นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1320 ลมอุตราอันหนาวเหน็บ
ตอนที่ 1320 ลมอุตราอันหนาวเหน็บ
รัชสมัยต้าเซี่ยที่ห้า เดือนสิบสอง วันที่ยี่สิบแปด หิมะถล่มหนักในเมืองฉางอัน
ระยะเวลาหนึ่งปีได้หมุนเวียนผ่านไปอย่างรวดเร็ว และได้วกเข้ามาสู่ช่วงวันหยุดยาวประจำปีอีกครา
วันนี้เป็นวันแรกของการหยุดยาว หยุนซีเหยียนนอนขี้เกียจอยู่บนเตียงจนกระทั่งยามอู่ถึงจะลุกขึ้นมาจากเตียง
เมื่อล้างหน้าแปรงฟันเสร็จเรียบร้อยแล้ว โหยวซีเฟิ่งก็เดินเข้ามาพอดี
“นอนหลับเต็มอิ่มแล้วหรือ ? เมื่อครู่พ่อบ้านจวนตระกูลเยี่ยนมาหา กล่าวว่าต้องการเชิญเจ้าไปเลี้ยงฉลองด้วยกันค่ำวันนี้…ดื่มให้มันน้อย ๆ หน่อยล่ะ ! ”
หยุนซีเหยียนยิ้มร่า พลางยื่นมือออกไปเชยคางของโหยวซีเฟิ่งขึ้น จากนั้นก็พรมจูบลงไป
โหยวซีเฟิ่งทำหน้าเหวอ ใบหน้าของนางแดงก่ำ นางกวาดสายตามองรอบ ๆ แล้วกล่าวโทษเสียงเบาว่า “คนอยู่ล้อมหน้าล้อมหลัง เจ้าช่างมิรู้จักแยกแยะสถานที่บ้างเลย ! ”
“ก็เป็นสามีภรรยากันแล้วนี่ ข้าเลียนแบบฟู่เสี่ยวกวนมาน่ะ เขาก็มิแยกแยะสถานที่เช่นกัน ทั้งยังบอกว่านี่คือธรรมชาติของมนุษย์ และนี่คือความรักระหว่างสามีกับภรรยา ! ”
“เขาเป็นถึงจักรพรรดิพระเจ้าหลวง อย่าเอาแต่เรียกฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวน คนที่เขามิทราบจะพาลคิดว่าเจ้าเป็นคนไร้มารยาท ! ”
“เหอะ ๆ แท้ที่จริงเขาชอบให้ผู้อื่นเรียกเขาว่าฟู่เสี่ยวกวนมากกว่า มิเล่นแล้ว สั่งโรงครัวทำของอาหารรสชาติอ่อน ๆ มาหน่อยสิ กินข้าวเสร็จ ข้าจะออกไปสำรวจตลาดปีนี้ว่าราคาสินค้าเป็นเยี่ยงไรบ้าง”
“อืม…ตอนค่ำรีบกลับมาล่ะ ! ”
หยุนซีเหยียนยกยิ้มด้วยสีหน้าทะลึ่ง เขาเชยคางของโหยวซีเฟิ่งขึ้นมาอีกครา พลางจ้องมองสายตาที่สุกสกาวและริมฝีปากที่รวยเสน่ห์ จากนั้นก็โน้มกายเขาไปหาแล้วเอ่ยกระซิบว่า “อืม…อาบน้ำให้สะอาดทุกซอกทุกมุมแล้วนอนรอข้าได้เลย ! ”
“โรคจิต ! ” โหยวซีเฟิ่งเขินอายจนต้องเดินหนีไป
……
หลังจากที่กินมื้อกลางวันเสร็จแล้ว หยุนซีเหยียนก็รีบออกเดินทางทันที เขาเดินดูราคาสินค้าที่ตลาดฝั่งตะวันออกและตก ซึ่งใช้เวลาทั้งสิ้นสามชั่วยาม
เมื่อเขาเดินทางไปถึงจวนของเยี่ยนซีเหวินก็เย็นมากแล้ว สายลมพัดโหมกระหน่ำ หิมะถล่มหนักกว่าเดิม
ณ ห้องหนังสือตระกูลเยี่ยน
เตาผิงสองเตาให้ความอบอุ่นกำลังดี
หยุนซีเหยียนฝ่าลมหนาวและหิมะเข้ามาในห้องหนังสือโดยมียามหน้าประตูจวนเยี่ยนนำทางเข้ามา เขาเห็นคนนั่งล้อมโต๊ะจำนวนห้าคน
นอกจากเสนาบดีทั้งสามฝ่ายแล้ว ยังมีจี้หยุนกุยหัวหน้าของหอเทียนจี อีกคนหนึ่งคือหลี่ฉาย ผู้จัดการธนาคารเพื่อราษฎรต้าเซี่ย
เขาปัดเกล็ดหิมะตามร่างกายออก จากนั้นก็ปิดประตูลงพลางเดินหัวเราะเฮฮาเข้ามา “ทุกท่าน ข้ามาช้าเล็กน้อย…นี่ใกล้จะปีใหม่แล้ว เหตุใดบรรยากาศถึงได้อึมครึมเช่นนี้เล่า ? ”
“ซีเหยียน นั่งลงเถิด ! ”
เยี่ยนซีเหวินรินชาให้หยุนซีเหยียน จากนั้นก็หันไปมองหยุนซีเหยียนแล้วโพล่งถามออกมาว่า “เจ้าเห็นรายการบัญชีของเงินช่วยเหลือเยวี่ยซานเป่ยเต้าและเยวี่ยซานหนานเต้าแล้วหรือยัง ? ”
หยุนซีเหยียนผงะ “เห็นแล้ว มีอันใดหรือ ? ”
“พบสิ่งใดผิดปกติหรือไม่ ? ”
หยุนซีเหยียนขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายศีรษะพรืด “นี่เป็นกองทุนพิเศษ เงินแต่ละก้อนข้าเป็นคนอนุมัติเองกับมือ ไม่สิ…ที่เจ้าเอ่ยเช่นนี้หมายความว่าเยี่ยงไรกันแน่ ? ”
เยี่ยนซีเหวินหันไปมองทางจี้หยุนกุย จี้หยุนกุยทำสีหน้าเคร่งขรึมพลางเอ่ยขึ้นมาว่า “มีคนตรวจรายการเดินบัญชีของเงินช่วยเหลือนี้ โดยตรวจทั้งสองเต้าของเขตเยวี่ยซาน เดิมทีข้าคิดว่าเป็นความต้องการของเสนาบดีทั้งสามท่าน เเต่ข้าเพิ่งทราบเมื่อครู่ว่าพวกเขามิได้สั่งการให้ทำเช่นนั้น”
“การที่เสนาบดีจะตรวจสอบรายการเดินบัญชีนั้นเป็นเรื่องปกติยิ่ง แต่ก่อนเมื่อคราที่จักรพรรดิพระเจ้าหลวงยังประทับอยู่ที่นี่ พระองค์ก็มักจะรับสั่งให้กรมการค้าทำงานนี้เสมอ ข้าจึงมิมีความเห็นใด… แต่ในเมื่อมิใช่พวกเจ้า แล้วเป็นผู้ใดกัน ? ”
นอกจากเสนาบดีทั้งสามฝ่ายแล้ว คณะรัฐมนตรีมิมีอำนาจทำเช่นนี้ได้
คณะรัฐมนตรีมีอำนาจที่จะลงมติต่อนโนบายของทั้งสามสำนักเท่านั้น มิมีอำนาจดำเนินการใด ๆ ทั้งสิ้น
“ข้ากำลังสงสัยฝ่าบาท ! ”
ก็มีเพียงฝ่าบาทเท่านั้น !
หยุนซีเหยียนรู้สึกงุนงงยิ่งนัก แต่เมื่อลองคิดย้อนกลับไปเขาก็แสดงท่าทีมิแยแสออกมา “หากฝ่าบาทจะตรวจสอบก็สมควรแล้วนี่ เพราะทุกวันนี้กรมคลังมีเงินทองมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นกรมที่สามารถกอบโกยประโยชน์ส่วนตนได้จริง ๆ นั่นแหละ อีกอย่างเดิมทีต้าเซี่ยก็เป็นของฝ่าบาทอยู่เเล้ว มิมีอันใดร้ายแรงสักหน่อย”
“แต่ข้าคิดว่ามันมิง่ายเช่นนั้นน่ะสิ ! ”
ฉินโม่เหวินรับช่วงต่อแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “ต่อให้ฝ่าบาทมีพระประสงค์จะตรวจสอบบัญชี ก็จำต้องผ่านทั้งสามสำนักอยู่ดี แต่พระองค์มิได้ดำเนินเรื่องผ่านสามสำนัก เช่นนั้นแล้วพระองค์ส่งผู้ใดไป ? ต้องเป็นคนของหน่วยพระราชวังชั้นในเป็นแน่ ! ”
“ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทขาดแคลนเงินทองมิใช่หรือ ? ข้าเป็นกังวลอย่างยิ่งว่าพระองค์จะทรงกุเรื่องให้ร้ายกรมคลังขึ้นมา ! ”
เมื่อสิ้นคำเอ่ยนี้ ทุกคนพลันนิ่งเงียบลงทันใด
มิต้องบอกก็เป็นอันเข้าใจว่าบัดนี้ฝ่าบาทกำลังคิดหาวิธีที่จะนำเอากรมคลังมาอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ทว่าหยุนซีเหยียนกลับยืนขวางทาง ดังนั้นพระองค์ย่อมประสงค์กำจัดหยุนซีเหยียนออกไปให้พ้นทาง
ส่วนจะกำจัดด้วยวิธีการใดก็มิสามารถตอบได้ ถ้าหากว่ากุเรื่องการเดินบัญชีขึ้นมาล่ะก็ หยุนซีเหยียนต้องจบมิสวยเป็นแน่
ครานี้หยุนซีเหยียนจึงสลัดทิ้งความเฉื่อยแฉะแล้วกลับมาจริงจังมากขึ้น
“ใต้เท้าจี้ทราบหรือไม่ว่าฝ่าบาททรงรับสั่งให้ผู้ใดไปตรวจสอบ ? ”
“จ้าวโฮ่ว จ้าวโฮ่วจากหน่วยพระราชวังชั้นใน เขาพาขันทีจำนวนสามสิบคนไปยังสองเต้าของเขตเยวี่ยซาน”
“จ้าวโฮ่วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
หยุนซีเหยียนขมวดคิ้วเป็นปม คนผู้นี้เดิมทีเคยเป็นขันทีข้างพระวรกายของจักรพรรดิพระเจ้าหลวงมาก่อน เขามีตำแหน่งเทียบเท่ากับหลิวจิ่น บัดนี้จ้าวโฮ่วและหลิวจิ่นต่างก็ปรนนิบัติรับใช้ฝ่าบาท ทั้งยังถูกหน่วยพระราชวังชั้นนอกขนานนามว่าเป็นสองพยัคฆ์แห่งหน่วยพระราชวังชั้นใน
หรืออาจจะเป็นเพราะหวาดกลัวเกียรติเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่เหล่านี้ที่จักรพรรดิพระเจ้าหลวงทรงแต่งตั้งขึ้นมา ขันทีทั้งสองจึงมิกล้าหยิ่งผยองต่อหน้าของเสนาบดีทั้งสามสำนักและหกกรม ทว่าทุกวันนี้ทั้งสองคนกลับใช้ความไว้วางพระทัยที่ฝ่าบาททรงมีให้แผลงฤทธิ์เดชต่อหน้าขุนนางใหม่ เห็นได้ชัดว่าทั้งสองได้หลงลืมคำเตือนของจักรพรรดิพระเจ้าหลวงจนหมดสิ้น แล้วหันไปโอนอ่อนต่อฝ่าบาท
ในเมื่อฝ่าบาททรงรับสั่งให้จ้าวโฮ่วออกไป นั่นก็หมายความว่าพระองค์ทรงสนพระทัยเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
“บัดซบ เกรงว่าต่อให้บัญชีจะไร้มลทินเพียงใดก็คงต้องถูกคนพวกนั้นหาเรื่องให้อยู่ดี”
จี้หยุนกุยนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อว่า “ทางหอเทียนจีได้ส่งคนจับตามองเอาไว้แล้ว ข่าวที่ข้าได้รับมาล่าสุดแจ้งมาว่าพวกเขายังหาข้อบกพร่องของรายการเดินบัญชีมิได้ เพียงแต่ว่า…เหมือนว่าจ้าวโฮ่วกำลังหันไปสนใจกองทุนพิเศษอีกอันหนึ่งแทน”
“กรมโยธาธิการตัดถนนอยู่ที่สองเต้าของเขตเยวี่ยซาน เงินก้อนนี้เป็นเงินที่กรมโยธาธิการก่อตั้งขึ้นมาเป็นการเฉพาะ เงินทุนก้อนนั้นมีจำนวนมหาศาล สิ่งที่ข้าอยากจะเอ่ยถามเจ้าก็คือ…กองทุนนั้นมีช่องโหว่หรือไม่ ? ”
“กรมโยธาธิการอยู่ภายใต้การดูแลของกรมยุทธการ ดังนั้นเวลาที่กรมคลังตรวจสอบและจัดสรรเงิน จำต้องจัดการตามหนังสือคำขอจากกรมยุทธการ และคำขอนี้ท่านใต้เท้าจัวจะเขียนได้ก็ต่อเมื่อกรมโยธาธิการมีความจำเป็น โดยปกติแล้วการตรวจสอบมิได้เคร่งครัดมากนัก เพราะหากมีการฉกฉวยผลประโยชน์จริงทุกคนย่อมทราบ เรื่องนี้มิอาจนำไปเปรียบเทียบกับเงินทุนพิเศษสำหรับการช่วยเหลือผู้ยากไร้ได้เลย”
จี้หยุนกุยขมวดคิ้วพลางเอ่ยถามขึ้นมาว่า “เจ้าหมายความว่า ทางกรมยุทธการเขียนมาเท่าใด ก็จะจัดสรรให้เท่านั้นน่ะหรือ ? ”
“อืม…เพราะกองทุนกรมโยธาธิการอยู่ภายใต้การตรวจสอบของกรมยุทธการ กรมคลังทำได้เพียงแค่จัดสรรเงินให้เท่านั้น อย่างมากสุดก็แค่ถามว่าเงินนี้จะนำไปตัดถนนเส้นใดก็เท่านั้นเอง รายละเอียดเบื้องลึกแทบมิทราบอันใดเลย”
“ถ้าหากกรมคลังจ่ายเงินก้อนหนึ่ง แต่เงินก้อนนั้นมิถึงมือของกรมโยธาธิการเพื่อใช้ตัดถนน…กรมคลังมีหน้าที่รับผิดชอบที่ต้องตรวจสอบดูแลนี่ ! ”
“ก็ใช่น่ะสิ รองเสนาบดีเคอว่านรับผิดชอบในการดูแลเงินที่ได้รับการอนุมัติจัดสรรทั้งหมด”
“แต่เจ้าเป็นคนลงนามใช่หรือไม่ ? ”
“ใช่…จำต้องให้ข้าลงนาม เงินของกรมโยธาธิการถึงจะถูกส่งออกไป”
จี้หยุนกุยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “เคอว่านคือผู้ใดกัน ? ”
“เขาเคยเป็นหนึ่งในเจ็ดศิษย์หนานซี เป็นสหายร่วมชั้นของจัวตงหลายและหยุนหลีเกอ เขาคือผู้ที่สอบได้ลำดับที่สามของการสอบฮุ่ยซื่อในปีนั้น และเข้ามาทำงานที่กรมคลังเมื่อราชสมัยต้าเซี่ยที่สอง จากนั้นได้เลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นรองเสนาบดีเมื่อราชสมัยต้าเซี่ยที่สี่”
“อืม…หลังจากวันหยุดยาว เมื่อหนิงซือเหยียนกลับมาที่ฉางอันแล้ว ข้าจะให้เขามาเป็นองค์รักษ์คอยรักษาความปลอดภัยให้แก่เจ้า”
“อันตรายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ? ”
“บางทีอาจจะมิมีอันใด หรือบางทีอาจจะอันตรายมากเกินกว่าที่เจ้าจะจินตนาการถึง ! ” จี้หยุนกุยเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง