บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 779: ถ้ำศักดิ์สิทธิ์แม่น้ำลืมเลือน
ตอนที่ 779: ถ้ำศักดิ์สิทธิ์แม่น้ำลืมเลือน
ตอนที่ 779: ถ้ำศักดิ์สิทธิ์แม่น้ำลืมเลือน
ซูอี้เหลือบมองชายชราในชุดนักพรตเต๋าพลางกล่าวว่า “หากข้าคาดไว้ไม่ผิด เจ้าคงเป็นผู้บอกหลูฉางหมิงว่าที่มาของข้าเหนือธรรมดา หากล่วงเกินข้า ผลที่ตามมาจะไม่อาจคาดเดาใช่หรือไม่?”
ชายชราในชุดนักพรตเต๋าพยักหน้า “ข้าก็ไม่อยากให้พวกเขาทำพลาดครั้งใหญ่ด้วย”
ซูอี้กล่าว “ทว่าคำเตือนของเจ้ากลับทำให้หลูฉางหมิงมีความคิดอื่น ประการแรก เขาต้องการให้ข้าติดหนี้บุญคุณเขา และประการที่สองคงเป็นการยืมมือข้าจัดการกับนักบวชสูงสุดและนักบวชลำดับสาม”
“เพราะถึงอย่างไร แม้แต่เจ้ายังคิดว่าข้าล่วงเกินไม่ง่าย ดังนั้นหลูฉางหมิงย่อมเดาได้ว่าหากนักบวชสูงสุดและนักบวชลำดับสามกลายเป็นศัตรูข้า พวกเขาจะต้องประสบเคราะห์เป็นแน่”
“ดังนั้นจึงเกิดเรื่องเช่นเมื่อครู่”
หลังจากฟังคำวิเคราะห์ของซูอี้ ชายชราตาบอดก็ตระหนักว่าการพิพาทเมื่อครู่นี้มีปริศนามากมายแอบแฝง!
ในชั่วขณะนั้น เขาอดหลั่งเหงื่อกาฬออกมาไม่ได้
ชายหนุ่มชุดขาวนามหวังถิงอึ้งตะลึงยิ่งกว่า ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ด้วยไม่คิดเลยว่าซูอี้จะเห็นเรื่องราวมากมายด้วยเพียงหนึ่งเหลือบตา
ควรค่าจดจำว่าหัวใจคนยากแท้หยั่งถึงที่สุด
ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าซูอี้ ความคิดในทุกการกระทำของหลูฉางหมิงกลับกระจ่างชัด!
ยามนี้ ชุยจิ๋งเหยี่ยนอดกล่าวไม่ได้ว่า “เป็นไปไม่ได้ เหตุใดผู้อาวุโสสูงสุดที่สามจึงคิดเล่าว่าเจ้าจะสามารถเอาชนะนักบวชสูงสุดและนักบวชลำดับสามได้?”
ซูอี้หันไปมองชายชราในชุดนักพรตเต๋า และกล่าวอย่างเฉยชา “ย่อมเป็นเพราะเขา หลูฉางหมิงถือว่าเขาเป็นพี่ชายร่วมวิถีผู้หนึ่ง และขอให้โถงหลงลืมใช้แท่นเคลื่อนย้ายมารับเขาด้วยตนเอง วาจาของเขาจึงสำคัญยิ่งต่อหลูฉางหมิง”
ชายชราในชุดนักพรตเต๋ายิ้มอย่างขมขื่น
เขาได้ยินน้ำเสียงเย้ยหยันในถ้อยคำของซูอี้
ชุยจิ๋งเหยี่ยนกล่าวด้วยสีหน้างุนงง “นี่มันช่างน่าขันเกินไปแล้ว เจ้าเป็นผู้ฝึกตนในวิถีวิญญาณนะ จะเอาสิ่งใดไปเอาชนะตัวตนขอบเขตจักรพรรดิได้?”
ชายชราในชุดนักพรตเต๋ากล่าวอย่างอบอุ่น “แม่นางชุย นั่นเป็นเพราะเจ้ามีประสบการณ์น้อยนิด และในอนาคต เจ้าจะค่อย ๆ ได้รู้ว่าเหตุใดข้าจึงพบว่าสหายเต๋าซูผู้นี้เป็นตัวตนอันพิเศษเฉพาะ”
เทพเซียนมายืนตรงหน้า ทว่าผู้คนกลับมีตาหามีแววไม่
นี่คือปัญหาทั่วไปซึ่งผู้ฝึกตนมากมายบนวิถีต่าง ๆ มักกระทำ
สิ่งที่น่าเศร้ายิ่งกว่านั้นคือ ผู้ฝึกตนจำนวนมากกว่านั้นไร้วาสนาจะได้พบเทพเซียนเดินดินเหล่านั้นชั่วกาล…
ชุยจิ๋งเหยี่ยนเงียบไป
ยามนี้ หญิงสาวระลึกเรื่องราวได้มากมาย
ยามทั้งสองแรกเผชิญ ซูอี้มองที่มาของนางออกในพริบตา รวมถึงปริศนาของจี้หยก และยังคาดการณ์จุดประสงค์ของบรรพชนของนางได้อีก…
นอกจากนั้น วิถีเต๋าของซูอี้ยังเหลือเชื่อเกินไป เขามีระดับการฝึกฝนเพียงขอบเขตสยายวิญญาณ แต่กลับสามารถปราบตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณได้อย่างง่ายดาย ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้หากจะหาผู้ใดเทียบชั้นกับเขาได้ในภูมิมืดมิด
และเมื่อเขาได้มายังภูมิมืดมิด เขาก็สามารถใช้พลังของแท่นเคลื่อนย้ายเพื่อสร้างยันต์หยกบันทึกพิกัดประตูมิติของมหาทวีปคังชิงได้
และคู่ศิษย์อาจารย์อันมีที่มาเป็นปริศนาก็ให้ความเคารพให้เกียรติเขาอย่างสูง ไม่กล้าล่วงเกินง่าย ๆ!
ต้องทราบว่าชายชราในชุดนักพรตเต๋าเป็นจักรพรรดิผู้ทำให้ผู้อาวุโสสูงสุดที่สามยำเกรงอยู่สามส่วน!
เรื่องราวเหล่านี้ทำให้ชุยจิ๋งเหยี่ยนรู้สึกจนปัญญามากขึ้นทุกที นางรู้สึกเพียงว่าความลับเหล่านี้ของซูอี้เป็นเหมือนม่านหมอกลึกลับซึ่งไม่อาจมองเห็นหรือคาดเดาสิ่งที่อยู่ภายในได้โดยง่าย
“สหายเต๋าซู พรุ่งนี้ เราศิษย์อาจารย์จะจากที่นี่ไป หากภายหน้าได้พานพบ เราจะร่วมดื่มกับสหายเต๋าแน่”
ซูอี้พยักหน้าน้อย ๆ และกล่าวว่า “รักษาตัวด้วย”
ถ้อยคำไม่กี่พยางค์นี้ ทำให้สีหน้าของชายชราในชุดนักพรตเต๋าดูเหม่อลอย
เขาคาดไว้แล้วว่าซูอี้ต้องมองเห็นที่มาของพวกเขาศิษย์อาจารย์และสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่ได้ การที่ซูอี้กล่าวเช่นนี้ออกมา เขาก็ตระหนักว่าซูอี้ดูจะกำลังย้ำเตือนใจเขาถึงเรื่องบางอย่าง จึงพยักหน้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม “สหายเต๋า โปรดรักษาตัวด้วย”
จากนั้นเขาและชายหนุ่มชุดขาว หวังถิงก็หันหลังจากไป
หลังจากมองคู่ศิษย์อาจารย์คล้อยหลังลาลับ ซูอี้ก็หันไปกล่าวกับชุยจิ๋งเหยี่ยนว่า “ข้าวางแผนจะไปบ้านเจ้าในวันพรุ่งนี้ จะไปกับข้าหรือไม่?”
“อ๋า? นี่…”
เห็นได้ชัดว่าชุยจิ๋งเหยี่ยนถูกถามโดยไม่ทันตั้งตัว ทำให้นางอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวว่า “เจ้าจะไปทำอันใดที่บ้านข้า?”
ซูอี้ครุ่นคิด และตอบว่า “เกิดเรื่องบางอย่างขึ้นกับบรรพชนของเจ้า ข้าต้องไปตรวจดู”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนอึ้งไป และโพล่งออกมา “เจ้ารู้ได้เช่นไร?”
ซูอี้ถอนหายใจเบา ๆ “โง่จริง เจ้าลืมจี้หยกที่บรรพชนเจ้าให้มาแล้วหรือ?”
ใบหน้าอันเลอโฉมของชุยจิ๋งเหยี่ยนเผยเค้าลางความอับอาย “งั้นบอกข้าที เกิดอันใดขึ้นกับบรรพชนของข้าเล่า?”
“เจ้าและข้าจะไปบ้านเจ้าในอีกไม่ช้า ไม่รู้หรือ?”
ซูอี้กล่าวพลางหันหลังเดินกลับสู่ศาลา “หากเจ้าเห็นด้วย พรุ่งนี้เช้าก็มาหาข้าที่ยอดเขาสารทฤดูได้”
“พูดจาลับ ๆ ล่อ ๆ ดุจม่านหมอกบดบัง!”
ดวงตาอันงดงามของชุยจิ๋งเหยี่ยนถลึงจ้องตามแผ่นหลังของซูอี้
ทันใดนั้น นางก็กัดริมฝีปากสีกุหลาบทอดถอนใจ ไม่เป็นไรหรอก ไปกับคนผู้นี้คงไม่เป็นไร หากเขาถูกนักบวชลำดับสามไล่ตาม อย่างน้อยอีกฝ่ายก็จะเห็นแก่หน้าข้าและไม่ปล่อยให้เขาตาย…
จะว่าไป กลับตระกูลครานี้ ข้าก็ยังฉวยโอกาสนี้ถามพ่อข้าได้ว่าคนผู้นี้มีที่มาเช่นไร
หญิงสาวคิดเช่นนี้พลางหันหลังจากไป
…
ในศาลา
ซูอี้เอนร่างอย่างแสนคร้านบนเก้าอี้หวายพลางถูจมูก
เหตุการณ์วันนี้ช่างน่าผิดหวังจริง ๆ
กล่าวได้ว่าคนเฒ่าเหล่านั้นล้วนแต่มีความคิดของตนต่างกันไป
จุดประสงค์ของหยวนหลินหนิงตรงไปตรงมาอย่างมาก นั่นก็คือชิงเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิง
ในขณะที่นางลงมือออกหน้า นักบวชสูงสุดอย่างกู่จงซวิ่นจะบงการอยู่ในที่ลับ และทันทีที่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ เขาก็ลุกขึ้นมาสงบสถานการณ์
หลูฉางหมิง ผู้อาวุโสสูงสุดที่สามคิดยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เขาอยากสร้างบุญคุณส่วนตนและยืมมือเขาเพื่อจัดการกับนักบวชสูงสุดและนักบวชลำดับสาม
กระทั่งชายชราในชุดนักพรตเต๋ายังมีความคิดสร้างสัมพันธ์อันดีกับเขาโดยใช้ประโยชน์จากเรื่องราววันนี้อย่างเห็นได้ชัด
มีเพียงชุยจิ๋งเหยี่ยนเท่านั้นที่คิดอย่างซื่อบื้อว่าตนได้เรียกกำลังเสริมมาให้เขาแล้ว… ช่างโง่เขลา แต่ก็น่าเอ็นดู
“คุณชายซู ยามเมื่อเราจากไปพรุ่งนี้ ต้องมีการเตรียมตัวใด ๆ หรือไม่ขอรับ?”
ชายชราตาบอดก้าวมาเบื้องหน้า
“ไม่ต้อง”
ซูอี้โบกมือ
ทันใดนั้น เขาก็ลุกจากเก้าอี้หวาย ก่อนกล่าวว่า “ข้าจะไปถ้ำศักดิ์สิทธิ์แม่น้ำลืมเลือนสักหน่อย จะกลับมาก่อนรุ่งสาง”
จากนั้น เขาก็ก้าวออกจากศาลา
ท้องนภามืดสนิท และเก้ายอดเขาศักดิ์สิทธิ์ก็อาบแสงจันทร์สีม่วงเป็นชั้นจาง ๆ ภายใต้รัตติกาล เพิ่มความรู้สึกลึกลับเงียบสงบ
ยามรัตติกาลมาเยือนในภูมิมืดมิด มีสิ่งลึกลับพิสดารเกิดขึ้นมากมาย
เช่นแสงจันทร์ซึ่งบางครั้งเป็นสีม่วง บางคราเป็นสีเลือด และบางหนเป็นสีเงินซีด
ต้องระวังหากไร้จันทรายามราตรี
บ่อยครั้งในเขตแดนอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตยามนี้จะเกิดภาพอันเกินจินตนาการขึ้นภาพแล้วภาพเล่า มีภูตผีนับร้อยเดินย่ำป่าเขากลางราตรี ตะเกียงแสงเรืองสีเขียวมรกตปรากฏแต่งแต้มอากาศดำสนิท และยังมีเรือวิญญาณพัดพายอยู่บนแม่น้ำ…
และในสถานที่ต้องห้ามเยี่ยงประตูผี แม่น้ำบาปสีเลือด และทะเลทุกข์ยังเกิดเรื่องพิลึกขึ้นมากมายอันเพียงพอจะสังหารผู้ฝึกตนได้
มีคำกล่าวหนึ่งในภูมิมืดมิดว่า ‘หากจันทรามิเรืองสว่าง โลกาก็จะโกลาหล’
นับแต่บรรพกาล ไม่มีผู้ใดเข้าใจเลยว่าเหตุใดภูมิมืดมิดจึงแปรผันแปลกประหลาดอย่างน่าอัศจรรย์เมื่อไร้จันทราในราตรี
ในอดีตชาติ ซูอี้เองก็เคยสำรวจเรื่องนี้
ท้ายที่สุดก็สรุปได้อย่างคลุมเครือว่า ‘ดวงจันทร์’ ที่ปรากฏในภูมิมืดมิดนั้น แท้ที่จริงแปรร่างเปลี่ยนมาจากพลังต้นกำเนิดแห่งภูมิมืดมิด
ยามที่ดวงจันทร์หายไปจากนภารัตติกาล หมายความว่าที่มาแห่งภูมิมืดมิดถูกสกัดขวางโดยอำนาจแปลกประหลาดบางอย่าง
ผลก็คือเกิดสิ่งแปลกพิกลมากมายบนโลกนี้
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการคาดเดาในอดีตชาติของซูอี้
ภูมิมืดมิดใหญ่โตไร้ขอบเขตมากเกินไป กระทั่งซูอี้ในอดีตชาติยังไม่อาจทราบว่าโลกนี้ใหญ่โตเพียงไร และมีความลับปริศนาแอบแฝงมากมายเพียงใด
แสงจันทร์สีม่วงอ่อนในคืนนี้ฉาบลงมาบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไน่เหอดุจผืนผ้าคลุมบางเบา
ซูอี้ไพล่มือไว้เบื้องหลัง ขณะเดินเลาะไปตามขอบผาข้างสะพานหยก จากนั้นจึงเดินลึกเข้าไปสู่หุบเหวใต้ผา
หุบเหวระหว่างเก้ายอดภูเขาศักดิ์สิทธิ์ปกคลุมด้วยหมอกหนาตลอดปี และยังมีค่ายกลคลุมทับหนาแน่น
ในหมู่พวกมัน ค่ายกลระดับจักรพรรดิซึ่งสามารถเป็นอันตรายถึงตายต่อจักรพรรดิมีอยู่ไม่ขาดสาย!
ทว่า สำหรับซูอี้ผู้เคยมาเยือนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไน่เหอในฐานะแขกตั้งแต่อดีตชาติ พลังของทุกค่ายกลเหล่านี้ไม่ต่างอันใดกับของตกแต่ง
เขาก้าวสู่อากาศและเดินลึกลงไปในหุบเหว อาภรณ์สะบัดพลิ้ว และทุกครั้งที่เขาพบพลังของค่ายกลใด ๆ ขวางหน้า เขาก็จะหลบเลี่ยงก่อนจะถึงมันดุจดั่งผู้พยากรณ์
ในเวลาไม่กี่อึดใจ ซูอี้ก็ผ่านหมอกหนาและค่ายกลต่าง ๆ มาจนถึงก้นหุบเหว
นี่คือสถานที่ต้องห้ามแห่งโถงหลงลืม!
มีเพียงตัวตนเหนือตำแหน่งนักบวชเท่านั้นที่จะสามารถมายังที่แห่งนี้ได้
บริเวณหุบเหวกว้างใหญ่ไพศาล มืดมนหม่นหมอง ม่านหมอกปกคลุมมองเห็นได้เพียงเลือนราง และที่ผนังหุบเขาสองด้านห้อยตะเกียงสำริดสาดแสงสีเหลืองสลัว ๆ
ตรงหน้าซูอี้คือทางเดินที่ปูลาดด้วยแผ่นหินสีดำ
แผ่นหินทุกอันต่างเต็มไปด้วยลวดลายเต๋าอันลึกลับซับซ้อน แผ่กระจายไปทั่วส่วนลึกแห่งหุบเหว
เมื่อเขามาถึงจุดนี้ ซูอี้ก็ชะงักเท้า
สุดทางเดินนี้นำไปสู่ถ้ำศักดิ์สิทธิ์แม่น้ำลืมเลือน
ทว่าทางเดินนี้กลับเต็มไปด้วยค่ายกลสังหารอันน่ากลัวยิ่งนัก แม้ผู้บุกรุกจะเป็นจักรพรรดิ ทว่าคนผู้นั้นก็จะได้รับบาดเจ็บถึงตายเป็นแน่
ซูอี้มีวิธีการของเขาในการบุกเข้าไป ทว่าไร้ความจำเป็นต้องพยายาม
ริมฝีปากของเขาเปล่งเสียงประหลาดยากฟังออกคล้ายเสียงวาฬโบราณ สะท้อนก้องไปทั่วก้นเหวอันมืดมิดเงียบสงัด
ทันใดนั้น ดวงตาคู่ยักษ์ดุจทะเลสาบสีทองก็เบิกขึ้นท่ามกลางม่านหมอกลึกเข้าไปในหุบเหว!
วูบ!
คลื่นพลังพลุ่งพล่านกระเพื่อมตามมา เปลี่ยนเป็นสายรุ้งสีทองพุ่งแหวกถนนลาดหินสีดำนั่น
ยามนั้นเอง ซูอี้จึงเดินบนเส้นทาง ไม่มีความจำเป็นที่เขาจะต้องก้าวเดินแม้แต่น้อย เพราะสายรุ้งสีทองประคองร่างสูงของเขาไว้ และกวาดเข้าสู่ห้วงลึกแห่งหุบเหว
การเดินทางสงบเงียบไร้อันตราย และไม่นานก็ผ่านค่ายกลสังหารอันน่าหวาดหวั่นซึ่งปกคลุมถนนแผ่นหินดำไป
ทันใดนั้น ปากถ้ำมโหฬารก็ปรากฏสู่สายตา
ปากถ้ำนี้สูงสิบจั้ง จมสู่ความมืดสนิท ไม่อาจมองเห็นภาพด้านในถ้ำได้แม้แต่น้อย
ด้านข้างถ้ำปรากฏส่วนหัวของสัตว์ร้ายขนาดเท่าภูเขาโผล่ออกมาจากในม่านหมอก ร่างของมันกลืนไปกับหมอก จนไม่อาจมองเห็นความใหญ่โตของมันได้ถนัดตา
เมื่อมันมองเห็นซูอี้ ดวงตาสีทองดุจทะเลสาบของสัตว์ร้ายก็เต็มไปด้วยความปีติตื่นเต้น