ผลลัพธ์จากการฝึกโหดในดันเจี้ยนสุดเลวร้าย100000ปี จนกลายเป็น~ ผู้ที่ไร้ความสามารถที่สุดในโลก ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก~ - ตอนที่ 54 บท2ตอนที่25:ความจริงที่เหนือความคาดหมายแต่ไม่สลักสำคัญของปีศาจไก่อ่อน
- Home
- ผลลัพธ์จากการฝึกโหดในดันเจี้ยนสุดเลวร้าย100000ปี จนกลายเป็น~ ผู้ที่ไร้ความสามารถที่สุดในโลก ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก~
- ตอนที่ 54 บท2ตอนที่25:ความจริงที่เหนือความคาดหมายแต่ไม่สลักสำคัญของปีศาจไก่อ่อน
เจ้าแอสต้า หลายวันมานี้ ไม่ออกจากห้องแม้แต่ก้าวเดียว
เจ้านั่นพูดว่า ไม่จำเป็นต้องรับสารอาหารจากภายนอกเป็นพิเศษ เพราะปีศาจสามารถดำรงอยู่ได้ขอแค่เพียงดูดซับพลังเวทย์ในชั้นบรรยากาศ
ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ ทุกอย่างย่อมมีขีดจำกัด หลังจากไปปรึกษากับคุณนายเจ้าของโรงแรม ก็ยืนยันได้ว่าเจ้านั่นยังมีชีวิตอยู่
ปลดล็อกกุญแจและเข้าไปในห้อง
เสื้อผ้าถูกถอดทิ้งเรื่อราดตามพื้น หนังสือที่ให้ไปกองพะเนินบนโต๊ะและ สาวงามร่างเพรียวสวมกางเกงในตัวเดียวนอนเหยียดในสภาพหลับเป็นตายอยู่บนเตียง
“……เจ้านี่เป็นผู้หญิงหรอกเหรอ”
ดูแวบเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นอะไรเพราะเนินแฝดนั่นเป็นตัวยืนยันให้ยังไงล่ะ เอาเถอะ หน้าตาก็อย่างกับผู้หญิงด้วยสิ แถมเสียงก็สูงอย่างน่าประหลาดจนคิดว่าน่าขยะแขยง เอาเถอะ จริงอยู่ว่าเหนือความคาดหมายแต่จะยังไงก็ช่าง
ฉันเดินไปที่ริมหน้าต่างและผลักหน้าต่างไม้ออกอย่างแรง จากนั้นก็เดินไปคว้าไม้กวาดที่พิงอยู่ข้างถังไม้ตรงมุมห้อง และเริ่มตีด้วยด้ามจับของมัน
“เอ้า ตื่น! ตื่นได้แล้ว!”
แอสต้า หลี่ตาลงราวกับโดนแสงอาทิตย์สาดส่องและค่อยๆยกร่างท่อนบนขึ้นจากเตียง หาวฟอดใหญ่พร้อมกับหันไปรอบๆจนกระทั่งสบตากับฉัน
ก้มหน้าลงตรวจสอบสภาพเปลือยเปล่าของตัวเอง ทันใดนั้น ร่างกายของแอสต้าก็เปลี่ยนเป็นสีแดงราวกับผลไม้สด ส่งเสียงกรีดร้องราวกับนกประหลาดและมุดลงไปในผ้าห่ม
อื-ม พฤติกรรมของปีศาจนี่ให้ปฏิกิริยาเหมือนกับพวกเพื่อนสมัยเด็กของฉันอย่างกับแกะเลยแฮะ
“ชะ-ช่วยออกไปด้วย!”
“อืม ถ้าหลังจากนี้สัญญาว่าจะใช้ชีวิตอย่างถูกหลักอนามัยน่ะนะ”
“สัญญา!”
“เข้าใจแล้ว จะเชื่อก็แล้วกัน”
ในเมื่อเจ้าตัวบบอกแบบนั้น ก็มีแต่ต้องเชื่อเท่านั้น ถ้าขังตัวเองแบบนี้อีกก็แค่มาปลุกอีกก็เท่านั้น
ให้ตายสิ ก็ไม่ได้ห้ามให้ยัยนี่หมกมุ่นอยู่กับงานอดิเรกซะทีเดียวแต่ แค่อยากให้ยัยนี่ได้ใช้ชีวิตอิสระอย่างถูกหลักอนามัยก็เท่านั้น
ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ ออกจากห้องและลงไปชั้นหนึ่ง
ตอนที่กำลังจะกินข้าวเช้าในโรงอาหารของชั้นหนึ่งในโรงแรม แอสต้าก็ลงมา ถึงแก้มจะยังแดงระเรื่ออยู่แต่ ก็นั่งลงบนเบาะทางขวามือของฉันตามปกติ
“ถ้างั้น มาเริ่มสวดภาวนากันเถอะค่ะ”
โรสกับแอนนาเริ่มสวดภาวนาถึงพระเจ้า ต้องขอบคุณพระเจ้าก่อนกินข้าวด้วยเหรอ เป็นวิธีคิดที่สมกับเป็นชาวอเมเลียดี
แต่เดิม พวกฉันก็ไม่มีจิตศรัทธาอะไรแบบนั้นเป็นพิเศษอยู่แล้ว ฟาฟแกว่งขาไปมา น้ำลายไหลพร้อมกับจ้องมองเนื้อบนจานตรงหน้า รอคำอนุญาตจากฉัน
ส่วนแอสต้า อยู่ในสภาพเหล่ตามองฉันเป็นระยะพอฉันหันหน้าไปหาก็รีบละสายตา อยากจะทำอะไรกันแน่ ยัยนี่…
“ถ้างั้น มาเริ่มทานกันเถอะค่ะ”
หลังจากสวดภาวนาเสร็จ ถ้อยคำของโรสเป็นสัญญาณให้พวกฉันเริ่มตักอาหารเข้าปาก
“ไค ยินดีด้วยค่ะที่ชนะการประลองชิงชนะเลิศ รอบแรก เท่านี้เป้าหมายของพวกเราก็ลุล่วงแล้ว จะถอนตัวกลางคันในการประลองรอบต่อไปแล้วกลับเมืองบัลเซ่เลยไหมคะ?”
หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ โรสก็ยื่นข้อเสนอเหนือความคาดหมายแบบนั้น
ไม่รู้สาเหตุแต่ ยัยโรส สภาพเหมือนไม่อยากอยู่เมืองนี้ต่อยังไงไม่รู้ จากความคิดเห็นเมื่อกี้ เหมือนว่าถ้าอยู่เมืองนี้นานๆอาจทำให้เธอตกอยู่ในสถาณการณ์เสียผลประโยชน์ละมั้ง
“อุมุ ฉันจะไม่ยอมแพ้จนถึงที่สุด”
จนถึงรอบที่แล้วที่เจอกับ ดิ๊ก・บาม ก็คิดว่าจะยอมแพ้ให้มันจบๆไปอยู่หรอกแต่ เพราะพฤติกรรมของฝ่ายจัดงานประลองทำให้เปลี่ยนใจ จะดีหรือร้ายก็จะเข้าร่วมให้ถึงที่สุด
“แต่ว่า เป็นห่วงเด็กทาสคนนั้นด้วยสิ…”
“เรื่องอะไร กว่าจะถึงเส้นตายยังเหลือเวลาอีกตั้งเยอะ แถมจ่ายค่ามัดจำไปแล้วด้วย ยัยนั่นคงได้รับการปฏิบัติเหมือนขุนนางแหละ”
เจ้าของร้านนั่น เหมือนจะมีศักดิ์ศรีในฐานะพ่อค้าอยู่เหมือนกัน เหนือสิ่งอื่นใด เจ้าตัวคงไม่คิดจะโกหกเรื่องที่มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นอะไรแบบนั้นอย่างหน้าด้านๆหรอก เพราะงั้น มั่นใจเลยว่าตอนนี้เด็กทาสนั่นคงได้รับการดูแลเป็นอย่างดีแน่
“แต่ว่า มันก็ไม่แน่หรอกนะคะ?”
ตอบอย่างไวเลยนะ มองออกเลยว่าไม่อยากอยู่เมืองนี้ต่อขนาดไหน
“ถ้าเกิดอีกฝ่ายฉีกสัญญาละก็ แค่บดขยี้มันให้สิ้นซากก็พอ”
ฉันจะรับผิดชอบโดยการถล่มองค์กรนั่นไม่ให้เหลือแม้แต่เศษซากอยู่บนโลกนี้เอง
“บดขยี้เจ้าค่ะ!!”
พอฉันลูบหัวฟาฟที่ชูมือขวาที่ถือส้อมขึ้นฟ้า โรสก็หลี่ตามอง
“ถ้างั้น—”
ตอนที่เธอกำลังจะเปิดปากพูด
“ตามหาอยู่เลยค่ะ โรส”
เด็กสาวหูยาวคนหนึ่งยกมือขวาขึ้นพร้อมกับเดินเข้ามาหาพวกเรา อายุน่าจะประมาณ14-15ปี พอๆกับโรสแต่ ด้วยความที่ยังหลงเหลือความอ่อนเยาน์อยู่บนหน้า เรียกว่าน่ารักคงจะเหมาะกว่าสวย รูปร่างเล็กเพรียวบาง ผมสีเงินยาวสลวยถึงกลางหลัง โครงหน้าเรียวเล็กเข้ากับกระโปงสั้นและเสื้อสีขาวที่ใส่ได้อย่างลงตัว เรียกว่าชุดไปรเวท สินะ
(ชิ!)
โอ่ย โรส เมื่อกี้ เดาะลิ้นสินะ?
“มิลฟี่ มีธุระอะไรเหรอคะ?”
ไอ้เสียงขู่เหมือนแมวของโรสนี่ บอกตามตรงน่าขนลุกยังไงไม่รู้ ฟาฟที่อยู่ข้างๆสัมผัสถึงความแปลกประหลาดนั่นได้เลยเข้ามาเกาะเพราะงั้นฉันเลยลูบหัวให้เธอสบายใจ
“แน่นอน มาทักทายท่านที่อยู่ตรงนั้นละมั้ง”
เด็กสาวผมเงินที่ถูกเรียกว่ามิลฟี่ละสายตาจากโรส หันมาทางฉันและจับชายกระโปง จากนั้น
“ยินดีที่ได้รู้จัก มิลเฟย・เรนเรน・ลอเรไล ค่ะ”
โค้งคำนับหนึ่งครั้ง
“ไค ไฮเนมัน ไม่ต้องกลัวขนาดนั้นก็ได้ ไม่ได้จะจับกินสักหน่อย”
ยัยนี่กำลังยิ้มแต่หน้ากลับซีดราวกับขาดเลือด แถมร่างเล็กๆนั่นยังสั่นเป็นเจ้าเข้าอีก ตั้งแต่เมื่อก่อนก็น่าจะไม่เคยถูกพูดใส่เป็นพิเศษว่า หน้าตาแย่ นะ
“มะ-ไม่ค่ะ ไม่ได้กลัวสักหน่อยค่ะ!! คะ-แค่ประหม่านิดหน่อยเท่านั้นเองค่ะ!”
ทำเป็นเก่งอยู่เห็นๆ ไม่จำเป็นต้องดึงดันขนาดนั้นก็ได้
“แล้ว?มีธุระอะไร?คงไม่ได้มาแค่ทักทายเฉยๆใช่มั้ยล่ะ?”
ตอนนี้ฉันคือ ไอ้หน้าส้นตีนอันดับหนึ่งในเมืองนี้ ไม่มีทางที่จะมาแค่ทักทายฉันที่เป็นแบบนั้นเฉยๆแน่ คงมีจุดประสงฆ์อะไรสักอย่าง
“ช่วยทำสัญญากับฉันได้รึเปล่าคะ?”
“ไค—”
ฉันใช้มือขวาปิดปากโรสที่กำลังจะพูดและ
“จู่ๆก็พูดถึงสัญญาอะไรไม่รู้เลยนะ?เกี่ยวกับอะไรล่ะ?”
กล่าวถามอย่างตรงประเด็น
“สัญญาที่จะยอมรับฟังความปรารถนาของฉันแลกกับสิ่งที่ฉันจะชดเชยให้”
หืม?ไม่เข้าใจ แต่จากกระแสของบทสนทนาคงไม่ใช่สัญญาแบบลายลักษณ์อักษรสินะ ถ้างั้นก็หมายความว่า สัญญาเวทย์มนต์เหรอ เคยอ่านเจอในตำราว่า มีคุณสมบัติเวทย์มนต์ที่สามารถเชื่อมมนุษย์กับสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ด้วยข้อตกลงบางอย่างได้
หมายถึงแบบนั้นเหรอ?ถ้างั้น ยัยนี่คงกำลังเข้าใจผิดว่าฉันไม่ใช่มนุษย์อยู่แน่ เอาเถอะ จะอย่างไหนก็ช่าง คนที่ใช้เวทย์มนต์ที่มีคุณสมบัติไม่ได้อย่างฉัน เรื่องสัญญาอะไรนั่นคงเป็นไปไม่ได้ละนะ
“โทษที คงเป็นไปไม่ได้”
“งั้นเหรอคะ……”
มิวเฟย ไหล่ตกทำหน้าราวกับวันสิ้นโลก
ยัยนี่เป็นเอลฟ์ ก่อนที่จะถูกดูดเข้าไปในดันเจี้ยนนั่น ฉันก็อยากจะไปเที่ยวอณาจักรเอลฟ์ลอเรไล อยู่สักครั้งเหมือนกัน
หมายความว่าคนที่มีลอเรไลอยู่ในชื่อเป็นคนรู้จักของโรส เป็นไปได้สูงว่ามีความสัมพันธ์แบบราชวงศ์เหมือนกัน ถ้าอย่างงั้นก็อยากจะเลี่ยงความสัมพันธ์อันเลวร้ายนั่นมันซะตรงนี้
“ไม่ต้องจิตตกขนาดนั้นก็ได้ ฉันเป็นมนุษย์ แถมยังมีกิฟทย์อย่าง【ไร้ความสามารถที่สุดในโลก】ยิ่งไปกว่านั้นยังใช้ได้แค่เวทย์มนต์ไร้คุณสมบัติ เพราะงั้นสัญญาเวทย์มนต์อะไรนั่นคงเป็นไปไม่ได้”
“มนุษย์? คุณน่ะเหรอ?”
“ใช่แล้ว ใช่มะ พวกแก?”
พอถามแอสต้ากับฟาฟ
“นายท่านเป็นมนุษย์ เหรอเจ้าคะ?”
ฟาฟทำไมต้องตอบกลับเป็นประโยคคำถามด้วยล่ะ เวลาแบบนี้มันต้องตอบเห็นด้วยอย่างหนักแน่นสิ!
“มาสเตอร์ นี่ท่านคิดจริงๆเหรอว่าตัวเองเป็นมนุษย์น่ะ?”
แอสต้า ตกตะลึงทำหน้าราวกับไม่อยากจะเชื่อ
“นี่ฟังนะ แล้วเห็นฉันเป็นอย่างอื่นอีกรึไง?”
“ตั้งแต่หัวจรดเท้ามองยังไงก็เห็นเป็นแค่สัตว์ประหลาด”
ฟาฟกับแอสต้า พยักหน้าอืมๆ อะไรกันไอ้ความเข้าขาของเจ้าพวกนี้
“ฉันสนิทกับท่านแม่ของไค แถมท่านพ่อก็โตในราชอาณาจักรอเมเลีย ไค เป็นมนุษย์ไม่ผิดแน่ค่ะ”
โรสรู้จักกับแม่ด้วยเหรอ แม่ที่ไม่ชอบอยู่กับที่คนนั้นน่ะนะ คงเล่าเรื่องในอดีตของฉันให้โรสฟังอย่างไม่ลังเลแน่ ถ้างั้นเรื่องอดีตอันดำมืดของฉันก็คงหนีไม่พ้น
“เป็นมนุษย์จริงๆเหรอคะ……”
มิวเฟย กล่าวถามอย่างลังเลด้วยความสงสัย
“ก็บอกแบบนั้นไปตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่รึไง”
ฉันยืนยันอย่างมั่นใจ
“งั้นเหรอคะ……”
เธอจับคางและครุ่นคิด
“เข้าใจแล้วค่ะ โรสเรื่องเกี่ยวกับท่านผู้นี้มันใหญ่เกินกว่าที่ฉันจะเก็บไว้คนเดียว ขอไปปรึกษากับอาจารณ์นะคะ”
พอตอบกลับโรสไปแบบนั้น
“มะ-มิลฟี่ เดี๋ยว—”
“ถ้างั้น ท่านไค ไว้เจอกันใหม่นะคะ!”
มิวเฟย ยกมือขวาขึ้นเมินโรสและรีบออกจากโรงแรมไปอย่างดี๊ด๊า
เปลี่ยนสภาพทำเป็นเก่งก่อนหน้านี้จากหน้ามือเป็นหลังมือ กลับกัน ฝั่งโรสกลับกำลังกุมขมับ พอฉันหันไปถามแอนนาเกี่ยวกับพฤติกรรมแปลกๆของพวกโรส เธอก็ยักไหล่ด้วยสีหน้าสับสน ดูเหมือนแอนนาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันสินะ
ถ้างั้นคิดไปก็เปลืองสมอง ไม่เข้าใจคนหนุ่มสาวสมัยนี้เลยจริงๆ หวังว่าหลังจากนี้เข้าใจได้ก็คงจะดี
“ถ้างั้นฉันจะกลับไปที่ห้องอีกรอบ แอนนาฝากที่เหลือด้วยล่ะ”
ฉันฝากฝังแอนนาพร้อมกับหันไปตรวจสอบสภาพของโรสที่ยังพึมพำกับตัวเองอยู่ข้างๆ
“อืม เชื่อมือได้เลย”
ยิ้มหน้าบานพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้ หลายวันมานี้ ยัยนี่ก็ซื่อตรงขึ้นเยอะเลยเหมือนกัน ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ละก็ คงแค่พยักหน้าและหันหนีอย่างไม่สบอารมณ์แน่
สรูปง่ายๆ ยัยนี่ก็แค่ไม่ถูกกับคนแปลกหน้าเหมือนฟาฟกับแอสต้า ละมั้ง
ฉันลุกขึ้นจากที่นั่ง และเดินกลับขึ้นไปห้องของตัวเองที่อยู่ชั้นสองของโรงแรม