ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 5212 พรหมลิขิต 3
ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน บทที่ 5212 พรหมลิขิต 3
“ยกตัวอย่างเช่นมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เงินบริจาคที่มาจากสมาคมศิษย์เก่าในทุกปีนั้น ล้วนอยู่ในหลักพันล้าน เจ้าของกิจการที่แผ่นดินใหญ่จำนวนมากไปบริจาคเงินที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ล้วนเริ่มต้นที่สิบล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ลองมองที่มหาวิทยาลัยจินหลิงอีกที ภายใต้สถานการณ์ปกติ เงินบริจาคที่ได้รับจากศิษย์เก่าในทุกปี โดยเฉลี่ยแล้ว แม้กระทั่งหนึ่งในร้อยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดก็ไม่เคยมีเลย นี่ก็คือสาเหตุที่มหาวิทยาลัยแผ่นดินใหญ่อยากจะทำให้เป็นสากลเร็ว ๆ อย่างรีบร้อน และเนื่องจากสถานการณ์พิเศษของเกาะฮ่องกาง เกาะฮ่องกางมักจะเป็นทิศทางการพัฒนาของความเป็นสากลของมหาวิทยาลัยแผ่นดินใหญ่ด้วยค่ะ”
หลิวม่านฉงพูดด้วยความตกใจไม่หยุด : “พี่เสียนพี่รู้เยอะมากเลยจริง ๆ เรื่องพวกนี้ ฉันที่อยู่มหาวิทยาลัยฮ่องกางมาตั้งหลายปีขนาดนี้ก็ยังไม่เคยคิดเลยค่ะ……”
พี่เสียนพูดด้วยความถ่อมตน : “พวกนี้ที่ฉันรู้ล้วนเป็นเรื่องซุบซิบ หากว่าคนทั่วไปอยากรู้ จับตาดูและให้ความสนใจมากหน่อยก็ใช้ได้แล้วค่ะ เทียบกับหัวกะทิที่มุ่งมั่นทางด้านวิชาการอย่างคุณ ยังด้อยกว่าเยอะมากเลยค่ะ……”
ว่าแล้ว พี่เสียนก็พูดอีก : “หากว่ามหาวิทยาลัยจินหลิงรับดอกเตอร์ที่มาจากมหาวิทยาลัยฮ่องกางอย่างคุณ ไม่แน่ว่าในอนาคตคุณเองก็สามารถนำพวกทรัพยากรนักศึกษาจากเกาะฮ่องกางมาให้มหาวิทยาลัยจินหลิงไม่ทางตรงก็ทางอ้อมได้ค่ะ เดิมทีมหาวิทยาลัยจินหลิงก็ค่อนข้างให้ความสำคัญอยู่แล้ว เมื่อเอาสาเหตุพวกนี้มารวมกันแล้ว ฉันจึงกล้าบอกคุณว่าการสัมภาษณ์ในครั้งนี้คุณผ่านฉลุยอย่างแน่นอนค่ะ”
หลิวม่านฉงได้ยินถึงตรงนี้ ก็พยักหน้าอย่างคิดได้ในทันที
เนื่องจากไม่ค่อยได้ออกจากเกาะฮ่องกางมาโดยตลอด บวกกับตัวเองไม่ค่อยสนใจเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง ดังนั้นหลิวม่านฉงเลยไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวที่พี่เสียนบอกมาสักเท่าไหร่นัก
เมื่อฟังคำพูดของเธอจบ ความเชื่อใจของหลิวม่านฉงเลยมากขึ้นหลายส่วนเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้
……
ในเวลานี้
ณ โฮมสเตย์จื่อจิน
หลินหว่านเอ๋อร์กำลังฟังจักจั่นร้องอยู่ใต้ต้นไม้ในลาน
เธอตั้งเก้าอี้โยกที่ถักไม้เถาด้วยมือ และกางโต๊ะน้ำชาที่ทำด้วยไม้ไผ่เล็ก ๆ ตัวหนึ่งไว้ใต้ต้นไม้ บนโต๊ะน้ำชาใช้เตาถ่านที่ขนาดเล็กมาก ๆ ที่กำลังลุกไหม้อยู่ในเตาถ่าน เป็นถ่านไม้ที่เผาไหม้จากต้นมะกอกชั้นดี ตอนเผาไหม้จะไม่ปะทุแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และก็จะไม่มีเขม่าด้วย ถึงขนาดที่จะมีกลิ่นหอมที่พิเศษมาก ๆ อย่างหนึ่งด้วยซ้ำ
และมีหม้อต้มดินที่ทำจากเครื่องปั้นดินเผาอยู่บนเตาถ่าน และมีชาผูเอ่อร์ที่แดงเข้มหนึ่งต้มอยู่ในกานี้
หลินหว่านเอ๋อร์ชอบการดื่มชาเป็นพิเศษ โดยปกติเริ่มต้มชา ชิมชาตั้งแต่มื้อเช้า ทานข้าวเสร็จ แล้วก็ดื่มชาและอ่านหนังสือ ตอนมื้อเที่ยงก็ยังต้องมีชา ตอนบ่ายอ่านหนังสือรวมทั้งกินของว่างและน้ำชาอย่างตามใจ ก็ยังต้องมีชา ถึงขนาดที่ตอนเย็นก็ยังห่างจากชาไปไม่ได้
อีกทั้งชาผูเอ่อร์จัดเป็นชาที่มีสีเข้มมาก แม้ว่าหลินหว่านเอ๋อร์ดื่มชาไม่ขาดอยู่ทุกวัน ฟันที่ขาวสะอาดกลับไม่เคยย้อมคราบชา เนื่องจากการดื่มชาเลยสักนิดเดียว
ในจังหวะที่เธอวางหนังสือลง หยิบถ้วยชาเตรียมจะจิบสักทีหนึ่ง ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นจากนอกประตูเบา ๆ เสียงของชิวอิงซานก็ดังขึ้นตามมาติด ๆ แล้วถามด้วยความนอบน้อม : “คุณหนูครับ ตอนนี้คุณสะดวกไหมครับ ?”
หลินหว่านเอ๋อร์ยิ้มบอก : “สะดวกค่ะ คุณเข้ามาสิคะ”
คราวนี้ชิวอิงซานจึงจะผลักประตูลานออกอย่างระมัดระวัง แล้วค่อย ๆ เดินเข้ามา
หลินหว่านเอ๋อร์มองดูเขา เห็นเขามีท่าทางโค้งตัวลง หอบไร้เสียง หน้าผากและแก้มล้วนเป็นหยาดเหงื่อ เลยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น : “เรื่องอะไรที่ยังจำเป็นต้องให้คุณมาที่นี่ด้วยตัวเองคะ ? บันไดหินสูงชัน ด้วยร่างกายของคุณในตอนนี้ ต้องระวังไว้หน่อยจะดีกว่านะคะ”
ชิวอิงซานกลืนน้ำลาย คราวนี้จึงจะพูดด้วยความกระหืดกระหอบและไร้เรี่ยวแรงอยู่หน่อย ๆ : “กระผม……กระผมมีเรื่องหนึ่ง ที่อยากรายงานคุณหนูต่อหน้าครับ……”
หลินหว่านเอ๋อร์ชี้ไปที่ม้านั่งไม้ไผ่ตัวเล็กที่อยู่ใต้ต้นไม้ แล้วเอ่ยปาก : “นั่งลงคุยเถอะ ได้ดื่มชาแก้วหนึ่งด้วยพอดีด้วยค่ะ”
ชิวอิงซานประหลาดใจเนื่องจากได้รับการเอ็นดู เลยรีบพยักหน้า จังหวะการก้าวเดินถึงขนาดที่ไวไปหลายก้าวเลย