่า ‘อบอุ่น’
— นี่เป็นหนึ่งในความทรงจำอันมีค่าของการเดินทางอันแสนสั้นระหว่าง ฉัน และ เธอ ที่จะไม่มีวันลืมอย่างแน่นอน