ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 5307 แก้ปมในใจ 2
ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน บทที่ 5307 แก้ปมในใจ 2
ซูเฟิงเฉิงจับมือตัวเองแล้วถอนหายใจยาว: “เป็นความโชคดีของตระกูลซูที่มีจือหยูและรั่วหลี … ”
พูดจบเขาก็มองไปที่เหออิงซิ่วซึ่งนั่งอยู่ข้างคนขับแล้วพูดด้วยสีหน้าความละอายใจ: “อิงซิ่ว ฉันรู้สึกละอายใจจริงๆที่ตอนนั้นทิ้งรั่วหลีเพื่อตระกูลซู ฉันหวังว่าเธอสองแม่ลูกจะไม่เกลียดฉัน…”
เหออิงซิ่วหันมาและพูดอย่างจริงจัง: “ลุงซู ตอนนั้นฉันรู้ว่าเรื่องรั่วหลีลุงก็มีเหตุผล อีกอย่างเรื่องนี้จะโทษลุงคนเดียวไม่ได้ โสว่เต้าก็มีส่วนกับเรื่องนี้ด้วย ถ้าตอนนั้นเขาไม่ให้รั่วหลีสังหารอย่างโหดเหี้ยมในญี่ปุ่นและกวาดล้างตระกูลมัตสีโมโตะทั้งครอบครัว ก็คงไม่บีบให้รั่วหลีอยู่ในสถานณ์เช่นนี้…”
ซูเฟิงเฉิงถอนหายใจแล้วถามเธอ: “อิงซิ่วตอนนี้รั่วหลีอยู่ที่ไหน ฉันกลับมาคราวนี้อยากจะขอโทษเธอเป็นการส่วนตัว!”
ซูโสว่เต้ารีบแย่งตอบ: “รั่วหลีกำลังเตรียมสถานที่แต่งงานอยู่ที่โรงแรม เดี๋ยวพอจะได้พบเธอ”
“ตกลง…” ซูเฉิงเฟิงพยักหน้าและถามอีกครั้ง: “งานแต่งของลูกเย่เฉินให้จือเฟยกลับมาหรือไม่”
“กลับมาแล้ว” ซูโสว่เต้าตอบ “จือเฟยก็เพิ่งกลับมาจินหลิงเหมือนกัน แต่ผมยังไม่เจอเขาเลย เขากับไห่ชิงไปหาจือหยูก่อน”
“อ่อ ใช่” ซูเฟิงเฉิงพูดอย่างนึกขึ้นได้: “เกือบลืมไปว่าไห่ชิงก็อยู่ในจินหลิงด้วย … ”
ขณะที่พูดสีหน้าของเขาก็ยิ่งละอายใจมากขึ้นแล้วพูดด้วยเสียงต่ำ: “ตอนนั้นฉันเกือบจะฆ่าไห่ชิงและยังจะฆ่าจือหยูด้วน ฉันรู้สึกผิดต่อสองแม่ลูกคู่นี้ตลอดมา ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะมีโอกาสไปเยี่ยมเพื่อขอโทษชิงไห่ที่บ้านหรือไม่ แกช่วยถามให้ฉันหน่อย…”
“เรื่องนี้…” ซูโสว่เต้าพูดอย่างอึดอัด: “ผมไม่ได้ติดต่อกับไห่ชิงแล้ว ไว้ผมจะถามจือหยูให้ทีหลัง ให้เธอติดต่อไห่ชิง หากไห่ชิงยินดีพบพ่อก็ให้จือหยูพาพ่อไปที่นั่น ”
“โอเค…โอเค…” ซูเฉิงเฟิงพยักหน้าเบาๆแล้วพูดอย่างจริงใจ: “ช่วงเวลาที่อยู่มาดากัสการ์ ฉันคิดเรื่องทั้งหมดได้แล้ว เมื่อก่อนฉันให้ความสำคัญเรื่องความมั่งคั่งและอำนาจของตระกูลซูมากจนเกินไป จนทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างญาติพี่น้องสั่นคลอน ตอนนี้ถอดเขี้ยวเล็บแล้วจึงรู้ว่าตอนนั้นตัวเองน่าเกลียดเพียงใด หวังว่าก่อนกลับไปคราวนี้จะได้รับการอภัยจากรั่วหลี หยูจือและชิงไห่ … ”
ขณะที่ซูเฟิงเฉิงอยู่ในอำนาจ เขาเป็นคนไม่เห็นหัวคนอื่น แต่หลังจากที่เย่เฉินเพิกถอนทุกอย่าง จิตใจของเขาก็เปลี่ยนไปมาก
ตามอายุที่มากขึ้น ทุกสิ่งที่เขาทำในตอนนั้นได้กลายเป็นปมในใจของเขาและเขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับการอภัยจากลูกๆหลานๆของเขา การกลับมาร่วมงานแต่งงานของซูโสว่เต้าในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีในการแก้ปมเหล่านี้
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ซูเฉิงเฟิงก็นึกถึงบางอย่างและถามซูโสว่เต้าทันที: “โส่วเต้า ใครเป็นสักขีพยานในการแต่งของแกกับอิงซิ่ว”
“สักขีพยาน?” ซูโสว่เต้าพูดว่า: “เราไม่ได้เชิญสักขีพยาน และงานแต่งในครั้งนี้นอกจากครอบครัวของเราและครอบครัวของอิงซิ่วแล้วก็ไม่มีคนนอก เราอยากจะจัดแบบว่ายๆ รั่วหลีได้เชิญพิธีกรชายที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งจากเย่นจิงมาเป็นแขกรับเชิญในพิธี ส่วนเรื่องสักขีพยานเราไม่ได้คิด”
ซูเฟิงเฉิงพยักหน้าแล้วพูดอย่างจริงจัง: “แกสองคนหาเวลาว่างไปเชิญเย่เฉินหน่อย ดูว่าเขายินดีจะมาเป็นสักขีพยานในงานแต่งของแกทั้งสองหรือไม่”
“เย่เฉิน?” ซูโสว่เต้าพูดด้วยความลำบากใจ: “พ่อครับ ผมไม่มีควาเห็นใดๆเกี่ยวกับเย่เฉิน แต่คนอื่นเชิญสักขีพยานในงานแต่งงานก็มักจะเชิญผู้อาวุโสหรือหัวหน้า จะเชิญรุ่นน้องมาเป็นสักขีพยานในงานแต่งงานได้อย่างไร … ”
“รุ่นน้อง?” ซูเฉิงเฟิงยิ้มและถามเขากลับ: “โส่วเต้า ด้วยสถานะของเราตอนนี้ยังมีสิทธิ์พูดเรื่องความอาวุโสกับเย่เฉินอีกหรือ ?แม้ว่าเขาควรจะเรียกแกว่าลุง แต่นั่นเป็นเพราะว่าแกหัวสูงไปเอง!”