ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 5678 ต้องฆ่าให้ราบคาบ! (2)
ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน บทที่ 5678 ต้องฆ่าให้ราบคาบ! (2)
อู๋เฟยเยี่ยนรู้สึกพึงพอใจมากกับท่าทีของทั้งสามคนมาก สิ่งที่เธอต้องการคือการที่ทั้งสามคนเชื่อฟังคำสั่งของตน มิฉะนั้น เธอคงไม่สอนทั้งสามถึงวิธีการทะลวงจุดหนีว๋านอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ วิชาที่อู๋เฟยเยี่ยนถ่ายทอดให้กับพวกเขาก็ไม่สมบูรณ์
แม้ว่าพวกเขาจะเก็บตัวถือศีลมาเป็นเวลาร้อยปีแล้ว หากอู๋เฟยเยี่ยนไม่ได้ให้ความช่วยเหลือจากภายนอกในช่วงหลัง พวกเขาทั้งสามก็จะไม่สามารถบุกทะลวงจุดหนีว๋านได้ ไม่ว่าวิธีใดก็ตาม
แม้จุดหนีว๋านจะอยู่ตรงหน้าพวกเขา แม้ว่าจะถูกกั้นด้วยกระดาษบางๆ เสมือนหน้าต่างชั้นสุดท้ายเท่านั้น แต่หากไม่มีอู๋เฟยเยี่ยน พวกเขาจะไม่สามารถทะลวงผ่านชั้นสุดท้ายนี้ไปได้
แต่พวกเขาทั้งสามไม่มีใครรู้เรื่องนี้เสียด้วยซ้ำ
ดังนั้นในสายตาของอู๋เฟยเยี่ยน หากทั้งสามคนให้ความสำคัญกับการบ่มเพาะมากกว่าคำสั่งของเธอในตอนนี้ เธอก็ควรจำกัดการทะลวงในขั้นสุดท้ายของพวกเขา เพื่อไม่ใหทั้งสามควบคุมพลังได้หลังจากทะลวงจุดหนีว๋าน
อู๋เฟยเยี่ยนพูดกับพวกเขาทั้งสามทันทีว่า “ช่วงนี้ องค์กรพั่วชิงมีศัตรูมากมายทีเดียว หลังจากที่พวกคุณเก็บตัวถือศีล สามในสี่เอิร์ลที่ฉันฝึกฝนได้เสียชีวิตลง แต่ตัวตนของศัตรูเป็นใครเราก็ยังไม่รู้”
ทั้งสามมองหน้ากัน สีหน้าเคร่งเครียด
พวกเขาเดาได้ว่าองค์กรพั่วชิงอาจเจอเข้ากับเรื่องแย่ แต่คิดไม่ถึงว่าจะแย่ขนาดนี้
ดังนั้นอู๋โพหลินจึงพูดโดยไม่ลังเลว่า “ผู้มีพระคุณ พวกเราสามคนเต็มใจที่จะช่วยคลายความกังวลนี้ของท่าน!”
อู๋เฟยเยี่ยนพยักหน้าเล็กน้อย พูดว่า “เวลามีไม่มากแล้ว ทั้งสามคนตามเทียนหลินไปเตรียมตัวก่อน อีกหนึ่งชั่วโมงเครื่องบินจะพาพวกนายไปที่จินหลิง”
หลังจากพูดจบ เธอก็หันกลับมาเรียกอู๋เทียนหลินที่อยู่นอกประตู พูดกับทั้งสามคนว่า “นี่คือเทียนหลิน ลูกชายคนโตของอวี้เฟิง”
เมื่อทั้งสามคนได้ยินเช่นนั้นก็ประหลาดใจทันที
อู๋อวี้เฟิงเป็นหลานชายคนโตของพวกเขา และเป็นลูกชายคนโตของตระกูลอู๋ในรุ่นนั้น
ลูกชายคนโตของตระกูลอู๋ในรุ่นนั้น ทุกคนได้รับการเลี้ยงดูโดยพ่อแม่ของอู๋เฟยเยี่ยน พวกเขาทั้งสามคิดไม่ถึงว่าลูกชายของหลานชายจะกลายเป็นคนชราแบบนี้ไปแล้ว
ขณะนี้อู๋เทียนหลินทักทายพวกเขาทั้งสามด้วยความเคารพ ก่อนพูดด้วยท่าทีนอบน้อมว่า “ผมอู๋เทียนหลิน หลานชายของตระกูลอู๋ ยินดีที่ได้พบกับคุณปู่ทั้งสาม!”
ทั้งสามคนยื่นมือออกไปอย่างรวดเร็วและยกมือขึ้นรับไหว้ด้วยท่าทางสุภาพ
แม้ว่าอู๋เทียนหลินจะเป็นรุ่นลูกหลาน แต่ทั้งสามคนก็ชัดเจนว่าพวกเขาเก็บตัวถือศีลมาเป็นร้อยปี และพวกเขาไม่รู้ว่าโลกภายนอกเป็นอย่างไร ในอนาคตพวกเขาอาจจะต้องพึ่งพาความช่วยเหลือของอู๋เทียนหลินก็เป็นได้ การติดต่อกันในอนาคตเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อีกอย่าง เขาอยู่ข้างกายผู้มีพระคุณ ดังนั้นควรทำท่าทีนอบน้อมไว้เสียดีกว่า
หลังจากทั้งสี่คนได้เคารพต่อกันและกันแล้ว อู๋เฟยเยี่ยนก็พูดว่า “เอาล่ะ เราทุกคนล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน เรื่องย้อนความหลังค่อยไว้ทีหลังแล้วกันนะคะ ทั้งสามคนตามเทียนหลินไปเตรียมตัวก่อน การเดินทางจะใช้เวลาอย่างน้อยยี่สิบชั่วโมง ถ้าอยากรู้ว่าโลกนี้เปลี่ยนไปเป็นอย่างไร เทียนหลินจะอธิบายให้คุณฟังภายในยี่สิบชั่วโมงนี้เอง”
หลังจากพูดจบ เธอก็ถามอู๋เทียนหลินว่า “เทียนหลิน ผู้อาวุโสทั้งสามจะบินตรงไปที่จินหลิงด้วย ไม่มีปัญหาใช่ไหม?”
อู๋เทียนหลินรีบพูดว่า “ผู้มีพระคุณขอรับ กระผมทำตามคำแนะนำของท่านอย่างเคร่งครัด ทุก 20 ปีได้เปลี่ยนข้อมูลประจำตัวของผู้อาวุโสทั้งสาม หนังสือเดินทางเวอร์ชันล่าสุดอยู่กับผม ผู้อาวุโสทั้งสามจะสามารถเดินทางเข้าประเทศได้อย่างราบรื่น” !”
“อืม ดี!” สีหน้าของอู๋เฟยเยี่ยนดูมืดมนลง เธอพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ออกเดินทางโดยเร็วที่สุด! หลังจากมาถึงจินหลิงแล้ว
นอกจากตระกูลอานที่เราต้องการฆ่า ใครก็ตามที่สงสัยในตัวพวกนายก็ต้องถูกฆ่าด้วย! อย่าลืม ฆ่าพวกมันให้หมด! อย่าทิ้ง
ปัญหาให้ตามมา!”
ทั้งสี่คนพูดพร้อมกันว่า “รับทราบ!”