นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1292 หน่วยพระราชวังชั้นใน
สายฝนยามวสันตฤดูกระหน่ำเทลงมามิขาดสาย ความหนาวเหน็บทำให้ผู้คนรู้สึกหนาวจับใจ ชวนให้รู้สึกใจสลาย
เหวินสิงโจวจากไปแล้ว เขามิได้นำของที่หลิวจิ่นมอบให้กลับไปด้วย
ทิ้งให้อู๋เทียนซื่อนั่งอยู่หน้าโต๊ะชาเพียงลำพัง สายตาของเขาจ้องมองไปยังถ้วยชาที่เย็นชืดของเหวินสิงโจว
เขารู้สึกสับสนมากยิ่งนัก
“หลิวจิ่น”
“พ่ะย่ะค่ะ ! ”
“เจิ้น…เจิ้นทำผิดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
หลิวจิ่นเอ่ยมิออก เขารีบโน้มกายลง มิกล้าปริปากเอ่ยสิ่งใดออกไป ผู้ใดจะกล้ากล่าวว่าฝ่าบาททำผิดเล่า ?
ถ้าหากหลิวจิ่นเอ่ยออกมาตามตรงก็เกรงว่าฝ่าบาทจะทรงรับสั่งให้ทหารนำตัวเขาไปตัดศีรษะทันที !
“เจิ้นรู้สึกแปลกใจมากยิ่งนัก เหตุใดเสด็จพ่อถึงคิดว่าคนเราต้องเท่าเทียมกัน ? มันเท่าเทียมกันได้จริง ๆ หรือ ? ”
“เจิ้นมีเชื้อสายราชวงศ์ ใช้ชีวิตในความหรูหรามาตั้งแต่กำเนิด ส่วนชาวนาพวกนั้นเกิดในครอบครัวเกษตร ชีวิตคลุกฝุ่นเปื้อนโคลนมาตั้งแต่ยังเยาว์ นี่นับว่าเท่าเทียมกันเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“อีกอย่าง…เจิ้นเป็นถึงจักรพรรดิ ! เป็นจักรพรรดิหนึ่งเดียวของต้าเซี่ย มีประชากรภายใต้การปกครองมากถึงห้าร้อยล้านคน นี่จะให้เท่าเทียมกับผู้อื่นได้เยี่ยงไร ? ”
“แม้เพียงคนธรรมดาก็สามารถเป็นนักปราชญ์ได้ และกลายเป็นเหยาซุ่นได้ ! คนธรรมดามีมากมายนับหมื่นแสน มีผู้ใดบ้างที่จะเป็นนักปราชญ์หรือเป็นผู้ยิ่งใหญ่ได้จริง ๆ ? ”
“เจิ้นรับเงินของท่าป๋าหวังมาห้าสิบล้านตำลึง ท่าป๋าหวังคือขุนนางของเจิ้น การที่เขาถวายของกำนัลให้เจิ้นนั้นเป็นเรื่องผิดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“อีกอย่างเจิ้นก็มิใช่คนใจไม้ไส้ระกำ ในเมื่อรับเงินของท่าป๋าหวังมาแล้ว เช่นนั้นการที่เจิ้นจะปล่อยตัวคน ๆ หนึ่งซึ่งมิได้ทำความผิดอันใดใหญ่หลวงนัก…เป็นเรื่องผิดมากเลยหรือ พวกเขาต้องการบีบบังคับให้เจิ้นล้มเลิกใช่หรือไม่ ? ”
อู๋เทียนซื่อหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา รูม่านตาของเขาหดลง “พวกเขาถึงกับไปเชิญท่านอาจารย์ของข้า พวกเขาคงพยายามทำทุกวิถีทางแล้วสินะ”
“ช่างเถิด ! ครานี้เจิ้นจะเห็นแก่ท่านอาจารย์…เจ้าไปนำโครงร่างถนนฉบับนั้นเข้ามาสิ ! มิต้องให้พวกเยี่ยนซีเหวินมาที่ห้องทรงพระอักษร เจิ้น…เจิ้นมิอยากพบหน้าพวกเขา”
“น้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ ! ”
……
……
เมื่อเหวินสิงโจวออกโรงด้วยตนเอง ฝ่าบาทจึงยอมถอยให้หนึ่งก้าว
ทว่าผลกระทบของเรื่องนี้ เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นก็เท่านั้น
เดิมทีฝ่าบาทควรจะสนิทสนมกับเสนาบดีทั้งสามฝ่ายมากที่สุด มิควรทำตัวห่างเหิน ทว่าหลังจากเหตุการณ์นี้ฝ่าบาทก็มิเรียกเสนาบดีคนใดมาเข้าเฝ้าอีกเลย
แม้ว่าพวกเขาอยากจะมาเข้าเฝ้าฝ่าบาท แต่กลับถูกทหารรักษาการณ์สกัดเอาไว้ทุกครา
ความมิลงรอยกันระหว่างจักรพรรดิและขุนนางเป็นดั่งหุบเหวลึก พวกเยี่ยนซีเหวินมิอาจก้ามข้ามไปได้ ส่วนอู๋เทียนซื่อก็มิยอมข้ามมาหาพวกเขาเช่นกัน
เมื่อเกิดเรื่องขึ้น จึงต้องสื่อสารกันผ่านหลิวจิ่น ด้วยเหตุนี้ฝ่าบาทจึงสร้างสำนักขึ้นมาใหม่ ซึ่งก็คือ…หน่วยพระราชวังชั้นใน !
ซึ่งหมายถึงราชสำนักภายในพระราชวังนั่นเอง !
หลิวจิ่นถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้ดูแลสูงสุดผนวกกับตำแหน่งขันที โดยมีหน้าที่รับผิดชอบหนังสือราชการทั้งจากภายในและภายนอกพระราชวัง
ส่วนเสนาบดีทั้งสามฝ่ายและคณะรัฐมนตรีต่างก็ถูกเรียกขานว่าเป็นหน่วยพระราชวังชั้นนอกเหมือนกันทั้งหมด
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนพาภรรยาทั้งหมดของเขาจากไป ทำให้ตำหนักหลายหลังยังว่างเว้นอยู่ อู๋เทียนซื่อจึงมอบตำหนักที่ใกล้กับตำหนักหยางซินมากที่สุดให้กับพวกหลิวจิ่น โดยให้ใช้ตำหนักเหล่านั้นเป็นสถานที่ปฏิบัติงานของหน่วยพระราชวังชั้นใน
เขาเป็นผู้บุกเบิกและก่อตั้งหนึ่งฉั่งและสิบสองเจี้ยนขึ้นมา
หนึ่งฉั่งก็คือเน่ยฉั่งซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลภายในทั้งหมด
สิบสองเจี้ยนคือราชสำนักขนาดย่อม ซึ่งมีความสอดคล้องกับหน่วยงาน 24 แห่งที่อยู่ภายใต้การดูแลของสามสำนักหกกรม
ทั้งสิบสองเจี้ยนย่อมมีชื่อเรียกเป็นของตนเอง ตำแหน่งขุนนางเรียกว่าเจียนเจิ้ง ทว่าขุนนางของเน่ยฉั่งจะถูกเรียกว่าฉั่งกง
หลิวจิ่นในฐานะผู้ดูแลสูงสุดของหน่วยพระราชวังชั้นใน เขาจำต้องดูแลทั้งหนึ่งฉั่งและสิบสองเจี้ยน
ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นที่ทราบกันทั่วทั้งราชสำนัก
ขุนนางหลายคนได้แต่ถอนหายใจอย่างรู้สึกเหนื่อยหน่าย ครุ่นคิดไปว่าจักรพรรดิผู้นี้มิเอาไหน ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ว่านโยบายทุกอย่างแตกต่างกับยุคสมัยของฟู่เสี่ยวกวนอย่างสิ้นเชิง
แต่ก็มิมีผู้ใดกล้าขัดขืนอยู่ดี
แม้เหวินสิงโจวจะมาเยือนที่ห้องทรงพระอักษรอีกครา ทว่าองค์จักรพรรดิก็ยังยืนกรานที่จะทำตามวิถีทางของตน เพราะมีเพียงหน่วยพระราชวังชั้นในเท่านั้นที่จะทำให้เขารู้สึกว่าวาจาของเขาศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาจริง ๆ
ทุกคนในนั้นล้วนแต่เป็นขันทีใหม่ ล้วนต้องฟังคำสั่งของเขาเพียงผู้เดียว มิมีผู้ใดกล้ากล่าวแย้งคำสั่งของเขาแม้แต่ผู้เดียว และแน่นอนว่ามิมีผู้ใดกล้าขัดคำสั่งของเขาเช่นกัน
ยุครุ่งเรืองของเขาได้มาเยือนรวดเร็วชั่วพริบตา
ในตำหนักหยางซินมีก้อนน้ำแข็งที่หลิวจิ่นสั่งให้คนเตรียมเอาไว้ ในนั้นมิมีไอของความร้อนแม้แต่น้อย อากาศข้างในเย็นสบายยิ่งนัก
อู๋เทียนซื่อมิได้เดินทางไปยังห้องทรงพระอักษรมาช้านานแล้ว ที่นี่ได้กลายเป็นกรงที่ครอบเขาเอาไว้
เขาใช้ชีวิตอย่างสุขสบายใจอยู่ในสวรรค์น้อย ๆ ของเขาเอง
“ตำหนักบนภูเขาฉางหลิงก่อสร้างไปถึงไหนแล้วเล่า ? ”
หลิวจิ่นโค้งกายคารวะ “ทูลฝ่าบาท จากแผนการทำงานเดิมนั้น การก่อสร้างตำหนักคาดว่าจะแล้วเสร็จช่วงปลายปีนี้ ทว่าการตกแต่งภายใน การทำสวน คอกสัตว์และอื่น ๆ เกรงว่าต้องใช้เวลาอีกสองถึงสามปีพ่ะย่ะค่ะ”
“อือ…ดีมาก ! ทำให้ละเอียดสักหน่อยล่ะ ในอนาคตหน่วยพระราชวังชั้นในจะถูกย้ายไปยังตำหนักแห่งนั้น จำต้องอยู่ห่างจากที่นี่ให้มากหน่อย เจิ้นจะได้รู้สึกสบายใจมากขึ้น”
“…น้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“จริงสิ ! เน่ยฉั่งรับคนมากี่คนเยี่ยงนั้นหรือ ? ฝีมือเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
“อ่า…ฝ่าบาทอยากได้ผู้มีฝีมือระดับสูง ทว่าพวกเขาเหล่านั้นมิยินยอมตอนอวัยวะเพศ ด้วยเหตุนี้… ด้วยเหตุนี้เน่ยฉั่งจึงมีสมาชิกเพียงแค่ 5 คนเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ ”
อู๋เทียนซื่อขมวดคิ้วเป็นปมแน่น “เป็นเช่นนี้เองหรือ ? มิยินยอมตอนอวัยวะเพศก็มิเป็นไร ให้รับเข้ามาก่อน โดยให้เจ้าเป็นผู้กำกับดูแลพวกเขา เจ้าจงบอกพวกเขาว่าขอเพียงพวกเขามีความจงรักภักดีต่อเจิ้น เจิ้นมิมีทางปฏิบัติกับพวกเขาอย่างมิเป็นธรรม ! ”
“น้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“ช่วงนี้ยังมีเรื่องอื่นใดอีกหรือไม่ ? ”
“ได้ยินมาว่าเกิดโรคระบาดขึ้นที่หยวนเป่ยเต้า โดยระบาดไปทั่วทั้งสามโจว ท่านเสนาบดีหนิงได้ส่งหมอไปยังหยวนเป่ยเต้าจำนวนมาก”
“ส่วนเรื่องอื่น…มิมีเรื่องใหญ่อันใดแล้วพ่ะย่ะค่ะ อ่า…จริงสิ ! ท่านจัวได้ฝากข่าวมาพ่ะย่ะค่ะ เรื่องพระสนมของพระองค์ ทั้งเสนาบดีฉินและเสนาบดีหนิงมิเห็นด้วยที่จะยกบุตรสาวให้แด่ฝ่าบาท”
อู๋เทียนซื่ออารมณ์เสียขึ้นมาทันใด “เหอะ ! ”
หว่างคิ้วของเขาย่นเข้าหากันอย่างมิสบอารมณ์ “บัดซบ ! เจิ้นอยากจะเห็นหน้าบุตรสาวของพวกเขาเสียจริง พวกเขากล้าที่จะเมินเฉยต่อความกรุณาของเจิ้น ! ”
“เจิ้นอยากเลือกคู่ครองด้วยตนเอง ! ”
“เจ้าจงร่างราชโองการขึ้นมา จากนั้นให้นำไปมอบให้เยี่ยนซีเหวิน บัดนี้เจิ้นเติบใหญ่แล้ว เจิ้นต้องการเลือกสตรีงาม… เจ้าจงส่งขันทีในหน่วยพระราชวังชั้นในและขันทีทุกคนออกไปคัดเลือกสาวงามและเพียบพร้อมมาให้เจิ้น ! ”
“จงจำเอาไว้ว่าที่เมืองจินหลิงนั้น…จำต้องเลือกบุตรสาวของฉินโม่เหวินและหนิงหยู่ชุนมาด้วย เจิ้นจะเลือกพวกนางเข้ามาจากนั้นค่อยส่งไปยังวังเย็น คอยดูสิว่าพวกเขาจะกล้าทำอันใดเจิ้นอีก ! ”
หลิวจิ่นผงะ เขารีบก้มหน้าลงแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ฝ่าบาท… กระหม่อมต้องคอยปรนนิบัติรับใช้พระองค์ ! หรือว่า…เรื่องที่เมืองจินหลิงนั้นให้จ้าวโฮ่วเป็นผู้จัดการดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? เขาก็เป็นคนเก่าคนแก่เช่นกันสามารถไว้ใจได้ มิทราบว่าฝ่าบาททรงเห็นด้วยหรือไม่ ? ”
เมื่ออู๋เทียนซื่อได้ยินดังนั้นก็เห็นว่ามีเหตุผลดี เพราะเยี่ยงไรเสียหลิวจิ่นคือคนที่เขาเรียกใช้ได้ง่ายที่สุด
“เอาตามนั้นก็แล้วกัน”
ในวันเดียวกันนั้นเอง ราชโองการถูกส่งมาถึงโต๊ะทำงานของเยี่ยนซีเหวิน
สิ่งนี้ทำให้เยี่ยนซีเหวินตระหนกตกใจมากยิ่งนัก เพราะฟู่เสี่ยวกวนได้ทำการยกเลิกประเพณีคัดเลือกพระสนมอันต่ำช้าไปเนิ่นนานแล้ว เขาเอ่ยว่าแม้จะเป็นถึงจักรพรรรดิ ก็มิมีสิทธิ์ไปแย่งคู่ครองของคนอื่นมาเป็นของตน !
ข้าอาจจะช่วยแนะนำได้ แต่ก็จำเป็นต้องมาจากความยินยอมของทั้งสองฝ่าย
ทว่าในราชโองการของฝ่าบาทได้เขียนเอาไว้อย่างชัดเจนว่า…ประสงค์ให้มีการคัดเลือกพระสนมทั้งประเทศ นี่มัน…นี่มันบ้าบิ่นเกินไปแล้ว !
เยี่ยนซีเหวินกลัดกลุ้มใจยิ่งนัก
เขาใช้เวลาครุ่นคิดชั่วครู่ จากนั้นก็หยิบสมุดพับขึ้นมาเล่มหนึ่งแล้วตวัดตัวอักษรลงไปด้วยความโมโห
“กราบบังคมทูลฝ่าบาท
จักรพรรดิพระเจ้าหลวงทรงยกเลิกพิธีคัดเลือกพระสนมไปแล้ว ซึ่งได้ระบุไว้ในกฎระเบียบราชวงศ์ ขอพระองค์ได้โปรดทอดพระเนตรมาตราที่สาม ข้อที่ยี่สิบเอ็ดด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ !
จักรพรรดิพระเจ้าหลวงทรงยกเลิกประเพณีต่ำช้าเช่นนี้ไปเนิ่นนานแล้ว และด้วยเหตุนี้สำนักเสนาบดีจึงมิเห็นด้วยกับราชโองการฉบับนี้ ! ”
“หากฝ่าบาทมีพระประสงค์ที่จะเลือกพระสนม กระหม่อมสามารถแนะนำสตรีผู้มีศีลธรรมจรรยาได้ ทว่าทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับการตกลงปลงใจของทั้งสองฝ่าย ขอฝ่าบาททรงนำจักรพรรดิพระเจ้าหลวงมาเป็นแบบอย่าง ที่เห็นเรื่องชาติบ้านเมืองเป็นสำคัญกว่าเรื่องส่วนพระองค์ ! ”