ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 5764 ตราบใดที่เพียรพยายามอย่างหนัก เมื่อนั้นก็จะประสบความสำ
- Home
- ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน
- บทที่ 5764 ตราบใดที่เพียรพยายามอย่างหนัก เมื่อนั้นก็จะประสบความสำ
ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน นิยาย บท 5764
เมื่อได้รับคำเชื้อเชิญจากชายหนุ่มคนที่มีนามว่า ” เหล่าหู ” คนนั้นเเล้ว เย่เฉินจึงตอบตกลงด้วยความยินดีปรีดาเป็นอย่างยิ่ง เขากล่าวด้วยสีหน้ายิ้มเเย้มว่า ” ถ้าเช่นนั้นเเล้ว พวกเราสองคนก็ไม่เกรงใจเเล้วนะครับ ! ”
เหล่าหูหัวเราะชอบใจพลางตอบกลับ ” เฮ้ ! คุณอย่าได้เกรงอกเกรงใจไปเลย พวกเราต่างก็เป็นเพื่อนฝูงที่มาจากทั่วทุกสารทิศ การดูแลซึ่งกันและกันก็เป็นธรรมเนียมอันดีงาม ที่พวกเราชาวนักเดินทางท่องเที่ยวจะพึงปฏิบัติต่อกันอยู่เเล้ว ”
ขณะที่เขากำลังพูดอยู่นั้น เขาก็เอ่ยถามเย่เฉินต่อไปอีกว่า ” สหาย คุณชื่ออะไรเหรอ ? ”
จังหวะที่เย่เฉินกำลังจะเอ่ยปาก หลินหว่านเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ กัน พลันพูดด้วยรอยยิ้มขึ้นมาก่อน ” แฟนของฉันเป็นคนสกุลหลิน เขาชื่อว่าหลินเฉิน ทุกคนเรียกเขาว่าอะเฉินก็ได้ค่ะ ! ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เย่เฉินจึงนิ่งชะงักไปชั่วครู่ เขาพอจะเข้าใจความหมายของหลินหว่านเอ๋อร์เเล้ว เพราะการที่พวกเขาได้มาอยู่ที่นี่เพื่อรอการมาเยือนของอู๋เฟยเยี่ยนนั้น ไม่ว่าจะเป็นชื่อที่มีสองพยางค์อย่างเย่เฉิน หรือว่าจะเป็นชื่อที่มีสามพยางค์อย่างหลินหว่านเอ๋อร์ อู๋เฟยเยี่ยนจะต้องคุ้นเคยกับทั้งสองชื่อนี้อย่างแน่นอน ดังนั้น ทางที่ดีที่สุดคือพยายามอย่าใช้ชื่อจริงของพวกเขาจะดีกว่า
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขาไม่ได้คาดคิดเอาไว้ก็คือ การที่หลินหว่านเอ๋อร์กลับตั้งชื่อปลอมให้เขาว่า ” หลินเฉิน ” มิหนำซ้ำยังตั้งชื่อเล่นให้เขาว่าอะเฉินอีกด้วย
เขาแอบคิดในใจคนเดียวว่า ” ให้เรียกว่าอะเฉิน อย่างนั้นรึ ? ทำไมชื่อนี้มันฟังดูเหมือนเป็นช่างตัดผมเลยล่ะ ”
ในเวลานั้นเอง หลินหว่านเอ๋อร์ยังได้กล่าวต่อหน้าสาธารณชนอีกว่า ” ส่วนฉันเป็นคนสกุลเย่ ชื่อว่าเย่เสี่ยวหว่าน ทุกคนเรียกฉันว่าเย่จื่อก็ได้ค่ะ ”
ทุกคนพากันพยักหน้าเป็นการตอบรับ เเล้วคนที่มีนามว่าเหล่าหูจึงเอ่ยขึ้นพร้อมด้วยรอยยิ้ม ” อะเฉิน เย่จื่อ ยินดีต้อนรับพวกคุณเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวใหญ่ของ ‘ กลุ่มคนพเนจรแห่งเตียนหนาน ‘ ของพวกเรา พวกเราทุกคนต่างก็มาเดินป่ากันที่เตียนหนาน ซึ่งก่อนหน้านี้พวกเราก็ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เเต่ก็ได้มาพบเจอกันในระหว่างการเดินป่า ตั้งเเต่ตอนนั้นเป็นต้นมา พวกเราก็ร่วมเดินทางท่องเที่ยวพเนจรไปด้วยกันจนถึงตอนนี้ ”
ในระหว่างที่เขากำลังพูดอยู่นั้น เขาจึงเริ่มเเนะนำตัวเอง ” ผมชื่อว่าหูเล่อฉี เล่อฉีที่หมายถึงสนุกสนานร่าเริงนั่นแหละ แต่ชื่อนั้นออกจะฟังดูเป็นผู้หญิงไปสักหน่อย ผมก็เลยให้เพื่อนๆ ที่รู้จักผม เรียกผมสั้นๆ ว่าเหล่าหู ”
หลังจากนั้น เขาก็หันไปโอบกอดหญิงสาวที่อยู่ข้างๆ กันด้วยความอ่อนโยน พร้อมกับเเนะนำหญิงสาวที่เป็นต้นคิดที่จะจัดปาร์ตี้รอบกองไฟก่อนหน้านี้ ” คนนี้คือซูหลาน เป็นแฟนของผมเอง เเละยังเป็นนักศึกษาดีเด่นของมหาวิทยาลัยชิงฮว๋าด้วยนะ พวกเรารู้จักกันตอนเดินป่าครั้งนี้นี่เอง แล้วก็ตัดสินใจที่จะคบหาดูใจกัน ”
เมื่อหูเล่อฉีแนะนำตัวเองไปเเล้ว คนอื่นๆ ก็ทยอยเเนะนำตัวกันทีละคน จากนั้น เขาก็พูดเสนอตัวขึ้นมาอย่างสมัครใจว่า ” อะเฉิน ผมว่าคุณคงไม่ค่อยได้ออกไปเดินป่าและตั้งแคมป์บ่อยนัก ให้ผมช่วยพวกคุณกางเต็นท์ก่อนดีกว่าไหม ! ”
เย่เฉินจึงกล่าวขอบคุณ ” ขอบคุณมากเลยสหาย เดี๋ยวผมจัดการเองดีกว่า คงไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะครับ ”
หูเล่อฉีกล่าวด้วยท่าทางจริงจัง ” มีอะไรให้ช่วยบอกมาได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจเลย ! ”
เย่เฉินพยักหน้าตอบเพื่อเเสดงถึงความขอบคุณ ทว่า ในใจของเขากลับรู้สึกละอายแก่ใจอยู่ไม่น้อย
นั่นเพราะมีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่จะรู้ว่า คนเหล่านี้นับว่าเขาเป็นเพื่อนที่ได้พบเจอกันโดยบังเอิญ หากเเต่ตัวเขานั้น กลับต้องการใช้ประโยชน์จากพวกเขาในการเป็นเกราะกำบังให้ตัวเขากับหลินหว่านเอ๋อร์เท่านั้น มันออกจะไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด
บรรดาคนหนุ่มสาวที่คลั่งไคล้การเดินป่าเเละแคมป์ปิ้ง มักมีลักษณะนิสัยที่เป็นมิตรเเละเข้ากับผู้อื่นได้ง่ายมากอยู่เเล้ว โดยพื้นฐานแล้วก็เป็นจำพวกที่มีลักษณะนิสัยที่สามารถเข้าสังคมได้ดี เนียนได้ทุกสถานการณ์อะไรทำนองนั้น ยิ่งไปกว่านั้น คนหนุ่มสาวเหล่านี้ต่างก็กระตือรือร้นที่จะต้อนรับขับสู้เย่เฉินเเละหลินหว่านเอ๋อร์เป็นอย่างดี ดังนั้น ทุกคนจึงพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ด้วยบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความคึกคักครื้นเครงอย่างรวดเร็ว
ดูเหมือนหูเล่อฉีจะมีความเป็นผู้นำมากในหมู่คนกลุ่มนี้ ซึ่งจะเห็นได้ว่าทุกคนต่างก็ให้ความเคารพเลื่อมใสในตัวเขามากพอสมควร เมื่อเย่เฉินเห็นว่าอายุอานามของเขาก็น่าจะยังไม่มากสักเท่าไหร่ เขาจึงเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น ” เหล่าหู คุณยังเรียนอยู่หรือว่าทำงานแล้วล่ะ ? ”
หูเล่อฉีพยักหน้าพลางกล่าวว่า ” ผมยังเป็นนักศึกษาอยู่ ผมเป็นอเมริกันเชื้อสายจีน ก่อนหน้านี้ผมก็เรียนอยู่ที่สหรัฐอเมริกา เเต่ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนไม่ใช่เหรอ ก็เลยอยากกลับประเทศมาท่องเที่ยวเดินป่า ชื่นชมทัศนียภาพความงามของแม่น้ำและภูเขาของมาตุภูมิอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนสักหน่อย ”
หูเล่อฉียังกล่าวต่อไปอีกว่า “จะว่าไปแล้ว พวกเราทุกคนก็ยังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยกันทั้งนั้น ผม ซุนจิ่งเเละหม่าหลินเชา พวกเราสามคนเรียนอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ซูหลานกับพวกเสี่ยวปอพวกเขาสามคนเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยชิงฮว๋า ไห่เผิงกับลี่จิ่นเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง เเล้วก็มีบางคนเรียนอยู่ที่อังกฤษและแคนาดา พวกคุณสองคนล่ะ ? ”
เย่เฉินตอบอย่างเป็นกันเองว่า ” พวกเราสองคนเป็นเพื่อนร่วมชั้นสมัยเรียนอยู่มัธยมปลาย ตอนเรียนอยู่มัธยมปลายก็มัวแต่หมกมุ่นอยู่กับการออกเดทคบกันเป็นแฟน ไม่ได้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน จนสุดท้ายก็เลยสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้น่ะ ต่อมาผมจึงไปที่เย่นจิง เพื่อเข้ามหาวิทยาลัยเอกชนกระจอกๆ ที่ไม่ต้องใช้คะแนนใดๆ เเล้วก็ไปเตร็ดเตร่อยู่ที่นั่นสองปี ยังไม่ทันเรียนจบก็เลิกเรียนไปเสียก่อน ”
หลินหว่านเอ๋อร์มองไปที่เย่เฉินด้วยความไม่สบอารมณ์ ทั้งยังแอบคัดค้านคำพูดของเขาด้วยความขุ่นเคืองอยู่ในใจด้วยว่า ” คำพูดของคุณชายประโยคนี้ ทำให้ใบปริญญาและวุฒิการศึกษานับสิบนับร้อย ที่ข้าน้อยได้รับตลอดหลายปีมานี้ ดูจะไร้ความหมายไปเลยสินะ…
ในความเป็นจริงเเล้ว การที่เย่เฉินพูดไปแบบนั้น ก็เพื่อสร้างความประทับใจตั้งแต่แรกพบให้พวกเขาเหล่านั้นได้เห็นว่า เขากับหลินหว่านเอ๋อร์เป็นเพียงนักเรียนห่วยๆ ที่ไม่เอาถ่าน มิฉะนั้นเเล้ว ทุกคนก็คงจะมุ่งประเด็นการสนทนาไปที่หัวข้อเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยอย่างไม่จบไม่สิ้นเป็นแน่ ทั้งสองจึงเกรงว่า ความลับของพวกเขาจะถูกเผยไต๋ออกมาได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าพวกเขาจะบอกว่าเรียนจบมาจากมหาวิทยาลัยไหน หรือกำลังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยไหนก็ตาม หากคนเหล่านั้นบอกว่าพวกเขามีคนรู้จักเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยนั้นๆ นั่นก็คงทำให้การสนทนาดำเนินต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
และการที่เขาบอกว่าตนเองนั้นเรียนที่มหาวิทยาลัยเอกชนกระจอกๆ หนำซ้ำยังเรียนไม่จบอีก จะเป็นการสร้างจิตใต้สำนึกให้กับคนเหล่านี้ โดยทำให้พวกเขาคิดว่า พวกเขาทั้งสองคงมีความน้อยเนื้อต่ำใจในเรื่องที่เกี่ยวกับสถานที่เรียนของตนเอง ดังนั้น พวกเขาก็คงจะไม่พยายามซักถามในเรื่องเหล่านั้นไปโดยปริยาย เเละพูดคุยถึงหัวข้อเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยให้น้อยลง ซึ่งนั่นจะช่วยหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่ความลับของพวกเขาจะถูกเปิดเผยได้
เเละก็จริงดังคาด ทันทีที่เย่เฉินบอกว่าเขาและหลินหว่านเอ๋อร์ แม้กระทั่งมหาวิทยาลัยเอกชนกระจอกๆ พวกเขาทั้งคู่ก็ยังเรียนไม่จบเลยด้วยซ้ำ คนเหล่านั้นก็รู้ได้ทันทีเลยว่ารู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร เเละไม่ถามคำถามเกี่ยวกับเรื่องมหาวิทยาลัยอีก
หูเล่อฉียังกลัวด้วยว่าเย่เฉินเเละหลินหว่านเอ๋อร์จะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะปัญหาเรื่องการเรียนมหาวิทยาลัย เขาจึงกล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มว่า ” อันที่จริง มันไม่สำคัญหรอกว่าจะได้เข้ามหาวิทยาลัยดีๆ หรือไม่ และก็ไม่ได้สำคัญว่าจะต้องเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของคนเรา คือการใช้ชีวิตให้มีความสุขต่างหากล่ะ ”
” ใช่เเล้วล่ะ ” ซูหลานแฟนสาวของหูเล่อฉี ก็พลอยพูดเออออคล้อยตามเขาไปด้วย ” ที่จริงเเล้ว การเรียนนี่มันน่าเบื่อมากเลยนะ พ่อแม่ของฉันเคี่ยวเข็ญฉันเรื่องเรียนมาตั้งแต่สมัยอยู่ชั้นอนุบาล จนกระทั่งฉันสอบเข้ามหาวิทยาลัยชิงฮว๋าได้ ก็ยังมิวายที่จะเคี่ยวเข็ญฉันอย่างเอาเป็นเอาตาย ให้ฉันเตรียมตัวเข้าเรียนปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดอีก ในที่สุดเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ฉันก็ได้รับหนังสือตอบรับเข้าเรียนต่อจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดสมความปรารถนา แต่ผลสุดท้าย พอฉันจองตั๋วเครื่องบินเพื่อเตรียมบินไปสหรัฐอเมริกาในเดือนนี้ ฉันกลับตรวจพบเนื้องอกในสมอง ซึ่งมันไปเจริญเติบโตอยู่ที่ก้านสมองเเละไม่สามารถทำการผ่าตัดได้ ไม่รู้ว่าฉันจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานแค่ไหน เเละในที่สุดพวกเขาก็ตระหนักได้ว่า การเคี่ยวเข็ญให้ลูกมีอนาคตทางการศึกษายาวไกล ก็ไม่ได้สำคัญไปกว่าการที่ลูกของพวกเขามีสุขภาพสมบูรณ์แข็งเเรง “