ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 5796 เป็นความจริง!(1)
ด้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน นิยาย บท 5796
คำพูดของเลขา ทำให้หลูจื้อเฉิงและหลูโหย่วเฟิงลูกชายได้ฟังจนอ้าปากค้างตกตะลึงเป็นอย่างมาก
ชื่อเสียงที่โด่งดังของซูซื่อกรุ๊ป พวกเขาย่อมเคยได้ยินมาก่อน ถึงอย่างไรภายนอกของตระกูลซู ยังไงก็คือตระกูลที่ทรงอำนาจมากที่สุดที่สุดของหัวเซี่ย ต้องอยู่ในระดับสุดยอดของประเทศอย่างแน่นอน
ในทางกลับกันจื้อเฉิงกรุ๊ป ถึงแม้ว่าจะเป็นกรุ๊ป แต่จนถึงตอนนี้แม้แต่ตลาดรองก็ยังปะปนเข้าไปไม่ได้ อย่าว่าแต่จัดอันดับในเตียนหนาน ที่เมืองผูเอ่อร์ ก็อยากที่นับเป็นธุรกิจที่มีชื่อเสียง
ต่อให้สองพ่อลูกจะฝัน ก็ไม่กล้าคิดว่าตนเองจะถูกตระกูลชั้นนำอย่างซูซื่อกรุ๊ปเทคโอเวอร์
อย่างไรก็ตาม ระดับของทุกคนต่างกันเกินไป สินทรัพย์ของซูซื่อกรุ๊ป มากกว่าจื้อเฉิงกรุ๊ปพันเท่าอย่างเหลือเฟือ
ดังนั้น หลูจื้อเฉิงจึงถามเลขาของตนด้วยใบหน้าเหลือเชื่อ: “แกไม่ได้ล้อเล่นกับฉันใช่ไหม? ซูซื่อกรุ๊ปจะคุยเรื่องการเทคโอเวอร์กับฉัน?”
เลขากล่าวด้วยใบหน้าน้อยใจ: “ท่านประธาน ผมจะล้อท่านเล่นได้ยังไงกันละครับ! ในสายเธอพูดแบบนี้จริงๆ อีกทั้งยังพูดว่าถ้าหากท่านสะดวกแล้วก็สนใจละก็ จะนัดวิดีโอคอนเฟอเรนซ์เพื่อคุยกันสักหน่อย”
หลูจื้อเฉิงกับหลูโหย่วเฟิงลูกชายสบตากัน จากนั้นเอ่ยปากถามลูกชาย: “โหย่วเฟิง แกคิดว่ายังไง?”
หลูโหย่วเฟิงลุกขึ้นทุบโต๊ะด้วยความโกรธอย่างไม่ลัง: “หลอกลวง! จะต้องเป็นแก๊งคอลเซนเตอร์แน่ๆ! แม่งเอ๊ย ไอ้พวกหลอกลวงทางตอนเหนือของพม่าช่างน่ารังเกียจจริงๆ! ทักษะการหลอกลวงนับวันจะยิ่งมืออาชีพขึ้นเรื่อยๆ! เมื่อก่อนยังสวมรอยเป็นผู้บริหารบริษัทหลอกให้บัญชีโอนเงิน ตอนนี้เริ่มเล่นมุกหลอกลวงว่าจะเทคโอเวอร์แล้ว!”
พูดไป เขาก็ด่าทอด้วยความโกรธ: “พ่อ พ่อว่าคนพวกนี้ ทำไมถึงไม่ยอมออกแบบรายละเอียดเค้าโครงเรื่องให้มันดีดีหน่อย? วิธีสวมรอยว่าจะเทคโอเวอร์นี้ค่อนข้างดีก็จริง แต่ว่ารายละเอียดไม่ค่อยสมจริงเท่าไหร่ อย่างไรก็ตามมันน่าจะสวมรอยเป็นบริษัทที่เป็นอุตสาหกรรมประเภทเดียวกันอย่างจวี้อี้กรุ๊ป เราก็อาจจะเชื่อมันสักหกสิบห้าเปอร์เซ็นต์ มันบอกว่าเป็นซูซื่อกรุ๊ปโต้งๆ คงคิดว่าชาวบ้านเขาเป็นไอ้โง่ละมั้ง ทำไมมันสวมรอยเป็นอีลอน มัสก์ซะเลยละ?”
หลูจื้อเฉิงอึ้งไปเล็กน้อย คิดว่าที่ลูกชายพูดมาก็มีเหตุผล
ดังนั้นเขาจึงนวดที่บริเวณขมับ กล่าวกับเลขาอย่างกลัดกลุ้มใจ: “แจ้งตำรวจเถอะ”
เลขากล่าวอย่างละอาย: “ท่านประธาน เขาก็ไม่ได้พูดอะไร ก็แค่เป็นการแสดงตัวตน บอกว่าถ้าหากท่านสนใจจะถูกเทคโอเวอร์ ทุกคนก็นัดวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์กันสักหน่อย ถ้าหากผมแจ้งความ จะบอกกับตำรวจว่ายังไงครับ……”
หลูจื้อเฉิงโบกมือ: “ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องสนใจมัน!”
เลขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรอยู่ครู่หนึ่ง
หลูจื้อเฉิงเห็นว่าเขายังไม่ไป กล่าวอย่างอดไม่ได้: “แกยังอยู่ที่นี่ทำอะไรอีก? ออกไปทำงานของแกซิ!”
เลขากระแอมสองที กล่าวอ้อมแอ้ม: “คือว่า……ท่านประธาน…..ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่เหมือนพวกหลอกลวง เขาพูดจามืออาชีพมาก แก๊งคอลเซนเตอร์พม่าตอนเหนือพวกนั้น ล้วนเป็นพวกที่อ่านหนังสือได้ไม่กี่ตัว ในประเทศพวกที่ไม่รู้หนังสือก็จะไม่มีข้าวกิน การพูดจาจะต้องไม่มืออาชีพแบบนั้นแน่นอน……”
พูดไป เขากล่าวถามอย่างกล้าๆกลัวๆ: “ท่านประธาน เขาบอกว่าอยากจะนัดวิดีโอคอนเฟอเรนซ์สักหน่อย เราไม่ลองดูละครับ? อย่างไรก็ต้องเผยโฉมอยู่แล้ว ก็ไม่ได้เสียเปรียบ ตกหลุมพรางอะไร……”
หลูจื้อเฉิงย้อนถามเขา: “ฉันถามแก แกคิดว่าซูซื่อกรุ๊ปจะเทคโอเวอร์กรุ๊ปพวกเราไปทำไม? ยังจะเลขาประธาน! แกรู้ไหมว่าเลขาประธานคืออะไร?”
เลขาพยักหน้า กล่าวอย่างน้อยใจ: “ผมรู้ครับ ผมก็เป็นเลขาประธานของท่านประธานไม่ใช่เหรอครับ……”
หลูจื้อเฉิงกล่าวอย่างโมโห: “เลขาประธานอย่างแกมันก็เป็นแค่ของก๊อบ ประธานแบบฉันล้วนเป็นของก๊อบ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแก? แต่ซูซื่อกรุ๊ปเขา นั่นเป็นระดับชั้นอะไร? เลขาประธานของซูซื่อกรุ๊ป นั่นคอยให้บริการท่านประธานของซูซื่อกรุ๊ป ผู้นำตระกูลตระกูลซูโดยเฉพาะ!”
พูดไป เขาก็กล่าวอีก: “แกลองคิดดู ภายใต้สถานการณ์แบบไหน จะทำให้เลขาประธานของซูซื่อกรุ๊ปโทรศัพท์มาหาพวกเราแล้วพูดว่าจะเทคโอเวอร์พวกเรา? นั่นเป็นถึงท่านประธานของซูซื่อกรุ๊ป ผู้นำตระกูลตระกูลซูแจ้งเจตนารมณ์ด้วยตนเอง เธอถึงจะโทรศัพท์มาหาพวกเรา! แกน่าจะเคยดูใช่ไหม? ซานเต๋อจื่อในเรื่องถ้าหากจะออกไปทำธุระนอกวัง เรื่องที่ทำนั่นจะต้องเป็นเรื่องที่ฮ่องเต้มอบหมายให้อย่างแน่นอน ดังนั้นแกคิดว่า ประธานบริษัทของซูซื่อกรุ๊ป อยู่ๆนึกอยากจะเทคโอเวอร์พวกเรา?”