นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1136 ทหารอากาศ
ตอนที่ 1136 ทหารอากาศ
ย้อนเวลากลับไปในยามเย็นของวันนี้
ณ ยอดเขาติ้งฟาง นี่เป็นวันที่สามแล้วที่กวนเสี่ยวซีพาหยูติ้งชานและหยูติ้งเหอมายืนอยู่บนยอดเขา
แม่ทัพกวนเอ่ยว่าเขากำลังรอลมอันใดสักอย่างนี่แหละ ?
ราตรีนี้ ในที่สุดทั้งสองพี่น้องก็เข้าใจสักทีว่ากวนเสี่ยวซีกำลังรอลมอันใดอยู่
เมื่อยามราตรีมาถึง ลมก็แรงขึ้นกว่าเดิมและดูเหมือนจะเปลี่ยนทิศทางไปยังทิศเหนือ กวนเสี่ยวซีสัมผัสได้จากฝ่ามือว่าลมกำลังเปลี่ยนทิศ เขาจึงยกยิ้มขึ้นมาทันใด
“การต่อสู้ต้องใช้สมอง แม้ว่าทหารต้าเซี่ยของพวกเราจะไร้เทียมทาน แต่เมื่อมีวิธีที่ดีกว่าก็ควรใช้ จำต้องหลีกเลี่ยงการสูญเสียให้น้อยที่สุดและคิดหาวิธีไปยังสนามรบโดยที่มิเสียกำลังพลไป นี่คือหน้าที่ที่ผู้บัญชาการควรจะคำนึงถึง”
“กองพลที่หนึ่งจำนวน 2,000 นายเตรียมพร้อมปฏิบัติภารกิจ ส่วนทหารที่เหลือเตรียมอาวุธให้พร้อม จากนั้นให้รอฟังคำสั่งจากข้าต่อไป ! ”
“ท่านแม่ทัพ หอเทียนจียังมิได้ส่งแผนที่เมืองโหลวหลานมาเลยนี่ขอรับ ! ”
“มิจำเป็นแล้ว พวกเราจะมิเดินทางจากใต้ดิน”
“แล้วจะเดินทางเยี่ยงไรขอรับ ? ”
“ไปทางอากาศ ! ”
ราตรีนี้ เขาติ้งฟางมีบอลลูนไฟถูกจุดขึ้นถึง 300 ลูก !
บอลลูนไฟ 300 ลูกพร้อมด้วยทหาร 2,000 นายซึ่งนำโดยกวนเสี่ยวซีลอยออกไปจากเขาติ้งฟาง ภายใต้อิทธิพลของแรงลม พวกมันลอยไปยังเมืองโหลวหลานในระยะทางกว่าสองร้อยลี้
นี่คือสิ่งที่องค์ชายใหญ่อันเยวี่ย องค์ชายรองอันจื้อไจ้และเชี่ยวเอ๋อร์มองเห็นจากบนชั้นสอง
บัดนี้ดึกมากแล้ว ผู้คนจำนวนมากในเมืองโหลวหลานได้พากันเข้านอนแล้ว แต่ถึงเยี่ยงไรก็ยังมีบางคนที่นอนมิหลับหรือยังมิได้เข้านอน
อาทิเช่น อันจ้งเสนาบดีกรมกลาโหมซึ่งบัดนี้เขาได้ยืนอยู่บนยอดหอคอยเพื่อตรวจตราด้วยตนเอง อาทิเช่น อัครมหาเสนาบดีอันตัวที่กำลังนำมือไพล่หลังจ้องมองพระราชวังด้วยสีหน้าโศกเศร้า
อันจ้งมองเห็นบอลลูนไฟเหล่านั้นลอยอยู่บนท้องนภายามราตรี ดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้นทันใด นัยน์ตาเต็มไปด้วยความสงสัย
เขาแก่ปูนนี้แล้ว ทว่ายังมิเคยเห็นสิ่งที่บินได้สูงกว่าวิหคบนท้องนภาเลย !
ของสิ่งนั้นมันคืออันใดกันแน่ ?
หรือว่าจะเป็นฝนดาวตกเฉกเช่นที่ตำราโบราณได้จารึกเอาไว้ ?
ทว่ามองดูแล้วก็มิคล้ายเลยสักนิด ความเร็วของฝนดาวตกเร็วกว่านี้มากนัก บัดนี้ดวงไฟที่ปรากฏบนท้องนภาเหนือเมืองโหลวหลานราวกับกำลังส่ายไปมา
ทหารจำนวนมากบนหอคอยมองเห็นดวงไฟค่อย ๆ เคลื่อนตัวลงมาชัดเจนมากยิ่งขึ้น พวกเขามิรู้ว่าของสิ่งนี้คืออันใด สายตาของพวกเขาเริ่มหวาดกลัวมากขึ้นเรื่อย ๆ
มันคือความหวาดกลัวในสิ่งที่ตนเองมิรู้
ต้าเซี่ยสร้างบอลลูนไฟขึ้นมาทว่ายังมิได้ถูกใช้ในวงกว้าง ทหารของต้าเซี่ยเกือบจะลืมเจ้าสิ่งนี้ไปแล้วเสียด้วยซ้ำ แต่กวนเสี่ยวซีตระหนักถึงความมหัศจรรย์ของเจ้าสิ่งนี้ได้เป็นอย่างดี การรบทางอากาศนี่คือการทำสงครามที่ก้าวข้ามยุค
ดังนั้นจึงยังมีกลุ่มคนที่ศึกษาสิ่งนี้ในสำนักวิทยาศาสตร์แห่งชาติอยู่ พวกเขาได้พัฒนาไปถึงระดับที่สามารถปรับทิศทางในขอบเขตของทิศทางลมและลงจอดได้อย่างคล่องแคล่ว
และสิ่งที่กวนเสี่ยวซีนำมาด้วยนั้นก็คือเจ้าสิ่งนี้ !
แต่ถึงเยี่ยงไรมันก็ยังต้องการแรงลม ดังนั้นกวนเสี่ยวซีจึงทำได้เพียงรอทิศทางลมที่เหมาะสม
……
“เทพเจ้าเสด็จลงมาจากฟากฟ้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ” องค์ชายรองอันจื้อไจ้พึมพำออกมาเบา ๆ
อันเยวี่ยมิได้เอ่ยสิ่งใดออกมา เขาเพียงขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น
เขาสัมผัสได้ถึงลางมิดี แต่มิดีเยี่ยงไรเขาก็บอกมิถูก อยู่ ๆ ก็มีสิ่งประหลาดมิทราบชื่อปรากฏขึ้นมาบนท้องนภา ช่างน่ากลัวมากยิ่งนัก
เขาจึงตัดสินใจเดินทางออกไปจากที่นี่เพื่อกลับไปยังพระราชวัง จิตใต้สำนึกบอกกับเขาว่าจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น เขารู้สึกว่าเขาจะปลอดภัยกว่าหากเดินทางกลับวังเพื่อไปอยู่กับภรรยาและลูก ๆ ของเขา
เขาหันหลังเดินจากไป
อันจื้อไจ้จ้องมองแผ่นหลังของเขาครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันหลังเดินออกไปเช่นกัน ทว่าเขาไปยังกำแพงเมือง เพราะที่นั่นมีทหารคุ้มกันมากถึง 300,000 นาย เขารู้สึกว่าที่นั่นน่าจะปลอดภัยกว่า
ส่วนเชี่ยวเอ๋อร์มิได้จากไปที่ใด นางดึงสายตากลับมาจากท้องนภา ทว่าก็ต้องตกตะลึงขึ้นมาอีกครา
มีร่างของคนผู้หนึ่งลอยเข้ามาจากป่าด้านนอกหอเฟิงเยวี่ย นางยังมิทันได้เอื้อมมือไปคว้าดาบที่แขวนอยู่ตรงผนังห้องเลยด้วยซ้ำ เงานั้นก็ได้มาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้านางแล้ว
ชือเยว่หมิง !
ชือเยว่หมิงจ้องมองเชี่ยวเอ๋อร์ จากนั้นก็เผยรอยยิ้มออกมาบาง ๆ “อย่ากลัวไปเลย ต้มสุราเถิด ! ”
“ท่าน… ท่านรู้ทุกสิ่งเลยหรือ ? ”
“เงามืดนั้นมิเลว แต่ก็เพียงแค่มิเลวเท่านั้น หากเทียบกับหอเทียนจีแล้วล่ะก็… ยังนับว่าอ่อนหัดมากยิ่งนัก แคว้นโหลวหลานกำลังจะตกเป็นอาณานิคมของต้าเซี่ย ดังนั้นเจ้าก็จะกลายเป็นประชากรของต้าเซี่ยไปโดยปริยาย”
“แต่ไหนแต่ไรมา ต้าเซี่ยมิเคยสังหารประชากรของตนโดยไร้เหตุผล นับแต่บัดนี้เจ้าจงนั่งอยู่อย่างสงบที่นี่เถิด ส่วนข้าก็จะดื่มสุราอย่างสบายอารมณ์ที่นี่เช่นกัน เรื่องที่เหลือมอบให้เป็นหน้าที่ของทหารต้าเซี่ยเถิด”
เชี่ยวเอ๋อร์มิได้ขยับไปที่ใดแม้แต่ก้าวเดียว นางหันหลังกลับไปมองดูดวงไฟที่ลอยอยู่บนท้องนภาพลางชี้นิ้วออกไปแล้วเอ่ยถามขึ้นมาว่า “ทหารของต้าเซี่ยเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“อืม”
“พวกเขาสามารถลอยได้เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ถูกต้อง ! ”
เชี่ยวเอ๋อร์สูดลมหายใจเข้าลึก บัดนี้นางเพิ่งจะเข้าใจว่า มิว่าจะเป็นกรมกลาโหมหรือเงามืด แท้จริงแล้วล้มเหลวมิเป็นท่าตั้งแต่แรก
นางก้าวเดินไปด้านหน้าอย่างกระสับกระส่าย จากนั้นก็ต้มสุราหนึ่งกา
ชือเยว่หมิงมองออกไปนอกหน้าต่าง เขาเองก็คาดมิถึงว่าเจ้ากวนเสี่ยวซีจะใช้วิธีนี้
“เยี่ยงไรเสียพวกเขาก็ต้องลงสู่พื้น เมื่อพวกเขาลงสู่พื้นต่อให้แข็งแกร่งเพียงใด ทหารของโหลวหลานย่อมสามารถรั้งพวกเขาเอาไว้ได้พักหนึ่ง ในช่วงเวลานั้นเพียงพอที่จะปลิดชีพเชลยของต้าเซี่ยที่ถูกขังไว้ ! ”
“เจ้าคิดผิดแล้ว” ชือเยว่หมิงยกจอกสุราขึ้นมาดื่ม “พวกเขามิได้จะลงจอดในเมืองโหลวหลานและมิได้จะต่อสู้กับทหารของพวกเจ้า ทว่าพวกเขาจะลงจอดในพระราชวัง จากนั้นก็กุมตัวกษัตริย์ของพวกเจ้าและราชวงศ์ทุกคน นี่คือการสูญเสียที่น้อยที่สุด และเป็นวิธีที่ดีที่สุด”
เชี่ยวเอ๋อร์ตกตะลึงขึ้นมาอีกครา เมืองโหลวหลานใหญ่โตถึงเพียงนี้ พวกเขารู้ได้เยี่ยงไรว่าพระราชวังอยู่ที่ใด ?
ดูเหมือนว่าชือเยว่หมิงจะรับรู้ได้ถึงความสงสัยของเชี่ยวเอ๋อร์ เขาจึงยกยิ้มขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ข้าลืมบอกเจ้าไปว่าสายลับของหอเทียนจีแฝงตัวเข้าไปในพระราชวังของพวกเจ้าได้แล้ว บัดนี้บางแห่งในพระราชวังคาดว่าคงจะถูกก่อไฟขึ้นแล้ว นั่นคือจุดที่พวกเขาจะลงจอด”
……
ณ ลานนอกห้องโถงใหญ่ของพระราชวัง ได้มีกองไฟถูกก่อขึ้นแล้วจริง ๆ
สิ่งนี้ได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับราชองครักษ์ที่คุ้มกันพระราชวังเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาวิ่งไปดับไฟกันจ้าละหวั่น ทว่าทันใดนั้นก็มีเสียง “ปัง… ! ” ดังขึ้นมาจากท้องฟ้า
นี่คือเสียงของปืน !
ท่ามกลางเสียงปืนนั้น ราชองครักษ์ที่วิ่งอยู่ด้านหน้าก็ได้ร้องโอดครวญ จากนั้นก็ล้มระเนระนาดลงไปกับพื้น
พวกเขาหยุดฝีเท้าของตนเองลง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องนภา
อันจ้งและองค์ชายรองอันจื้อไจ้พร้อมทั้งทหารทุกนายที่ปกป้องเมืองได้มองไปยังทิศทางของที่ตั้งพระราชวัง
ดวงไฟเหล่านั้นรวมตัวกันอยู่เหนือพระราชวัง จากนั้น…ก็ลงจอด
“แย่แล้ว…คุ้มกันกษัตริย์ ! ” อันจ้งตะโกนออกมาเสียงดัง “ทุกคนจงเดินทางกลับวังพร้อมกับข้า เร็วเข้า… ! ”
ราตรีนี้ ชาวเมืองโหลวหลานต่างก็พากันตื่นจากห้วงความฝัน
ความโกลาหลดำเนินอยู่ราว 2 เค่อจากนั้นก็สงบลง
ดูเหมือนว่าจะมีเสียงบางอย่างดังออกมาจากทางพระราชวัง ทว่าก็ดังเพียงครู่เดียวเท่านั้น
จากนั้นเมืองโหลวหลานก็เงียบสงบลงอีกครา
ชือเยว่หมิงยกจอกสุราขึ้นมาดื่มอีกคราจนหมดจอก ก่อนจะเอ่ยออกมาเบา ๆ ว่า “สิ้นสุดแล้ว ! ”
“สิ่งใดสิ้นสุดแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“สงครามสิ้นสุดแล้ว แคว้นโหลวหลาน…ก็จบสิ้นแล้วเช่นกัน ! ”