ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 4979 ล้อมวงกระชับพื้นที่2
ทั้งเจ็ดคนดีใจและตื่นเต้น ความรู้สึกที่มีต่อเย่เฉิน ก็เคารพและยำเกรงมากขึ้น
แม้คำพูดของเย่เฉินจะมีเพียงน้อยนิด แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ในระดับเดียวกัน
ความแข็งแกร่งของทหารม้ากล้าเหล่านี้ อ่อนแอเพราะมีพลังนี้คอยควบคุมพวกเขาเอาไว้ และพลังนี้ก็อ่อนแอกว่าความแข็งแกร่งของเย่เฉิน
ดังนั้น สำหรับพวกเขาแล้ว เย่เฉินเป็นบุคคลที่มีความแข็งแกร่งที่สุด ในบรรดากลุ่มคนที่พวกเขารู้จักทั้งหมด
ชายคนแรกลุกขึ้นจากเก้าอี้ อ้อมไปด้านหลังของเก้าอี้ แล้วคุกเข่าลงตรงหน้าเย่เฉิน พูดอย่างเคารพนอบน้อม“ ขอขอบคุณท่านที่ช่วยชีวิต!”
หกคนที่เหลือ ก็ลุกขึ้นตามอย่างไม่ลังเล ถอยหลัง คุกเข่าลง แล้วพูดพร้อมกันว่า“ ขอบคุณท่านที่ช่วยชีวิต”
เย่เฉินพยักหน้าให้เล็กน้อย และพูดกับทุกคน“ลุกขึ้นเถอะ นั่งลงก่อนแล้วมาพูดคุยทำความเข้าใจเกี่ยวกับองค์กรที่พวกคุณรับรู้ ดูว่ายังพอจะมีเบาะแสอะไรที่เป็นประโยชน์ได้บ้าง”
ชายคนนั้นพยักหน้ารับและพูดขึ้นมา“ได้โปรดวางใจ เราจะบอกทุกอย่างที่รู้ โดยไม่ปิดบังเลยแม้แต่น้อย!”
เย่เฉินหันมองไปยังหลี่ญ่าหลิน แล้วกล่าว“พล.ต.ท.หลี่ คุณมีคำถามอะไรอยากจะถามไหม?”
หลี่ญ่าหลินพูดโพล่งออกมาอย่างไม่ต้องคิด“ผมมีคำถามมากมาย”
เย่เฉินพยักหน้า“งั้นคุณถามได้เลย ”
“ครับ ”หลี่ญ่าหลินหยิบเอาสมุดจดของตัวเองออกมา เมื่อครู่ที่เย่เฉินได้พูดคุยกับทุกคน เขาเองก็ได้เรียบเรียงคำถามที่ตัวเองอยากถามเอาไว้แล้ว
คำถามในช่วงแรกๆ อันที่จริงก็เป็นคำถามที่เย่เฉินได้ถามพวกเขาไปแล้ว ตั้งแต่ที่อยู่เบอร์เกนในยุโรปเหนือ
อาทิเช่น ตัวตนของพวกเขา สติปัญญาและความสามารถ สถานที่ตั้งของฐานที่มั่นกับข้อมูลบางอย่างที่เกี่ยวกับฐานที่มั่น
ทั้งเจ็ดคนได้พูดทุกอย่างที่พวกเขารู้ออกมาทั้งหมด
หลี่ญ่าหลินฟังอย่างตั้งใจ รอจนพวกเขาแนะนำสถานการณ์พื้นฐานจนจบ ก็จึงพูดขึ้นว่า“ทหารม้ากล้าอย่างพวกคุณ โครงสร้างขององค์กรในไซปรัสเป็นยังไง?”
คนที่นั่งหัวแถวกล่าว “ทหารม้ากล้ามีทั้งหมดสองร้อยเจ็ดสิบเอ็ดคน แบ่งแยกออกเป็นสามกองธงซ้าย กลาง และขวา ทุกกองธงมีเก้าสิบคน แต่ละกองธงแบ่งออกเป็นสามกองพัน กองพันหนึ่งมีสามสิบคน แต่ละกองพันมีสามทีม แต่ละทีมมีสิบคน และตั้งผู้ควบคุมคนหนึ่งขึ้นมา ด้านล่างจะมีหัวหน้ากองธงของธงทั้งสาม มีหัวหน้ากองพันของทั้งเก้ากองพัน มีหัวหน้าทีมของทั้งยี่สิบเจ็ดทีม ผมเป็นหนึ่งในหัวหน้ากองพัน”
พูดจบ เขายังคงพูดแนะนำต่อ“ นอกเหนือจากนี้แล้ว ข้างบนก็ยังมีขุนพลหัวเมืองคนหนึ่ง และองครักษ์คนสนิทของขุนพลหัวเมืองอีกห้าคน แต่ว่าพวกเขาก็เป็นคนอีกกลุ่มหนึ่ง สถานะจะสูงกว่าพวกเรามาก ”
หลี่ญ่าหลินถามเขา “ขุนพลหัวเมืองมีอำนาจหน้าที่อะไร ?”
คนผู้นั้นตอบ “ขุนพลหัวเมืองเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของฐานที่มั่นนั้น ควบคุมกำกับชีวิตความเป็นความตายของทุกคนในฐานที่มั่น”
หลี่ญ่าหลินขมวดคิ้วและถาม“ขุนพลหัวเมืองผู้สั่งการ ทหารม้ากล้า พวกคุณมีคำเรียกขานกันแบบนี้เหรอ เหมือนดูจะโบราณเอามากๆ มีที่มาที่ไปอะไรไหม?”
คนผู้นั้นอธิบายว่า“ทั้งหมดมาจากระบบการทหารของราชวงศ์หมิง”
หลี่ญ่าหลินโพล่งออกมา“องค์กรนี้ของพวกคุณ คงไม่ได้ก่อตั้งมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิงจนมาถึงทุกวันนี้หรอกนะ? ”
คนผู้นั้นกล่าว“พูดตามตรง ลำพังแค่ทหารหน่วยกล้าตายที่ตกเป็นทาส ก็สามารถไล่ประวัติย้อนหลังอย่างน้อยสามร้อยปีได้ ดังนั้นระยะเวลาขององค์กรนี้ที่ก่อตั้งขึ้นมา ก็อาจเป็นไปได้ว่ามีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิง แต่สิ่งเหล่านี้ก็เป็นแค่การคาดเดาของผมเท่านั้น ความจริงจะเป็นยังไงก็ไม่อาจรู้ได้”
หลี่ญ่าหลินอดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้าง จากนั้นเขาก็รวบรวมสติ และถามต่อ“แล้วพวกคุณมีข้อมูลของขุนพลหัวเมืองคนนี้หรือเปล่า?”