ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 5689 จะไม่ทิ้งไว้ไม่ดูแล(1)
ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน บทที่ 5689 จะไม่ทิ้งไว้ไม่ดูแล(1)
ไม่กี่นาทีต่อมา ลูกน้องทั้งหมดในโฮมสเตย์จื่อจิน ก็กลับไปที่ห้องของตัวเอง
เหล่าจางที่ระมัดระวัง ถึงกับให้ชิวอิงซานสั่งให้คนหยุดตรวจสอบกล้องที่โฮมสเตย์จื่อจินชั่วคราว เพราะยังไงก็เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของคุณหนู ทิ้งเงื่อนงําใด ๆ ไม่ได้
หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เหล่าจางก็รายงานหลินหว่านเอ๋อร์ทาวโทรศัพท์ จากนั้นหลินหว่านเอ๋อร์จึงพูดกับเย่เฉินว่า:“คุณชาย พวกเหล่าจางเตรียมพร้อมแล้ว พวกเราลงไปกันเถอะ”
เย่เฉินพยักหน้า พูดอย่างเกรงใจว่า:“ขอบคุณคุณหลิน”
หลินหว่านเอ๋อร์ยิ้มหวานไปว่า:“คุณชายไม่ต้องเกรงใจข้าน้อยหรอกค่ะ”
เย่เฉินรับรูปภาพไว้ เดินออกจากลานบ้านชั้นบนสุดพร้อมกับหลินหว่านเอ๋อร์
เดินออกไปที่หน้าลานบ้าน เขาก็เห็นชายชราทั้งสามยืนเคียงข้างกันด้วยความเคารพ ที่ปลายบันไดหินยาวด้านล่าง
สิ่งที่ทำให้เย่เฉินเเย่ไม่คาดคิดก็คือ ในนั้น มีคนที่มีชื่อเสียงที่มักจะเห็นในทีวีบ่อย ๆ นั่นก็คือซุนจือต้งจากจิงเฉิง
เมื่อเขายังเด็ก มักจะได้ยินผู้อาวุโสพูดถึงเรื่องราวชีวิตที่เป็นเป็นแรงบันดาลใจของคนนี้ และยังเคยไปเยี่ยมเยียนเขากับพ่อด้วยซ้ำ แต่วันนี้เพิ่งจะรู้ว่า ที่แท้เขา ก็คือเด็กกำพร้าที่หลินหว่านเอ๋อร์รับอุปการะ
เย่เฉินและหลินหว่านเอ๋อร์ลงบันไดหินไปด้วยกัน ชายชราทั้งสามพูดกับหลินหว่านเอ๋อร์ด้วยความเคารพว่า:“สวัสดีครับคุณหนู”
พูดจบ ก็มองไปที่เย่เฉิน พูดด้วยความเคารพเช่นกัน:“สวัสดีคุณเย่!”
เย่เฉินอึดอัดทันที เพราะอายุสามคนนี้รวมกันแล้วก็เกือบ ของพวกเขาทั้งสามคนก็เกือบ 300 แล้ว เกรงใจตัวเองที่อายุยี่สิบแปดแบบนี้ จึงรู้สึกไม่ค่อยดีนัก
ดังนั้นเย่เฉินจึงกล่าวด้วยความเคารพว่า:“สวัสดีทั้งสามท่าน”
ซุนจือต้งมองเย่เฉิน อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ:“คุณเย่ดูเหมือนพ่อจริง ๆ อย่างที่โบราณว่าไว้เลย พ่อเป็นเสือลูกไม่เป็นหมา!”
เย่เฉินพูดด้วยความเคารพว่า:“คุณปู่ซุน ตอนเด็กผมเคยตามพ่อไปเยี่ยมคุณที่บ้าน ไม่รู้ว่าคุณยังจำได้ไหม”
ซุนจือต้งพยักหน้าและพูดว่า:“จำได้ จำได้แน่นอน พ่อแม่คุณพาคุณมา เคยทานอาหารเย็นที่บ้านผม ผมยังจำเหตุการณ์ตอนนั้นได้ดี ไม่คิดว่าจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว”
พูดไป ซุนจือต้งก็พรรณนาไม่หยุด:“พ่อของคุณเย่ มีพรสวรรค์มากจริง ๆ ตอนนั้นเขาคุยกับผมบ่อยมากเกี่ยวกับทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจโลกและการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบโลก มีวิสัยทัศน์ยาวไกล ประเมินสถานการณ์ได้แม่นยำ เป็นเพียงคนเดียวที่ผมพบเจอ แต่น่าเสียดายที่ ฟ้าดินพรากชีวิตเขาไปเร็ว!”
เย่เฉินก็ถอนหายใจในใจเช่นกัน
เขาเคยได้ยินพวกผู้ใหญ่พูดถึงซุนจือต้ง ตอนนั้นเมื่อพ่อกลับประเทศมาแล้วมีความทะเยอทะยาน ที่จริงซุนจือต้งต้องการร่วมมือกับเขามาโดยตลอด แต่น่าเสียดาย ต่อมาจู่ ๆ พ่อก็มีความขัดแย้งที่ลงรอยกันไม่ได้กับตระกูลเย่ จึงไปจากตระกูลเย่ แล้วไปที่จินหลิง
เย่เฉินถอนหายใจ กำลังจะพูดอะไร ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าซุนจือต้งดูกำยำ แต่จริง ๆ แล้วลมหายใจนั้นแย่มาก ดูเหมือนจะหมดเรี่ยวแรง น่าจะอีกไม่กี่เดือน คงเสียด้วยโรคชรา
ดังนั้น เขาจึงพูดว่า:“คุณปู่ซุน สภาพร่างกายของคุณ ดูไม่ค่อยดีนัก”
ซุนจือต้งตกตะลึง ถามด้วยความตกใจว่า:“คุณเย่มองออกได้อย่างไร?”
เย่เฉินพูดอย่างถ่อมตัว:“ศิษย์น้อยรู้วิชาแพทย์มาบ้าง”
พูดไป ในใจเขาก็อดบ่นไม่ได้ ทั้งสามอายุมากแล้ว ใกล้จะจากไปแล้วจริง ๆ
ในหมู่พวกเขา ซุนจือต้งเหลือเวลาอีกไม่กี่เดือนที่จะมีชีวิตอยู่ ส่วนชิวอิงซานกับจางเต๋อไฉ ดูแล้วอย่างมากน่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกสองสามปี
ตอนนี้เองซุนจือต้งก็พูดอย่างถอนหายใจ:“เมื่ออายุเท่าผมแล้ว อะไร ๆ ก็เริ่มไม่ทำงาน ร่างกายแย่ลงเป็นเรื่องปกติ”
เย่เฉินพยักหน้าเบา ๆ ในใจคิดว่า หลินหว่านเอ๋อร์เป็นผู้มีพระคุณของตัวเอง พระคุณนี้ตัวเองควรจะตอบแทน และสามคนนี้ ก็ยังเป็นเด็กที่หลินหว่านเอ๋อร์รับมาเลี้ยงด้วย ในระหว่างนั้น ซุนจือต้งที่สถานการณ์รุนแรงอยู่ไม่ได้อีกนานแล้ว ก็แสดงความรู้สึกของตัวเอง
ยิ่งไปกว่านั้น ซุนจือต้ง ก็ยังถือว่าเป็นคนดีมีน้ำใจต่อพ่อตัวเองด้วย
ดังนั้นสถานการณ์แบบนี้ เขาจะมองดูอยู่เฉย ๆ ไม่ได้
ดังนั้น เขาจึงพูดว่า:“ท่านทั้งสาม คืนนี้คิษย์น้องมีเรื่องที่ต้องจัดการด่วน รอผมจัดการเรื่องพวกนี้แล้ว จะไปเยี่ยมเยียนทั้งสามท่านอีกครั้ง ถึงตอนนั้นผมจะเตรียมโอสถที่สามารถบำรุงสุขภาพของทั้งสามคนได้เอาไว้ให้ ผมเชื่อว่ามันจะเป็นประโยชน์กับทั้งสามคน”
ทั้งสามงงเล็กน้อย
พวกเขาไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับเย่เฉิน รู้เพียงว่าเย่เฉินคือผู้มีพระคุณที่หลินหว่านเอ๋อร์พูดถึง ดังนั้น พวกเขาจึงไม่รู้ว่า โอสถของเย่เฉิน ได้ผลอย่างไร