บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 606: โอกาสวาสนา
ตอนที่ 606: โอกาสวาสนา
ตอนที่ 606: โอกาสวาสนา
ทันทีที่ดวงตาสีเขียวของชายชราในชุดดำมองสบตาซูอี้
อักขระแปลกประหลาดและชั่วร้ายพลันพุ่งชนเข้ากับทะเลแห่งจิตวิญญาณของซูอี้
“ขอบเขตเปิดทวารตัวน้อยเช่นเจ้ากล้าโจมตีข้าด้วยทักษะทางจิตวิญญาณงั้นหรือ?”
ดวงตาของซูอี้เย็นชา
ตูม!
ด้วยพลังแห่งจิตสัมผัสอันกล้าแกร่งไม่เป็นรองใครของซูอี้ อักขระจากดวงตาของชายชราจึงแตกเป็นเสี่ยง ๆ ราวกับกระจกบางแผ่นหนึ่ง
อั่ก!
ในซอยมืดที่อยู่ห่างไกล ชายชราชุดดำกระอักเลือดคำโต ดวงวิญญาณของเขาเจ็บปวดอย่างสาหัส ใบหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ในทันที
แย่แล้ว!
เขาหันหลังหนีอย่างรวดเร็ว
ทว่าในชั่วพริบตาถัดมาร่างของซูอี้ก็ปรากฏขึ้นข้าง ๆ คนผู้นั้นพร้อมกับคว้าคอของอีกฝ่ายไว้และยกทั้งร่างขึ้นให้ลอยเคว้งกลางอากาศคล้ายกับจับไก่
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ทำให้เก๋อเฉียน หยวนเหิง และคนอื่น ๆ ต่างตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
“ข้าไม่รู้จักเจ้า เหตุใดจึงโจมตีข้า?” ซูอี้ถามเสียงเย็น
ชายชราชุดดำที่เขาคว้าคออยู่เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเปิดทวารขั้นกลาง มีกลิ่นอายที่มืดมนและดุร้าย
ซูอี้ไม่รู้จักคน ๆ นี้เลย
ชายชราชุดดำดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งแต่ก็ไร้ผล
แต่เมื่อเขาได้ยินคำถามของซูอี้ เขาพลันเลิกดิ้นรนและเอ่ยออก “สหายเต๋า ทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด!”
“เรื่องเข้าใจผิด?”
ซูอี้เลิกคิ้วพร้อมกับยิ้มอย่างเย้ยหยัน
ชายชราชุดดำพูดอย่างรวดเร็ว “ไม่ผิด เมื่อครู่นี้ข้าเพียงแค่โยนหินถามทาง ต้องการทดสอบความสามารถของสหายเต๋าเพียงเท่านั้น…”
ทันทีที่ชายชราพูดประโยคนี้จบ ซูอี้ก็เพิ่มแรงบีบมือที่กำคอของอีกฝ่ายทันทีส่งผลให้ชายชราเจ็บปวดคอจนแทบสิ้นสติ
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
ชายชราชุดดำกรีดร้อง “ข้ามีนามว่าหลู่เจิง เป็นผู้ตรวจการแห่งตำหนักมารเทียนอวี้ ถ้าเจ้าฆ่าข้า ชีวิตของเจ้าจะไม่มีวันได้สุขสงบ!”
ตำหนักมารเทียนอวี้!
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หยวนอู่ทง มู่ชางถู และคนอื่น ๆ ต่างก็เปลี่ยนสีหน้า นี่คือขุมกำลังอันร้ายกาจจากอีกทวีปหนึ่งซึ่งกำลังสร้างความวอดวายให้แก่ดินแดนต้าโจวไปทั่วทุกหัวระแหง!
“คิดไว้ไม่ผิด”
ซูอี้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ตั้งแต่เมื่อครู่นี้ที่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายชั่วร้ายจากชายชรา เขาก็พอเดาได้เช่นกันว่าอีกฝ่ายน่าจะเกี่ยวข้องกับตำหนักมารเทียนอวี้
“รู้แล้วเหตุใดยังไม่ปล่อยอีก!?”
ชายชราชุดดำที่เอ่ยว่าตนเองชื่อหลู่เจิงเอ่ยอีกครั้งอย่างเคร่งขรึม
“ดูท่าแล้วเจ้าคงไม่ยินยอมร่วมมือแน่ต่อให้ข้าจะหว่านล้อมเจ้ามากเท่าใด ดังนั้นแล้ว… ข้าขอค้นดวงวิญญาณของเจ้าโดยตรงเลยก็แล้วกัน”
หลังจากกล่าวจบ ซูอี้จึงเหยียดมืออีกข้างประทับลงที่กลางหน้าผากของหลู่เจิง จากนั้นก็ส่งจิตสัมผัสทะลวงเข้าไปในวิญญาณของหลู่เจิง
ดวงวิญญาณของหลู่เจิงตกอยู่ในสภาวะเจ็บปวดรุนแรง จนเขาอดไม่ได้ที่จะกรีดร้องออกมาเสียงดังลั่น
แต่เพียงครู่เดียว ซูอี้ก็ถอนจิตสัมผัสกลับออกจากวิญญาณของหลู่เจิง และเอ่ยขึ้นด้วยคิ้วขมวด “ในเมื่อเจ้ามาจากตำหนักมารเทียนอวี้ เหตุใดเจ้าจึงถูกผนึกโดย ‘ผนึกวิญญาณต้องห้าม’ กัน?”
สิ่งที่เรียกว่า ‘ผนึกวิญญาณต้องห้าม’ คือเคล็ดวิชาลับอันสุดโต่ง ผลของมันคือวิญญาณของผู้ใดที่ถูกผนึกนี้ประทับไว้ เมื่อใดที่ถูกค้นวิญญาณ ผนึกนี้จะปะทุพลัง และเข้าทำลายวิญญาณของผู้ที่ถูกผนึกไว้โดยตรง!
ด้วยเหตุนี้ซูอี้จึงถอนจิตสัมผัสของตนเองกลับอย่างรวดเร็ว
ใบหน้าของหลู่เจิงซีดเผือด เพราะหวาดเกรงต่อความเร็วในการตรวจพบผนึกวิญญาณต้องห้ามซึ่งอยู่ในร่างของเขาของซูอี้เป็นอย่างมาก “เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกศัตรูค้นวิญญาณและล่วงรู้ความลับของตำหนักมารเทียนอวี้!”
ซูอี้พยักหน้าเข้าใจ
อันที่จริงการกระทำเช่นนี้เป็นเรื่องปกติของเหล่าขุมกำลังใหญ่
แม้แต่ในสำนักพรตเต๋า อารามพุทธ สำนักลัทธิขงจื่อ หรือขุมกำลังยิ่งใหญ่ฝ่ายธรรมะต่าง ๆ พวกเขาเองก็มีวิธีการเฉพาะของแต่ละสำนักที่มอบให้แก่ลูกศิษย์ทั้งหลายเพื่อเอาไว้ป้องกันไม่ให้ดวงวิญญาณถูกค้นความลับ หรือถ้าถูกค้นก็สามารถระเบิดดวงวิญญาณได้ในทันที
“ข้าจะให้ทางเลือกแก่เจ้า หากตอบคำถามของข้าแต่โดยดี ข้าจะมอบความตายที่ไม่ทรมานให้แก่เจ้า แต่ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วข้าจะทำให้เจ้าได้ลิ้มรสว่าการตายนั้นดีกว่าการมีชีวิตอยู่เป็นเช่นไร”
ซูอี้เอ่ยออกอย่างเย็นชา
แม้ว่าจะไม่สามารถค้นวิญญาณอีกฝ่ายได้ แต่เขาก็ยังมีวิธีทรมานหลายอย่างที่จะสามารถไขคำตอบที่ต้องการจากปากของอีกฝ่ายได้
“สหายเต๋าอยากรู้สิ่งใด?”
หลู่เจิงถามกลับ
“เหตุใดคืนนี้เจ้าถึงโจมตีข้า?” ซูอี้เอ่ยถาม
หลู่เจิงแสดงสีหน้าซับซ้อนก่อนจะตอบว่า “เป็นเพราะสหายเต๋าทำลายงานสำคัญของข้า! ข้าไม่เต็มใจ ดังนั้นข้าจึงต้องการคิดบัญชีกับท่าน!”
ซูอี้เลิกคิ้วเล็กน้อยและเอ่ยถามอย่างมั่นใจราวแปดส่วน “สามวันที่ผ่านมานี้สาเหตุที่มหานครอวิ๋นเหอถูกปิดล้อมมันเป็นเพราะเจ้าบังคับให้ฝูงสัตว์อสูรเข้าโจมตีใช่หรือไม่?”
“ไม่ผิด” หลู่เจิงพยักหน้า
ซูอี้ถามอีกครั้ง “เหตุใดเจ้าถึงทำเช่นนั้น?”
หลู่เจิงเงียบไปครู่หนึ่ง สีหน้าของเขาลังเล “นี่เป็นความลับของตำหนักมารเทียนอวี้ของข้า ต่อให้ท่านจะฆ่าข้าท่านก็ไม่มีทางได้คำตอบจากปากของข้า”
ซูอี้สูดลมหายใจก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าธงปีศาจที่อยู่ในมือขวาของหลู่เจิง จากนั้นเขาก็เพ่งมองอย่างละเอียด ซึ่งเพียงอึดใจเขาก็พบว่าภายในธงนี้กักเก็บเลือดสด ๆ เอาไว้เป็นจำนวนมาก กลิ่นของมันเหม็นคาวรุนแรง
“เจ้ากำลังรวบรวมโลหิต”
ซูอี้ขมวดคิ้วแสดงความรังเกียจและกล่าวว่า “ใช้แก่นแท้โลหิตจากสิ่งมีชีวิตในโลกหล่อเลี้ยงสมบัติวิเศษหรือเพื่อฝึกฝน ‘วิญญาณโลหิต’ ใช่หรือไม่?”
ร่างกายของหลู่เจิงแข็งทื่อ ดวงตาเบิกโพลง แสดงอาการตกตะลึงอย่างไม่อาจปกปิด
“ทุกวันนี้สัตว์อสูรไล่เข่นฆ่าผู้คนไปทั่วหล้า เปลวเพลิงโหมกระหน่ำสูงเจียนจะเสียดฟ้า เรื่องราวเหล่านี้ล้วนผิดแผกไปจากครรลองของโลกหล้า ไม่ว่าจะอย่างไรการที่เหล่าสัตว์อสูรคลุ้มคลั่งจนไล่เข่นฆ่าผู้คนนั้นจะต้องมีเหตุผลเบื้องหลังเสมอ”
ซูอี้กล่าวต่อ “คราวนี้ดูเหมือนว่าเบื้องหลังของความคลุ้มคลั่งของเหล่าสัตว์อสูร คือพวกมันถูกกระตุ้นโดยผู้คนของตำหนักมารเทียนอวี้ของเจ้า”
เม็ดเหงื่อโต ๆ ผุดขึ้นบนหน้าผากของหลู่เจิง เขามองไปยังซูอี้ด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ ริมฝีปากของเขาสั่นเทาราวกับจะพูดอะไรบางอย่างแต่สุดท้ายก็กลั้นไว้
ซูอี้จ้องไปยังหลู่เจิงและยิ้มเยาะ “หากข้าเดาไม่ผิด เจ้าน่าจะวางแผนสร้างกองทัพวิญญาณโลหิตเพื่อให้พวกมันช่วยเจ้าขยายอาณาเขตปกครองของเจ้าและบุกรุกทวีปคังชิงให้รวดเร็วและง่ายขึ้นกระมัง?”
ประโยคนี้ทำให้หลู่เจิงหน้าซีดด้วยความตกใจและอุทานออกเสียงหลงทันที “จ… เจ้ารู้ได้อย่างไร!”
ทันทีที่หลู่เจิงหลุดอุทาน ใบหน้าของเขาดูอัปลักษณ์ยิ่งขึ้น
ดวงตาของซูอี้เต็มไปด้วยความรังเกียจและกล่าวว่า “กลอุบายเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ชั่วช้านี้แม้จะไม่เกิดขึ้นบ่อยนักในโลกนี้และเจ้าคงพอจะปกปิดมันได้จากสายตาของเหล่าผู้ฝึกตนธรรมดาทั่วไป แต่หากคิดซ่อนมันจากสายตาข้าผู้นี้แล้ว… มันเป็นไปไม่ได้!”
หลังจากหยุดชั่วคราว เขาก็พูดต่อ “ครึ่งเดือนที่ผ่านมาผู้ฝึกตนจากตำหนักมารเทียนอวี้ของเจ้าข้ามพรมแดนเข้ามาในมหาทวีปคังชิง ซึ่งถ้าข้าเดาไม่ผิดกลุ่มคนของเจ้าข้ามมาได้ในจำนวนจำกัดอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องใช้กลอุบายกองทัพวิญญาณโลหิตอันชั่วช้าเพื่อขยายกำลังของตัวเอง”
“และด้วยสถานการณ์ปัจจุบันของมหาทวีปคังชิง ภายใต้พลังต้องห้ามจากยุคโบราณที่ยังไม่สลายไปอย่างสมบูรณ์ ผู้ฝึกตนจากแดนอื่นเช่นเจ้าที่ข้ามพรมแดนมาไม่ว่าระดับการบ่มเพาะจะแข็งแกร่งแค่ไหน คนของพวกเจ้าที่มีระดับการบ่มเพาะเหนือกว่าวิถีวิญญาณก็ยังไม่สามารถล่วงล้ำเข้ามาที่นี่ได้ ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าจะถูกพลังต้องห้ามจากยุคโบราณเล่นงานจนดับดิ้น”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ ซูอี้จึงสรุปว่า “โดยสรุป ขุมกำลังจากตำหนักมารเทียนอวี้ที่ข้ามพรมแดนมา ณ ตอนนี้มีเพียงแค่ทัพหน้าเท่านั้น”
“เจ้า… เจ้า…”
หนังศีรษะของหลู่เจิงชาหนึบ เขาตกตะลึงจนพูดไม่ออก
เมื่อเห็นอารมณ์ของอีกฝ่ายสั่นคลอน ซูอี้จึงถามอย่างเย็นชาว่า “ฉู่ซิวอยู่ที่ใด”
“ผู้อาวุโสฉู่เขา…”
หลู่เจิงพูดเพียงเท่านี้แล้วหุบปากทันทีก่อนจะตวาดอย่างโกรธเคือง “ข้าไม่มีวันบอกเจ้าแน่!”
ซูอี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เขาเป็นผู้อาวุโสของตำหนักมารเทียนอวี้ของเจ้าไม่ใช่หรือ? อืม… ถ้าเช่นนั้นแล้วเขาน่าจะออกจากต้าเซี่ยและเดินทางมายังต้าโจวแล้วแน่นอน…”
สีหน้าของหลู่เจิงดำคล้ำยิ่งกว่าถ่านไม้ เขากัดฟันกรอดไม่ปริปากพูดอะไร…
เมื่อแลเห็นภาพนี้ ซูอี้ก็ยิ้มและกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นเรามาพูดถึงเรื่องไม่สำคัญกันบ้างก็แล้วกัน เมื่อเร็ว ๆ นี้มีข่าวลือไปทั่วว่าราชวงศ์โจวและสำนักดาบมังกรเร้นได้ยอมจำนนต่อพวกเจ้าตำหนักมารเทียนอวี้แล้ว เรื่องนี้จริงหรือเท็จ?”
หลู่เจิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่ท้ายที่สุดพยักหน้ายอมรับ
ซูอี้ถามต่อ “คราวนี้คนที่มายังมหาทวีปคังชิงไม่ใช่มีเพียงตำหนักมารเทียนอวี้ของมหาทวีปเทียนตูใช่หรือไม่?”
หลู่เจิงดวงตาเบิกกว้าง “เจ้ารู้จักมหาทวีปเทียนตูด้วยอย่างนั้นหรือ!?”
ซูอี้ตอบกลับอย่างเรียบเฉย “แปลกอย่างไรกัน? ผู้อาวุโสฉู่ของเจ้าเคยโน้มน้าวให้ข้าทำสัญญาและภักดีต่อตำหนักมารเทียนอวี้แลกกับผลประโยชน์หลายประการ แต่น่าเสียดายที่หลังจากถูกข้าปฏิเสธ ดูเหมือนว่าเขาจะโกรธและวางแผนที่จะมาเยือนต้าโจวเพื่อแก้แค้นทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้าซูผู้นี้”
หลู่เจิงตะลึงงันราวกับถูกฟ้าผ่า “จ… เจ้าคือซูอี้!?”
ซูอี้หัวเราะและกล่าวว่า “แม้แต่เจ้าก็ยังรู้จักนามของข้าอย่างนั้นหรือ? ฮะ ๆ เช่นนี้ก็แสดงว่าผู้อาวุโสฉู่ของเจ้าเดินทางมาถึงต้าโจวแล้วจริง ๆ ว่าแต่เขาได้บอกให้ตัวตนสำคัญของตำหนักมารเทียนอวี้มาสนใจซูผู้นี้โดยเฉพาะบ้างหรือไม่? หรือสนใจผู้ที่เกี่ยวข้องกับข้าแทน?”
หลู่เจิงแทบจะหน้ามืดสิ้นสติเมื่อเห็นว่าซูอี้สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวได้จากคำพูดแค่คำเดียวของเขา
ชายผู้นี้เฉียบแหลมเกินไปหรือไม่!?
“ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าต่อจากนี้ข้าจะไม่ตอบสิ่งใดแก่เจ้าอีก!”
หลู่เจิงตะโกนเน้นทีละคำ
ซูอี้พ่นลมหายใจและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เป็นไร ขณะนี้ข้าได้รู้ทุกอย่างที่ต้องรู้จากเจ้าจนสิ้นแล้ว”
ยังไม่ทันที่เสียงจะจางหาย
กร๊อบ!
คอของหลู่เจิงถูกบีบจนกระดูกแหลก ศีรษะของเขาพับลงไปบนไหล่ของตนเองทันที
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึงและสับสน ราวกับว่าเขาไม่อยากเชื่อ เมื่อครู่นี้ซูอี้ยังพูดคุยกับเขาอย่างปกติอยู่เลย แต่แล้วจู่ ๆ กลับปลิดชีพเขาอย่างโหดเหี้ยม!
ไม่มีการให้เขาได้เตรียมใจตายแม้แต่น้อย…
นี่มันคือการตายอย่างฉับพลันไม่รู้ตัว!
ในระยะไกลเมื่อเห็นฉากนี้ หยวนเหิง เก๋อเฉียน และคนอื่น ๆ สีหน้าไม่แปรเปลี่ยนแม้แต่น้อย ทั้งยังสงบมาก
ทว่าหยวนอู่ทง มู่ชางถู และคนอื่น ๆ ต่างตกตะลึงจนยืนค้างอยู่กับที่
ในหมู่พวกเขา มู่ชางถูคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งอีกก้าวเดียวจะย่างก้าวเข้าสู่วิถีต้นกำเนิด
แต่เมื่อแลเห็นหลู่เจิงผู้ซึ่งอยู่ในขั้นวิถีต้นกำเนิดขอบเขตเปิดทวารที่มาจากตำหนักมารเทียนอวี้ถูกซูอี้หักคออย่างง่ายดายราวกับไก่บ้านเช่นนี้ พวกเขาจะไม่ตกตะลึงได้อย่างไร?
เมื่อเห็นสีหน้าตะลึงค้างของหยวนอู่ทงและคนอื่น ๆ หยวนเหิงจึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ พลางลอบคิดว่าต้าโจวนั้นล้าหลังเกินไป ไม่น่าแปลกใจที่ในสายตาของต้าเซี่ยมันจะเป็นเพียงแค่อาณาจักรเล็ก ๆ ที่ไม่ควรค่าให้ชายตามอง
กลับกันหากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ปรากฏในต้าเซี่ยและมันถูกเห็นโดยผู้คนมากมายในที่สาธารณะ ไม่เพียงแต่จะไม่มีใครตกตะลึง แต่ยังจะมีแต่คนครหาว่านายท่านของเขารังแกตัวตนขอบเขตเปิดทวาร…
“โชคดีที่ครานั้นข้าตัดสินใจถูกต้องที่จะติดตามนายท่านออกจากต้าโจว ได้เห็นความยิ่งใหญ่ของโลกนี้และภายใต้การชี้แนะของนายท่าน ระดับการบ่มเพาะของข้าจึงก้าวหน้าไปครั้งแล้วครั้งเล่าจนประสบความสำเร็จเช่นดั่งทุกวันนี้ ไม่เช่นนั้นถ้าข้าหยวนเหิงคงยังดักดานอยู่แต่ในต้าโจว และเกรงว่าปัจจุบันนี้ข้าคงจะยังไม่ย่างก้าวเข้าวิถีต้นกำเนิดเสียด้วยซ้ำ และเรื่องกลายร่างนั้นยิ่งไม่ต้องคิดฝันถึงเลย…”
หยวนเหิงถอนหายใจกับตัวเอง
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ เขายังเป็นเพียงปีศาจตัวเล็กจ้อยวิถียุทธ์ซึ่งเขาติดในขั้นนั้นมานานแล้วกว่าหลายร้อยปี!
ทว่าตั้งแต่ติดตามซูอี้ ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน เขากลับกลายเป็นตัวตนผู้อยู่ในขอบเขตรวบรวมดาราอย่างแท้จริง! อีกทั้งเขายังสืบทอดมรดกสูงสุดของเต่ามังกรดำ!
ฮ่า ๆๆ!
ในขณะเดียวกัน เปลวไฟจากปลายนิ้วของซูอี้ก็ลุกโชนเผาร่างของหลู่เจิงให้กลายเป็นเถ้าถ่านในพริบตา
จากนั้นเขาเก็บสมบัติที่มีติดตัวของอีกฝ่าย
ธงวิญญาณ ง้าวโลหิต หินวิญญาณ สมุนไพรวิญญาณและของเบ็ดเตล็ดอีกหลายอย่าง
ทว่าดวงตาของซูอี้จับจ้องอยู่ที่เครื่องรางลับสีดำชิ้นหนึ่ง!