ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 3636
เซียวฉางควนไม่รู้เลยว่าเมื่อครู่เขาได้เปิดเผยเรื่องลูกสาวกับลูกเขย ไปจนหมดอย่างไม่รู้ตัว
ในทางกลับกัน เขากลับคิดว่าวันนี้ตัวเองสร้างความดีความชอบไม่น้อย ทำธุรกิจให้ทั้งลูกสาวและลูกเขย
นี่จะโทษว่าเขาซื่อบื้อเกินไปก็ไม่ได้ เพราะเขาจะรู้ได้อย่างไรล่ะ ว่าคนตรงหน้าที่ชื่อ ‘จานเฟยเอ๋อร์’ ตัวตนที่แท้จริงคือเฟ่ยเข่อซิน อีกทั้งยังเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลเป็นแสนล้านดอลลาร์
อีกทั้งเขายิ่งไม่รู้ว่า จานเฟยเอ๋อร์มาที่จินหลิง ก่อนงานประมูลยาอายุวัฒนะ เพื่อมาหาเย่เฉิน
เรื่องอาหารมื้อนี้จบลงตรงนี้ เฟ่ยเข่อซินอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก
จากนั้นบนโต๊ะอาหาร เธอไม่ได้พูดเรื่องฮวงจุ้ยและตกแต่ง สิ่งที่พูดล้วนเกี่ยวกับนิทรรศการศิลปะ เหมือนเรื่องฮวงจุ้ยกับตกแต่งเมื่อครู่ เป็นเพียงหัวข้อสนทนาที่พูดขึ้นมาโดยบังเอิญเท่านั้น
เมื่อทานข้าวเสร็จ ระหว่างที่บอกลา เซียวฉางควนอดไม่ไหว ถามเฟ่ยเข่อซินว่า “คุณจาน เรื่องฮวงจุ้ยและการตกแต่งที่คุณพูดก่อนหน้านี้ แน่ใจใช่ไหมครับ ถ้าแน่ใจ ผมจะกลับไปบอกลูกสาวกับลูกเขยที่บ้าน”
“แน่ใจค่ะ!” เฟ่ยเข่อซินยิ้มแล้วพยักหน้า พูดอย่างจริงจังว่า “เอาอย่างนี้แล้วกันค่ะคุณเซียว คุณช่วยนัดลูกเขยคุณให้ฉันหน่อย ถ้าเขามีเวลา ช่วยไปดูฮวงจุ้ยให้ฉันหน่อย ถ้าคฤหาสน์ไม่มีปัญหาด้านฮวงจุ้ย ฉันค่อยคุยเรื่องตกแต่งกับลูกสามคุณทีหลัง แต่ถ้าคฤหาสน์นี้มีปัญหาด้านฮวงจุ้ยเยอะ ฉันจะเปลี่ยนเป็นหลังอื่นทันที อีกอย่างแค่ไม่กี่สิบล้านเองค่ะ”
เฟ่ยเข่อซินไม่ได้จงใจอวด จงใจอวดแบบอ้อมๆ ซื้อคฤหาสน์ไม่กี่สิบล้านในจินหลิง คฤหาสน์เดี่ยวเป็นพันตารางเมตร ในสายตาคนจินหลิง แทบจะถึงที่สุดแล้ว แต่สำหรับเฟ่ยเข่อซิน เหมือนคนทั่วไป ไปสถานที่ท่องเที่ยว แล้วซื้อของฝากตามใจชอบ
อีกทั้งเฟ่ยเข่อซิน ไม่อยากให้ตอนที่ตัวเองเจอเย่เฉิน แล้วมีภรรยาเย่เฉินอยู่ข้างๆ แยกสามีภรรยาเป็นลำดับก่อนหลังดีกว่า ถ้าผ่านเย่เฉินต่อหน้าไม่ได้ ค่อยเข้าทางภรรยาเขา
เซียวฉางควนก็คิดว่าเธอไม่ได้พูดมีพิรุธอะไร ดูฮวงจุ้ยก่อน ไม่มีปัญหาค่อยตกแต่ง ความคิดนี้สมเหตุสมผล มีหลักการ ทำให้คนยอมรับ
ดังนั้น เขาจึงยิ้มแล้วพูดว่า “ได้ครับๆๆ เดี๋ยวผมจะไปบอกลูกเขย ให้เขาหาเวลาไปดูให้คุณ!”
เฟ่ยเข่อซินรีบพยักหน้า ยื่นนามบัตรให้เซียวฉางควน ยิ้มแล้วพูดว่า “รองประธานเซียว นี่นามบัตรฉันค่ะ ถ้าลูกเขยคุณไม่มีปัญหาอะไร ให้เขาติดต่อฉันนะคะ”
เซียวฉางควนยิ้ม แล้วพูดว่า “ไม่มีปัญหาครับ ผมจะกลับไปบอกเขา!”
……
เมื่อกลับถึงบ้าน เซียวฉางควรอารมณ์ค่อนข้างดี เมื่อจอดรถเสร็จ ก็เดินผิวปากเข้าบ้าน
เย่เฉิน เซียวชูหรัน และหม่าหลัน ทานข้าวเย็นแล้ว หม่าหลันเห็นเซียวฉางควนเข้ามา รีบทักเข้าว่า “เซียวฉางควน มาเก็บโต๊ะอาหาร!”
เซียวฉางควนอึ้งไป พูดสีหน้าอึมครึมว่า “พวกเธอสามคนทานกัน ทำไมผมต้องเก็บด้วย ทำไมคุณไม่เก็บเอง”
หม่าหลันถลึงตาใส่เขา พูดอย่างโมโหว่า “นายเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอก กลับมาดึกขนาดนี้ ให้นายทำงานบ้านนิดหน่อย เป็นเรื่องสมควรไม่ใช่เหรอ”
พูดพลาง หม่าหลันบ่นด้วยสีหน้าไม่พอใจ “ขลุกอยู่ในสมาคมบ้าบออะไรนั่น ตั้งแต่เช้ายันค่ำ ไม่เห็นนายเอาเงินเป็นล้านกลับมาบ้านได้ จะไปมีประโยชน์อะไร แค่สวะคนหนึ่ง อีกอย่างความสามารถอันน้อยนิดของนาย คนนอกไม่รู้ ฉันก็จะไม่รู้งั้นเหรอ สุภาษิตโบราณที่ว่า คนไม่มีความสามารถปลอมปนไปอยู่ในกลุ่มคนที่มีความสามารถ พรรณนาถึงนายได้อย่างแท้จริง อย่างนายเนี่ยนะ ยังอุตส่าห์เป็นตัวแทนจินหลิง ไปจัดงานเสวนาแลกเปลี่ยนที่เกาหลี นายไม่ทำให้จินหลิงอับอายขายหน้า นับว่าขอบคุณพระเจ้ามากแล้ว!”
ช่วงนี้หม่าหลันค่อนข้างจิตตก
เหตุผลที่จิตตก เพราะครั้งก่อนเซียวฉางควนบอกเธอว่าจะไปจัดงานแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่เกาหลี ทำให้หม่าหลันรู้สึกอิจฉา ขณะเดียวกันก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ
แต่งงานมาหลายปีขนาดนี้ เธอเอาแต่ตำหนิเซียวฉางควน เพราะหลายปีมานี้ เซียวฉางควนทำอะไรไม่ได้เรื่องสักอย่าง เตรียมโดนกำจัดออกจากตระกูลเซียว ดังนั้นไม่ว่าหม่าหลันตำหนิเซียวฉางควนเมื่อไร ล้วนมีเหตุผลทั้งนั้น
และเพราะเซียวฉางควนไม่โดดเด่นมาตลอด จึงทำให้หม่าหลันเอาแต่ตำหนิเขาไม่หยุด เยาะเย้ยความมั่นใจของเขา