บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 556: หมู่ดาริกาเหลือคณานับจะถูกแขวนลง
ตอนที่ 556: หมู่ดาริกาเหลือคณานับจะถูกแขวนลง
ตอนที่ 556: หมู่ดาริกาเหลือคณานับจะถูกแขวนลง
“ในที่สุดก็มาถึง…”
เหนือภูเขาอันปกคลุมด้วยหิมะ เส้นผมยาวของโม่ซิงเจ๋อโบกสะบัด ชุดคลุมพลิ้วละลิ่ว
เขาเงยหน้าขึ้น ดวงตาเป็นประกายแสงสีเงินมองขึ้นสู่ฟ้า เห็นเมฆสีดำดั่งหมึกรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว
บรรยากาศหดหู่แห่งการทำลายล้างแผ่กระจายทั่วฟ้าดิน
ทว่าโม่ซิงเจ๋อไม่ได้หวาดกลัว กลับกันเลย… สีหน้าของเขาเจือความตื่นเต้นเฝ้ารอดู!
หลังถูกจองจำในยุคมืดมาสามหมื่นปี ถึงกาลที่เขาจะย่างเข้าสู่วิถีวิญญาณ!
ตู้ม!
ไม่นานจากนั้น หายนะก็บังเกิด
ร่างของโม่ซิงเจ๋อทะยานจากฟ้า พุ่งตรงมา
ในวันเดียวกัน โม่ซิงเจ๋อ ตัวตนจากยุคโบราณแห่งโถงวิญญาณหยินทมิฬได้ข้ามผ่านหายนะบนยอดเขาหิมะ และก้าวเข้าสู่วิถีวิญญาณได้สำเร็จ กลายเป็นมหาปราชญ์สวรรค์!
ยามเมื่อเขาข้ามผ่านหายนะได้สำเร็จ ตะวันทมิฬอันมโหฬารและแปลกประหลาดก็ปรากฏขึ้นบนร่างของเขา
นิมิตเช่นนี้… กล่าวได้ว่าเป็นตะวันทมิฬแห่งขุมนรก!
…
“เปิด!”
ยามค่ำคืนในป่าเขา
หวนเฉ่าโหยวทะลึ่งขึ้นสู่ฟ้า แผดเสียงสู่นภา
เส้นผมยาวสีม่วงของเขาโบกสะบัดรุนแรง เสื้อผ้าพองตามลม และพลังจากผนึกในร่างก็ถูกปลดปล่อยอย่างสมบูรณ์ เพลิงปีศาจสีเลือดพลิ้วไหวเห็นได้ชัดด้วยตาเปล่า พุ่งทะยานลึกขึ้นฟ้าจากเหนือกระหม่อม
ตู้ม!
ท้องฟ้ารัตติกาลสั่นไหวครืนคราง หมู่เมฆาสิบทิศถล่มล้ม
หายนะอสนีบาตอันรุนแรงน่าสะพรึงกลัวทอดลงมาจากฟ้าราวน้ำตก ส่องแสงสว่างเจิดจ้าแก่จักรวาล ทั้งยังปกคลุมโลกานี้ด้วยบรรยากาศหายนะชวนใจหาย
นี่คือมหาหายนะจากการแปรเปลี่ยนวิญญาณของหวนเฉ่าโหยว
ทายาทสายตรงของตระกูลหวนเผ่ามารผู้นี้มี ‘สายเลือดที่แท้จริงของอสูรสวรรค์’ ไม่นานก่อนหน้านี้ เขาได้เปลี่ยนแปลงมหาวิถีและรากฐานของตนใน ‘สระหล่อมาร’
ยามนี้ ศักยภาพและมหาวิถีของเขาได้รับการปลดปล่อยอย่างเต็มที่ภายใต้มหาหายนะนี้!
ครึ่งชั่วยามต่อมา
เมฆดำสลายหาย
หวนเฉ่าโหยวยืนอยู่บนอากาศ ดวงเพลิงปีศาจสีเลือดลอยอ้อยอิ่งรอบกาย ร่างเต็มไปด้วยบรรยากาศแข็งแกร่งร้ายแรงอันเป็นลักษณะของมหาปราชญ์สวรรค์ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ
“นี่หรือคือพลังของวิถีวิญญาณ? ข้าไม่รู้เลยว่าตัวข้าแข็งแกร่งกว่าเก่าเพียงไร ว่าแล้วเชียว บรรยากาศบรรพกาลทั่วฟ้าดินของเกาะเซียนพระสุเมรุนี้สามารถทำให้ผู้ฝึกตนสามารถเลื่อนขอบเขตได้โดยแท้จริง…”
หวนเฉ่าโหยวกล่าวกับตนเอง ดวงตาทอประกายกระหายเลือด “ซูอี้ เจ้าจะสู้กับข้าไปเพื่อสิ่งใด?”
…
การเลื่อนขอบเขตของโม่ซิงเจ๋อและหวนเฉ่าโหยวนั้นราวกับเป็นสัญญาณ
ในช่วงสองสามวันถัดมา ยอดฝีมือผู้ระดับฝึกฝนค้างอยู่ในขั้นสมบูรณ์แบบของขอบเขตรวบรวมดาราคนแล้วคนเล่าต่างเรียกหายนะแปรเปลี่ยนวิญญาณเพื่อข้ามสู่วิถีวิญญาณกันโดยถ้วนทั่ว
เช่นจิงหลิงเจิน ผู้ร้ายกาจยุคโบราณจากสำนักผลาญตะวัน เฉิงผู ซึ่งต้องสงสัยว่าจะเป็นทายาทของราชันย์มารสวนกู่ ฉือเจี่ยนซู่ ผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณซึ่งมีที่มาที่ไปเป็นปริศนา เฉินลวี่ หลวงจีนจากวัดมหาจันทรา และเจ้าสำนักน้อยแห่งสำนักเต๋าชิงอี่ หลี่หานเติง…
ผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณและเหล่าผู้เก่งกล้ายุคปัจจุบันในโลกติดค้างอยู่ในขอบเขตรวบรวมดารามาหลายปี
และหนึ่งในจุดประสงค์ที่พวกเขามายังเกาะเซียนพระสุเมรุครานี้ก็เพื่อเลื่อนขอบเขต พวกเขาจึงได้เตรียมตัวมาก่อนเยือนถึงเกาะเซียนพระสุเมรุ!
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ การย่างสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณของพวกเขาจึงเป็นเรื่องแน่นอน
ยิ่งกว่านั้น มันยังแตกต่างจากการเปลี่ยนขอบเขต ณ โลกภายนอกอีกด้วย
ด้วยการหนุนเสริมจากบรรยากาศบรรพกาลทั่วฟ้าดินในเกาะเซียนพระสุเมรุ ผู้ฝึกตนทุกผู้เมื่อเผชิญหายนะและเลื่อนขอบเขต พวกเขาจะชักนำมาซึ่งหายนะอันร้ายกาจเกินคาดคิด
ทว่าขอเพียงข้ามผ่านหายนะเหล่านี้ได้ การเลื่อนขอบเขตจะสามารถทำได้สำเร็จลุล่วงอย่างแน่นอน
ในลักษณะนี้ พื้นฐานและพื้นหลังของขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณที่ถูกสร้างขึ้นจะเทียบได้กับบุคคลในขอบเขตขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณรุ่นก่อน ๆ เมื่อครั้งสามหมื่นปีก่อน!
…
วันที่เจ็ดเดือนสิบ
ณ ป่าโบราณอันเต็มไปด้วยซากปรักหักพังของแท่นศิลา
“ฟ้าผ่าอีกแล้ว”
เก๋อเฉียนมองขึ้นไปไกลบนฟ้า แล้วก็อดพึมพำไม่ได้
สีหน้าของเขาแฝงไปด้วยความวิตกกังวล
เสียงอันทำให้โลกาสั่นไหวนี้คือเสียงของอสนีบาตที่ฟาดลงมา
หลังจากเหตุการณ์สระบัวในหุบเขา พวกเขาก็ติดตามซูอี้เพื่อสำรวจโลกเร้นลับนี้มาตลอดทาง
ในเวลาเพียงห้าวัน พวกเขาก็พบกับหมู่เมฆดำ รวมถึงเส้นสายอสนีบาตระหว่างทางมากกว่าสิบหน
และนี่ยังหมายความว่ามียอดฝีมือมากกว่าสิบคนที่เรียกหายนะเหล่านี้มา!
“หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ดูเหมือนบุคคลในวิถีต้นกำเนิดเช่นเรา ๆ คงไม่อาจขยับได้แม้เพียงนิ้ว อย่าว่าแต่สำรวจหาโอกาสเลย ขอเพียงเผชิญหน้าศัตรู เราจะถูกถือเป็นเหยื่อที่เชือดทิ้งได้”
เก๋อเฉียนถอนหายใจเบา ๆ
“คุยกันให้น้อยหน่อย”
เหวินซินจ้าวถลึงตามองเก๋อเฉียน “คราก่อนที่สระบัว พอเจ้าพึมพำเช่นนี้ เจ้าก็ถูกเฟิงจื่อตูโจมตี”
เก๋อเฉียนรู้สึกอับอายขึ้นมา ก่อนจะกล่าวว่า “ข้าเองก็กังวลกับสถานการณ์ของเราเช่นกัน เพราะถึงอย่างไร ในหมู่พวกเรา แม่นางซินจ้าว ผลการฝึกฝนของเจ้าสูงที่สุด เมื่อวานเจ้าก็ก้าวสู่ขั้นปลายของขอบเขตรวบรวมดาราแล้วนี่”
“แม่นางซือฉานรองลงมา ยามนี้อยู่ในขั้นกลางของขอบเขตรวบรวมดารา”
“และข้ากับคุณชายซูก็ห่างจากขอบเขตรวบรวมดาราเพียงก้าวเดียว”
“ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ หากแต่ผลการฝึกฝนของเราก็ยังอยู่ในวิถีต้นกำเนิดอยู่ดี ตัวตนเช่นนั้นห่างจากเราลิบลับ”
“ในสถานการณ์เช่นนี้ เป็นธรรมดาที่ข้าจะกังวล”
จากนั้นเขาก็ถอนหายใจอีกครั้ง
วิถีต้นกำเนิดแบ่งออกเป็นสามขอบเขตใหญ่ นั่นคือไร้เบญจธัญ เปิดทวาร และรวบรวมดารา
ส่วนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณคือขอบเขตแรกของวิถีวิญญาณ ซึ่งอยู่เหนือวิถีต้นกำเนิดโดยสิ้นเชิง! และอำนาจที่ขอบเขตดังกล่าวครอบครองก็นับว่าสูงล้ำฟ้า!
คำกล่าวของเก๋อเฉียนทำให้เหวินซินจ้าวและเยว่ซือฉานรู้สึกหนักอึ้ง
วิถีต้นกำเนิดและวิถีวิญญาณคือสองวิถีที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง
เมื่อตัวตนจากยุคโบราณและเหล่าผู้เก่งกล้ายุคปัจจุบันในเกาะเซียนพระสุเมรุทั้งหมดเหยียบย่างสู่วิถีวิญญาณ ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็จะพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็น ‘มหาปราชญ์สวรรค์’ โดยแท้จริง
เช่นนั้นแล้ว จะไม่ทำให้พวกเขาซึ่งยังอยู่ในวิถีต้นกำเนิดไม่กังวลได้เช่นไร?
“ความแข็งแกร่งนั้นไม่อาจถูกวัดโดยขอบเขตการฝึกฝนได้”
เสียงราบเรียบของซูอี้ดังมาจากที่ที่ห่างออกไป เขากำลังเพ่งพินิจแท่นศิลาแท่นหนึ่งอยู่ “การฝึกฝนแสวงหาวิถี จำไว้เสมอว่าต้องมั่นคงไม่วู่วาม หาไม่ พื้นฐานที่ถูกสร้างของแต่ละขอบเขตจะไม่มั่นคง และระหว่างเส้นทางก็จะเต็มไปด้วยความผิดพลาดทุกย่างก้าว ความสำเร็จมหาวิถีในภายหน้าจะมีจำกัด”
ในอดีตชาติ ครั้งที่อยู่เก้ามหาแดนดิน ตอนนั้นตัวเขาเข้าถึงขอบเขตขอบเขตพันธะลึกล้ำ ทว่าเหตุใดจึงหวนวัฏสงสารกลับมาเริ่มใหม่กัน?
เหตุผลนั้นก็เพราะยามค้นหาเส้นทางถัดไป เขาบังเกิดความเสียใจภายหลัง!
และด้วยวิถีเต๋าอันรุ่งเรืองที่สุดในอดีตชาติ เพื่อทดแทนความเสียใจเดิม เขาจึงทำได้เพียงเข้าวัฏสงสารเพื่อเริ่มต้นใหม่ ซึ่งเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องจ่ายราคาแสนแพงออกไป!
สิ่งนี้กล่าวได้ว่าเป็นบทเรียนที่แลกมาด้วยเลือดและน้ำตา
ดังนั้นแล้ว… ยามฝึกฝนในชาตินี้ เรื่องต้องห้ามสูงสุดของซูอี้ก็คือการรีบเร่งเลื่อนขอบเขตอย่างหน้ามืดตามัวในเส้นทางการฝึกตน โดยเมินเฉยการเสริมรากฐานแห่งวิถีให้มั่นคง
“ส่วนสิ่งที่เจ้าเป็นกังวล มันจะไม่เกิดขึ้นหรอก”
ซูอี้กล่าว “หากคนเช่นหวนเฉ่าโหยวเป็นอย่างที่เจ้าคิด และทำตัวไร้กฎเกณฑ์หลังย่างเท้าสู่วิถีวิญญาณ เช่นนั้นพวกเขาก็จะทำได้เพียงตายอย่างอนาถเท่านั้น”
หลังจากนั้น เขาก็มองแท่นศิลาตรงหน้าต่อ
หลังมายังป่าแท่นศิลาอันหักพังแห่งนี้ ซูอี้ก็ทราบในทันทีว่าที่แห่งนี้คือ ‘ป่าศิลาบรรลุแจ้ง’ ซึ่งเตรียมไว้ให้ศิษย์หอศักดิ์สิทธิ์พระสุเมรุเป็นการพิเศษ
แท่นศิลาแต่ละแท่นมีจารึกร่องรอยมหาวิถีเอาไว้
ผู้ฝึกตนจะนั่งสมาธิหน้าแท่นศิลานี้โดยหวังจะเข้าใจถึงจังหวะมหาวิถี และอาจมีจังหวะวิถีที่ตนควบคุมได้เอง
มีแท่นศิลามากกว่าห้าสิบแผ่นอยู่ในป่าศิลานี้ ทว่าส่วนใหญ่ได้พังทลายลงไปแล้ว
ส่วนแท่นศิลาที่ยังคงหลงเหลือ หลังผ่านการกัดกร่อนอันยาวนานของกาลเวลา ร่องรอยของมหาวิถีต่าง ๆ ที่ติดอยู่กับพวกมันจึงรางเลือนลงไป
สำหรับผู้ฝึกตนใด ๆ แท่นศิลานี้เหลือค่าเพียงเล็กน้อย
ทว่าในสายตาซูอี้ มีจังหวะวิถีอย่างหนึ่งที่เขาต้องการ…
สายฟ้า!
สิ่งที่เขากำลังมองอยู่ในขณะนี้ก็คือแท่นศิลาซึ่งเดิมเคยฝังร่องรอยมหาวิถีแห่งสายฟ้า แม้จะเลือนรางลงไปบ้าง ทว่าร่องรอยของมันก็ยังพอมีเหลือ
สำหรับซูอี้ นี่เพียงพอต่อการทำความเข้าใจความหมายอันลึกล้ำแห่งอสนีบาต!
กาลเวลาผันผ่าน
ซูอี้นั่งอยู่หน้าแท่นศิลาจวบพลบค่ำ ทว่าทันใดนั้นก็หลับตาลุกขึ้น
หือ?
เหวินซินจ้าว เยว่ซือฉาน และเก๋อเฉียนผู้เฝ้ารออยู่ในบริเวณใกล้เคียงต่างสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงได้และหันมองซูอี้
เมื่อเห็นซูอี้ลุกขึ้น รอบกายของเขาราวกับถูกปลดพันธนาการออกหนึ่งชั้น พลังในร่างของเขางอกเงยดั่งดอกเห็ดหลังพิรุณโปรย!
จนกระทั่งร่างของเขายืนตรงเยี่ยงดาบ เสียงพลังปราณครืนครางจึงดังขึ้นรอบเขาราววายุอสนีบาต
จากนั้น…
เหนือนภาค่ำคืน คลื่นกระเพื่อมรุนแรงบังเกิดกะทันหันราวกับมีอำนาจวิถีเกินสายตาเพ่งมองจุติลงมา ทำนองเสียงแห่งวิถีระเบิดขึ้นราวมาจากบนชั้นฟ้า งดงามราวปาฏิหาริย์
ภายใต้สายตาตกตะลึงของพวกเหวินซินจ้าว ทุ่งดารากว้างใหญ่พลันปรากฏลึกขึ้นไปในท้องฟ้าราตรี และดาราจรัสแสงนับไม่ถ้วนต่างหมุนวน ส่องประกายระยิบระยับพร่างพราว
ทันใดนั้น เมื่อดวงดาราเคลื่อนคล้อย ลวดลายอัศจรรย์อันกว้างใหญ่ก็ถูกวาดออกมาอย่างเงียบ ๆ…
ใช้จักรวาลเป็นฐาน ลวดลายเหล่านั้นกลมดั่งวงล้อหยินหยาง ดวงดารานับไม่ถ้วนแบ่งครึ่งหยินหยางหมุนวนไปมา แปรผันไม่รู้จบ
ในวงล้อหยินหยางท่ามกลางหมู่ดาว ปรากฏภาพฉายคล้ายดาบขึ้น ณ ใจกลางเส้นแบ่งครึ่งหยินหยางของสรรพดาราราง ๆ
หนึ่งดาบลากจูงมวลดารา พัฒนาไท่จี๋ แบ่งครึ่งหยินหยาง แทงทะลวงความโสมม พันหมื่นเปลี่ยนแปรเช่นเม็ดทราย!
“นี่มัน…”
เหวินซินจ้าวและพวกต่างตะลึงทั้งกายและใจราวกับพบปาฏิหาริย์
ทว่าปรากฏการณ์เหนือธรรมชาตินี้หายไปอย่างเงียบงันในเวลาเพียงไม่กี่พริบตา
ทุกสิ่งคืนสู่ปกติ
ไม่ห่างไปนัก ซูอี้ผู้ยืนไพล่มือไว้เบื้องหลังลืมตามองขึ้นไปบนฟ้าเล็กน้อย ชุดคลุมสีเขียวกระเพื่อมไหวไปกับสายลมรัตติกาลราวตัดขาดจากโลกา
และบรรยากาศรอบกายเขาก็เปลี่ยนแปลงอย่างสะท้านปฐพี
“ยามผู้ฝึกตนในขอบเขตเปิดทวารรวบรวมดารา หมู่ดาริกาเหลือคณานับจะถูกแขวนลง!”
ซูอี้กระซิบในใจ “นี่แข็งแกร่งกว่าตัวข้าในอดีตชาติมากนัก…”
อารมณ์ของเขาเจือไปด้วยความปลาบปลื้ม
การทะลวงคอขวดเลื่อนขอบเขตในครานี้เป็นราวน้ำเต็มแก้วซึ่งทะลักล้นออกมา
ไร้การบังคับแม้แต่น้อย เป็นการเลื่อนขอบเขตตามครรลอง
จากประสบการณ์ในอดีตชาติและความเข้าใจในขอบเขตรวบรวมดาราของซูอี้ เขาย่อมเข้าใจดีว่าพื้นฐานมหาวิถีซึ่งสร้างในขอบเขตรวบรวมดาราครานี้แข็งแกร่งยิ่งแม้แต่ในเก้ามหาแดนดินทั้งอดีตและปัจจุบัน เรียกได้ว่ามีเพียงหนึ่งและคงยากหาผู้ใดเสมอเหมือน!!