บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 146: เยือนหอคณิกา
คล้ายว่าซูอี้มองทะลุความคิดอ่านของหวงเฉียนจวินออก ถ้อยคำกล่าวเตือนจึงตามมา “จางอี้เหรินกล่าวว่ากองทัพเป็นสถานที่อันเปล่าเปลี่ยว เหล่าทหารจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องทนต่อความเหงา คืนนี้เจ้าจงดื่มด่ำและสนุกกับตัวเองให้เต็มที่ ถือซะว่าเป็นการผ่อนคลายก่อนเผชิญต่อเรื่องยาก”
หวงเฉียนจวินไอแห้งอย่างกระอักกระอ่วน ก่อนจะเอ่ยออกด้วยถ้อยเสียงอันมุ่งมั่น “พี่ซู ขณะนี้ความคิดอ่านของข้าได้เปลี่ยนไปสิ้นแล้ว ข้าจะปล่อยตัวปล่อยใจไปกับความสุขเสเพลเช่นเดิมอีกได้อย่างไร?”
“เจ้าคิดผิด บุรุษชมชอบต่อสตรีเป็นวิถีปกติแห่งมนุษย์ ฝืนกั้นตนเองรังจะเกิดแต่ผลเสีย บุรุษควรเป็นบรุษ สตรีควรประพฤติเยี่ยงสตรี…”
ทันใดนั้น ซูอี้เข้าใจว่าตนเองพูดคลุมเครือจนเกินไป เขาจึงเอ่ยอธิบายใหม่ขึ้นอีกรอบ “เป็นที่ทราบโดยทั่วกัน วิถีเต๋ามีวิธีบำเพ็ญเพียรคู่ ศาสนาพุทธทำสมาธิเพื่อแสวงหาความสุขอันแท้จริง ธรรมชาติมีหยินและหยาง ส่วนลัทธิขงจื่อก็เชื่อว่าอาหาร บุรุษ สตรี หรือความปรารถนาควรได้รับการเผยแผ่”
ซูอี้พูดอย่างฉะฉาน “เจ้าจงใช้ความรักระหว่างชายและหญิงในโลกนี้เพื่อขัดเกลาซึ่งจิตใจ เมื่อเจ้ารับรู้และเข้าใจอย่างถี่ถ้วนแล้ว เจ้าย่อมสามารถทำสิ่งใดก็ได้ตามที่ตัวเจ้านั้นต้องการโดยไม่ละเมิดกฎแห่งฟ้าดิน”
หวงเฉียนจวินตกตะลึงจนดวงตาเบิกกว้าง เขารู้สึกถึงการตื่นรู้
ถ้อยคำเอ่ยถามโดยไม่รู้ตัว “พี่ซู เช่นนั้นพี่คิดว่าความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือสิ่งใด?”
ซูอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนตบไหล่อีกฝ่ายแล้วพูดว่า “เจ้าจะรู้แจ้งเองเมื่อถึงเวลา”
“วันนี้พอเท่านี้ก่อน”
ซูอี้เดินกลับไปที่ห้องโดยเอามือไพล่หลัง
ผู้คนอื่นอาจเข้าใจว่า เรื่องวุ่นวายที่เพิ่งเกิดขึ้นในตอนเช้าสิ้นสุดลงไปแล้ว
แต่สำหรับซูอี้ เรื่องนี้ยังไม่จบ
คนที่โจมตีเขาด้วยยันต์ดาบต้องชดใช้!
แทบไม่ต้องเดาให้มากมายก็ควรรู้ว่าผู้ที่ลอบโจมตีต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับฉาจิ่น
เมื่อวานนี้ ฉาจิ่นมาเยือนที่เรือนเงียบสุขสงบ
สรุปให้สั้นคือ ตราบใดที่พบฉาจิ่น คนลอบโจมตีผู้นั้นจะถูกค้นพบ
ซึ่งขณะนี้ ฉาจิ่นนั้นอาศัยอยู่ศาลาคลื่นซัดทราย!
“พี่ชาย ความรักที่พี่ซูอี้พูดเมื่อกี้คืออะไร?” เฝิงเสี่ยวหรานถามด้วยความสงสัย
ทั้งนางและเฝิงเสี่ยวเฟิงล้วนได้ยินสำนวนของซูอี้
“เอ่อ เจ้าจะรู้เรื่องนี้เมื่อเจ้าเติบใหญ่”
เฝิงเสี่ยวเฟิงรู้สึกแปลก ๆ ในใจ ถ้อยคำอธิบายความรักลึกซึ้งเช่นนั้น พี่ซูเอาเวลาจากไหนไปตระหนักรู้ ต้องรู้ว่าเขาและพี่ซูอายุห่างกันไม่ถึงสองปีเสียด้วยซ้ำ?
และยิ่งไปกว่านั้น อารมณ์ความรักที่เขาคิดว่าธรรมดา กลับกลายเป็นเกี่ยวข้องต่อการบ่มเพาะอย่างสำคัญยิ่ง…
นึกไม่ถึงเลย เพียงฟังคำพูดไม่กี่ประโยค กลับได้ความรู้กว่าการอ่านตำรานับสิบปี!
…
ในห้อง
“ชิงหว่าน จงออกมาดูหยกวิญญาณนี่เร็ว” ซูอี้เคาะน้ำเต้าปลุกวิญญาณเบา ๆ
ทันใดนั้น มวลควันสีขาวพลันปรากฏ จากนั้น ชิงหว่านในชุดสีเลือดได้ปรากฏกายขึ้นลอยบนอากาศ
เมื่อนางเห็นหยกวิญญาณในมือของซูอี้ ดวงตาของนางก็เบิกกว้าง ขนตาของนางสั่นเล็กน้อย และท่าทางตื่นเต้นที่หายากยิ่งก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเล็ก ๆ ที่สวยงามและน่าเอ็นดูของนาง “นายท่าน ขอหยกวิญญาณนี้ให้ข้าเถิด ข้ารู้สึกคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างมาก มันคล้ายกับได้กลับไปยังบ้านที่ข้าเกิดและเติบโต”
หลังจากถ้อยคำเอ่ยครบ ร่างของนางกลายเป็นลำแสงพุ่งตรงไปยังจี้หยกวิญญาณ แต่น่าเสียดายเมื่อสัมผัสกับจี้หยก เสียงกระแทกดังก้องไปทั่วห้อง ราวกับพุ่งชนกำแพงแข็ง ร่างของนางเซถอยไม่อาจควบคุม
ชิงหว่านเอามือปิดหัวด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าเผยรอยยิ้มกระอักกระอ่วนโง่งม
แลเห็นเช่นนี้ ซูอี้ได้แค่ส่ายหัว ถ้อยคำขบขันพลางกล่าวออก “พลังของหยกวิญญาณนี้หมดลงแล้ว จึงเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะกลับไปอาศัยอยู่ด้านใน ลองมาดูนี่ก่อน เจ้าจำลวดลายบนหยกวิญญาณนี้ได้หรือไม่?”
“หว่านเอ๋อร์รู้สึกคุ้นเคยมาก ดูเหมือนจะเคยเห็นมันที่ไหนสักแห่ง แต่ข้าจำไม่ได้”
ซูอี้ลอบถอนหายใจก่อนจะเก็บหยกวิญญาณเอาไว้ในจี้หยกสีดำที่ข้างเอว และพูดว่า “หากเป็นเช่นนี้ ดูเหมือนว่าทางเดียวที่เหลืออยู่คือตามหาหูเยี่ยนไห่มาสอบถาม เราจึงจะสามารถหาเบาะแสเพิ่มเติมเกี่ยวกับที่มาของจี้หยกวิญญาณชิ้นนี้ได้”
ชิงหว่านกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “นายท่าน หากเรื่องราวของข้าลำบากเกินไป เช่นนั้นรอหว่านเอ๋อร์แข็งแกร่งขึ้นก่อนดีหรือไม่ บางทีในตอนนั้นหว่านเอ๋อร์อาจจะจำบางสิ่งจากอดีตได้”
ซูอี้ยิ้มและกล่าวว่า “รู้จักเห็นอกเห็นใจข้า นับว่าไม่เลว”
ชิงหว่านก้มศีรษะลงอย่างเขินอาย แต่นางลอบพูดในใจ ‘ในเมื่อนายท่านดีต่อหว่านเอ๋อร์มาโดยตลอด มันย่อมสมควรแล้วหากหว่านเอ๋อร์จะดีต่อนายท่านกลับ’
ต่อมา ซูอี้กลืนกระดกดื่มยาฟื้นฟูปราณวิญญาณและเริ่มนั่งสมาธิ
ครั้งเมื่อตอนต่อสู้เมื่อเช้านี้ เขาใช้เพลงดาบมหามิติพรากวิญญาณถึงสามครั้งติดต่อกัน ทำให้ปราณวิญญาณร่อยหรอและอ่อนแอ
นอกจากนี้ ชายหนุ่มยังถูกโจมตีโดยยันต์ดาบลึกลับ แม้จะได้รับบาดเจ็บไม่มากนัก แต่ก็ต้องใช้เวลาในการรักษา
หากคืนนี้จะไปเยือนศาลาคลื่นซัดทราย เขาจะต้องเร่งรีบฟื้นฟูตัวเองตั้งแต่เนิ่น ๆ
…
เที่ยงวัน
หยวนลั่วซีและเฉิงอู้หย่งมาเยี่ยมเยียนกัน และพวกเขาก็นำกล่องอาหารมากล่องหนึ่ง ซึ่งมีอาหารเลิศรสบรรจุอยู่หลายอย่าง
พวกเขารับประทานอาหารตรงโต๊ะหินในลานบ้าน
ในระหว่างการสนทนา เมื่อหยวนลั่วซีและคนอื่น ๆ ได้รับรู้ถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าในเรือนเงียบสุขสงบ พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะผงะไป
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ หยวนลั่วซีจึงเอ่ยออกด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจน “คุณชายซู ในความคิดของตัวข้า เรือนแห่งนี้ของท่านได้กลายเป็นแหล่งดึงดูดปัญหาไปเรียบร้อย ทำไมท่านและคนอื่นไม่ย้ายไปพำนักที่ตระกูลหยวนของเราก่อนเป็นชั่วคราว?”
เฉิงอู้หย่งเอ่ยขึ้นสนับสนุนเช่นกัน ถ้อยคำแฝงด้วยน้ำใจดังชัด “ไม่ผิด ตระกูลหยวนของเรามีเรือนรับรองแขกหรูหราว่างอยู่มากมาย เรามั่นใจว่าคุณชายซูจะอยู่อย่างสะดวกสบายไม่แพ้ที่นี่แน่”
ซูอี้ส่ายหัวและกล่าวว่า “ตัวข้านั้นไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นไปได้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าอยากให้ศิษย์น้องเฟิง และเสี่ยวหรานฝึกฝนในตระกูลหยวนของพวกเจ้า”
ซูอี้วางแผนเกี่ยวกับอนาคตของสองพี่น้องแซ่เฝิงไว้ก่อนแล้ว ก่อนออกจากมหานครอวิ๋นเหอ เขาจะฝากฝังพี่น้องแซ่เฝิงไว้ให้ตระกูลหยวนได้ดูแล
กระนั้นเมื่อหยวนลั่วซีเอ่ยถามประเด็นนี้ขึ้นมา เขาจึงเอ่ยบอกความต้องการในทันที
“อย่าได้กังวลคุณชายซู ข้าสัญญาว่าจะปฏิบัติต่อน้องเฟิงและเสี่ยวหรานประหนึ่งญาติในครอบครัว ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเขาได้รับความคับข้องใจใด ๆ เลย”
หยวนลั่วซีให้คำมั่นอย่างรวดเร็ว
แต่เฝิงเสี่ยวหรานกลับพูดอย่างกังวลใจ “พี่ซูอี้ แต่ข้าไม่อยากแยกจากท่าน!”
ดวงตาคู่งามของนางจ้องมองที่ซูอี้อย่างอ้อนวอน “หากพี่ซูอี้จะไปจริง ๆ งั้นข้าขอติดตามท่านไปด้วย!”
“เจ้าเคยบอกว่าจะดูแลพี่ชายของเจ้าไปตลอดไม่ใช่หรือ?” ซูอี้หยอกล้อ
“นี่…”
เฝิงเสี่ยวหรานลังเล เด็กสาวดิ้นรนอยู่ภายใน แลดูกระอักกระอ่วนไม่น้อย
“อย่าได้กังวลไป ภายหน้าข้าจะมาเยี่ยมเยียนเจ้าบ่อย ๆ” ซูอี้ลูบหัวเด็กสาว เอ่ยถ้อยคำอย่างอบอุ่น
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หยวนลั่วซีรู้สึกอิจฉาเล็กน้อยในใจ นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นเจ้าซูอี้แสดงด้านที่อ่อนโยนเช่นนี้
“เสี่ยวหราน อย่าได้ดื้อรั้น จงเชื่อฟังพี่ซูอี้” เฝิงเสี่ยวเฟิงเอ่ยแทรกโน้มน้าว
ท้ายที่สุด เฝิงเสี่ยวหรานก็พยักหน้าและเห็นด้วย แต่เห็นได้ชัดว่านางผิดหวังและไม่มีความสุขอย่างมาก
หลังจากรับประทานอาหาร เฝิงเสี่ยวเฟิงจึงแยกไปจัดสัมภาระของตนเอง
เขาและน้องสาวเฝิงเสี่ยวหรานจะจากไปพร้อมกับหยวนลั่วซีและคนอื่น ๆ หลังจากเก็บของเสร็จ
“พี่ซูอี้ นี่คือเชือกไหมสีแดงที่พ่อของข้าทำให้เมื่อตอนที่ข้ายังเด็ก โปรดท่านรับไป เมื่อใดที่พี่คิดถึงข้า ในอนาคตก็จงหยิบขึ้นมาดู”
ขณะกำลังจะแยกทาง เฝิงเสี่ยวหรานดวงตาแดงก่ำ นางหยิบเชือกสีแดงออกมาแล้วยื่นมอบให้ซูอี้อย่างเศร้าซึม ก่อนพูดอย่างไม่เต็มใจว่า “พี่ซูอี้ไม่ต้องกังวลต่อตัวข้าและพี่ชาย พวกเราจะหมั่นฝึกฝน และไม่สร้างปัญหาให้พี่ลั่วซี”
ยามที่ถ้อยคำดังออก น้ำตาหยดใสเริ่มไหลออกจากดวงตาของเด็กสาว ทุกคนแลเห็นถึงอารมณ์อันเปราะบาง
ซูอี้ยกมือเพื่อช่วยเสี่ยวหรานปาดน้ำตา และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “อย่าร้องไห้ไป นี่แค่เพียงแยกจากชั่วคราวก็เท่านั้น หาใช่สั่งลากันไปตายไม่” หลังจากพูดจบเขาค่อย ๆ รับเชือกสีแดงจากมือของเด็กสาว
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ซูอี้หยิบดาบสุดแดนดินออกมาแล้วยื่นให้เฝิงเสี่ยวหราน เอ่ยปากพูดอย่างจริงจัง
“ดาบเล่มนี้ชื่อสุดแดนดิน ซึ่งมีความหมายมากมายต่อตัวข้า เจ้าจงเก็บมันไว้ให้ดี แล้วข้าจะกลับมาหามันในอนาคต”
“อืม!”
เฝิงเสี่ยวหรานพยักหน้ารับพลางกอดดาบสุดแดนดินไว้แน่น
“ศิษย์น้องเฟิง พวกเจ้าไปกันเถอะ” ซูอี้พูดด้วยรอยยิ้ม
ทันใดนั้น หยวนลั่วซี เฉิงอู้หย่ง และพี่น้องแซ่เฝิง ก็พากันเดินออกจากเรือนเงียบสุขสงบ
ระหว่างทางเดินจากไป เฝิงเสี่ยวหรานยังมองย้อนกลับเป็นครั้งคราว ดวงตาที่ลึกล้ำและงดงามเหล่านั้นเปลี่ยนเป็นสีแดงยิ่งกว่าเดิม…
ดาบสุดแดนดินยังอยู่ในอ้อมแขนของนางแน่น
เมื่อเห็นพวกเขาหายไปนอกตรอก หวงเฉียนจวินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าเล็กน้อย “พรุ่งนี้ข้าก็จะไปเช่นกัน ไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าจะได้เจอพวกเขาอีกเมื่อไร”
“แม้ทรงพลังเยี่ยงเทพสวรรค์ ก็ไม่อาจหลีกหนีการจากลา”
ซูอี้ส่ายหัว ก่อนหันหลังและเดินกลับไปที่ห้องของเขา
แม้ตัวเขาจะมีประสบการณ์นับแสนปี เคยได้เห็นดวงดาวดับสูญมาแล้วนับไม่ถ้วน และรู้แจ้งกับความไม่เที่ยงของสรรพสิ่ง ทั้งความปีติยินดีและเศร้าโศก
แต่กระนั้น ยามนี้เขากลับไม่อาจหลีกพ้นห้วงอารมณ์ซึ่งหวั่นไหว
หวงเฉียนจวินนิ่งอึ้งและอดไม่ได้ที่จะเหลียวมอง
เขาไม่อาจอธิบายได้ว่าทำไมแผ่นหลังอันกว้างใหญ่และลึกลับตามปกติของซูอี้… ขณะนี้กลับดูอ้างว้างนัก
“เลิกทำหน้าโง่งมเช่นนั้นได้แล้ว จงไปตระเตรียมรถม้า อย่าลืมว่าคืนนี้เราจะไปศาลาคลื่นซัดทราย”
เสียงของซูอี้ดังมาจากระยะไกล
หวงเฉียนจวินพ่นลมหายใจ อารมณ์ของเขาดีขึ้นอย่างอธิบายไม่ถูก เขาเต็มไปด้วยความคาดหวังสำหรับการหาความสำราญในคืนนี้
ศาลาคลื่นซัดทราย!
หอคณิกาอันมีชื่อเสียงลำดับที่สิบเก้าของมหานครอวิ๋นเหอ!
ยามพลบค่ำ
ดวงอาทิตย์เริ่มลาลับซึ่งขอบฟ้า
รถม้าจอดอยู่หน้าประตูศาลาคลื่นซัดทรายแล้วเรียบร้อย
หวงเฉียนจวินก้าวออกจากรถม้าด้วยกำลังใจอันเปี่ยมล้น เหลือบมองไปยังอาคารที่ตกแต่งอย่างหรูหราและสวยงาม เขาอดไม่ได้ที่จะทอดถอนหายใจ
ในอดีต พี่ชายของข้าเคยพาข้ามาที่นี่ แต่กระนั้น ณ ตอนนี้ กลับมีเพียงหวงแค่คนเดียวที่มาเยือน…
ซูอี้พลางก้าวลงจากรถม้าตามมา ถึงยามนี้จะยังไม่ค่ำมืด แต่ศาลาคลื่นซัดทราย กลับประดับโคมแขวนเอาไว้เรียบร้อย โคมทั้งหลายงดงามแปลกหูแปลกตา มันถูกวาดเป็นรูปสตรีสวยเหมือนจริง
บรรยากาศรอบด้านครึกครื้นประหนึ่งมีเทศกาล ชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์หลายคนที่สวมเสื้อผ้างดงามเข้ามา และยังมีผู้เฒ่าบางคนแวะเวียนเข้าออก
บรรยากาศที่คุ้นเคยนี้ ทั้งการร้องเพลง เสียงหัวเราะและฉากที่คุ้นเคย ทำให้หวงเฉียนจวินมีอารมณ์เคลิ้มตาม
ทว่าขณะที่เขากำลังจะแสดงความรู้สึก ทันใดนั้น เขากลับเหลือบเห็นร่างที่คุ้นตา จึงอดไม่ได้ที่จะตะลึง ถ้อยคำกล่าวออกด้วยความประหลาดใจ “นายน้อยรองหยวนลั่วอวี่?”
ไม่ไกลนัก ชายหนุ่มร่างสูงหันศีรษะแลเห็นทั้งซูอี้และหวงเฉียนจวิน เขายังสับสนเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า “คุณชายซู นี่ท่าน…”
แน่นอนว่าหยวนลั่วอวี่ย่อมสับสน เขาไม่คิดเลยว่าตัวตนลึกล้ำเช่นคุณชายซูกลับมีรสนิยมชอบเที่ยวในหอคณิกา?
บัดซบนัก เขาได้เห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็นเสียแล้ว!
“ท่านมาที่นี่เพื่อผ่อนคลายเช่นนั้นหรือ?” หวงเฉียนจวินถือโอกาสเอ่ยถามก่อน
“เอ่อ ข้า…”
การแสดงออกของหยวนลั่วอวี่เปลี่ยนเป็นแข็งค้าง
ซูอี้อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว เขาแค่มาเยี่ยมซ่อง ไม่ได้ทำสิ่งใดสลักสำคัญแม้แต่น้อย เหตุใดบุรุษหนุ่มคนนี้ถึงแสดงสีหน้าราวกับเห็นความลับอันยิ่งของตัวเขาเช่นนี้?
“อยากเข้าไปด้วยกันหรือไม่” ถ้อยคำเอ่ยถามอย่างไม่อ้อมค้อม
ร่างกายของหยวนลั่วอวี่สะดุ้งโหยง ก่อนจะตอบรับอย่างรวดเร็วว่า “มีโอกาสร่วมโต๊ะกับคุณชายซู นับเป็นเกียรติของหยวนผู้นี้ยิ่ง!”
หวงเฉียนจวินอดยิ้มไม่ได้ยามแลเห็นซึ่งภาพนี้
ในฐานะผู้โชกโชนประสบการณ์เกี่ยวกับหอคณิกาบ่อยครั้ง เขาจะไม่เห็นได้อย่างไร ว่าหยวนลั่วอวี่มีความสุขและตื่นเต้นในใจของตนอย่างมาก
แม้วันนี้จะโดนบิดาของตนจับได้ ก็สามารถเอ่ยอ้างได้อย่างมั่นใจว่าเป็นพี่ซูที่พามาเล่นด้วยกัน…