ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต - เล่มที่ 12 บทที่ 336 ความรู้คือพลัง
ซินแสสวี่มีหรือจะจำไม่ได้
นั่นเป็นครั้งแรกที่นางใช้หวงหลินในการจับภูตผี
ได้รับการไหว้วานมา เดิมทีเพียงคิดจะทำลายรูปโฉมของคนผู้นั้น คิดไม่ถึงว่าหวงหลินมีพลังรุนแรงเกินไป จึงเผาไหม้คนผู้นั้นจนถึงแก่ความตาย ยังดีที่ตอนนั้นนางอ้างเหตุผลว่าปีศาจตัวนั้นร้ายกาจเกินไป จำเป็นต้องทำลายเสียถึงจะรักษาความสงบสุขของครอบครัวได้
ถึงแม้ต้องใช้ความพยายามอย่างหนัก แต่เพราะมีคนช่วยเหลือนางเต็มกำลัง สุดท้ายเรื่องนี้จึงได้บทสรุปว่าเป็นเพราะนางมีวิชาอาคมกล้าแกร่ง นับแต่เกิดเรื่องครั้งนั้นเป็นต้นมา ซินแสสวี่เผชิญความโชคดีในความโชคร้าย ชื่อเสียงโด่งดังขึ้นเรื่อยๆ
จู่ๆ ได้ยินเรื่องเมื่อสิบสองปีที่แล้วอีกครั้ง ซินแสสวี่ตกอยู่ในภวังค์เลื่อนลอยเล็กน้อย
เดิมทีคิดว่าไม่มีผู้ใดจำได้อีก กลับคิดไม่ถึง…
เมื่อเห็นซินแสสวี่ไม่กล่าวอะไร โหยวเจิ้งเฉิงก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าสงสัย
“หญิงชาวบ้านผู้นั้นถูกกล่าวหาว่ามีปีศาจสิงสู่ ตอนนั้นเจ้าไปจับปีศาจ ภายหลังบอกว่าบนกายหญิงชาวบ้านผู้นั้นมีพลังโหดเหี้ยมรุนแรงเกินไป เพลิงลุกไหม้รุนแรงเผานางจนตาย ความจริงแล้วมีปีศาจ หรือเป็นเพียงละครบทหนึ่งที่ซินแสสวี่กุเรื่องขึ้นมาและเล่นละครเองกันแน่? ”
ซินแสสวี่กัดริมฝีปาก ไม่กล่าวอะไร และไม่อธิบายอะไรแม้แต่ประโยคเดียว
เรื่องเมื่อสิบสองปีที่แล้ว มีแต่ต้องไม่กล่าวอะไรแม้แต่คำเดียว ถึงจะมีโอกาสรอดพ้นไปได้
ซินแสสวี่ไม่กล่าวอะไร โหยวเจิ้งเฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เหยาหลี่ซวี จับตัวนางไว้แล้วคุมตัวไปที่ว่าการอำเภอ คดีที่ผู้บริสุทธิ์ต้องตายอย่างอนาถเมื่อสิบสองปีที่แล้ว ยังมีจุดน่าสงสัยอีกมาก จับตัวไปส่งมอบให้ท่านนายอำเภอ! ”
ในโลกนี้จะมีปีศาจได้อย่างไร จะมีก็แต่คนที่มีใจคิดไม่ซื่อแอบอ้างเรื่องปีศาจ กระทำเรื่องผิดศีลธรรมก็เท่านั้น
ในบางครั้งจิตใจของมนุษย์ ก็ชั่วร้ายยิ่งกว่าปีศาจมากนัก!
ซินแสสวี่ไม่กล่าวอะไรแม้แต่ประโยคเดียว กัดริมฝีปากแน่น ไม่ได้ขัดขืน ปล่อยให้เหยาชิ่งกุ้ยและเหยาต้าไห่จับมัดอย่างแน่นหนา
เซียวหยวนและหลัวไห่ฮวาถูกลงโทษให้คุกเข่าในศาลบรรพชน ซินแสสวี่ถูกจับตัวไปยังที่ว่าการอำเภอกว่างชางเพื่อสอบสวนคดีเก่าเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ละครจับภูตผีแต่กลับถูกจับเสียเองจึงปิดฉากลงแต่เพียงเท่านี้!
เมื่อครู่มีชาวบ้านไม่น้อยที่คิดสงสัยว่าเซี่ยยวี่หลัวเป็นปีศาจ บัดนี้ต่างก็ไม่กล้าไป แต่ละคนยืนลังเล ผลักกันไปผลักกันมา สุดท้ายก็รวบรวมความกล้า กล่าวออกมาอย่างพร้อมเพรียง “ภรรยาเซียวยวี่ ขอโทษด้วย! ”
เซี่ยยวี่หลัวแย้มรอยยิ้ม “ไม่เป็นอะไร! ”
ซินแสสวี่ที่ได้รับความเคารพยกย่องบอกว่านางเป็นปีศาจ คนทั่วไปเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ ย่อมต้องรู้สึกสงสัย และความรู้ในตอนนี้ก็ยังมีข้อจำกัด มีคนจำนวนมากที่ไม่อาจเข้าใจภาพลวงตาที่มองเห็นแต่กลับอธิบายไม่ได้ และคนจำนวนหนึ่ง ก็เห็นสิ่งเหล่านั้นเป็นวิชาอาคมทั้งหมด
ผู้คนในยุคสมัยนี้ เคารพนับถือฟ้าดิน เคารพนับถือสิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกยำเกรงและหวาดกลัว
เซี่ยยวี่หลัวจะโทษพวกเขาได้อย่างไร หากไม่ใช่เพราะนางรู้ว่าหวงหลินจะติดไฟได้เอง บางทีนางอาจสงสัยว่าตัวเองเป็นปีศาจก็เป็นได้
มิเช่นนั้น ยืนอยู่ใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่อง อยู่ดีๆ เหตุใดถึงเกิดไฟลุกไหม้ขึ้นมาเองได้เล่า?
ปีศาจเกรงกลัวต่อแสงแดดมากที่สุดไม่ใช่หรือ?
ดังนั้น ความรู้ก็คือพลัง
หลิวซี่เหลียนเมื่อครู่ยังปกป้องเซี่ยยวี่หลัว ในภายหลังเห็นสามีตัวเองสงสัย ก็ได้แต่ย้ายข้างไปอยู่ในฝ่ายตรงกันข้าม บัดนี้รู้ว่าตัวเองเข้าใจเซี่ยยวี่หลัวผิด สีหน้าก็เต็มไปด้วยความละอายใจ “ยวี่หลัว ขอโทษด้วย พวกเราไม่ควรนึกสงสัยเจ้า แต่เพราะ…”
เซี่ยยวี่หลัวแย้มรอยยิ้ม “ข้าไม่โทษพวกท่าน หากข้าไม่รู้ว่าหวงหลินจะติดไฟได้เอง เกรงว่าข้าก็คงเหมือนกับพวกท่าน แม้แต่ข้าเองก็คงกลัว นึกว่าตัวเองเป็นปีศาจเสียอีก! ”
วาจาหยอกเย้าของนาง ทำให้ชาวบ้านรอบข้างพากันหัวเราะขำขัน
ความรู้สึกละอายใจเมื่อครู่ก็หายไปเกินกว่าครึ่ง
ภรรยาเซียวยวี่ช่างเป็นคนดีนัก ไม่เพียงแต่หน้าตาดี จิตใจก็ดีงาม ช่างเป็นคนดีเสียจริง
“ภรรยาเซียวยวี่ ทำไมเจ้าถึงรู้อะไรมากมายเพียงนี้? ” มีคนกล่าว “หากไม่ใช่เพราะวันนี้เจ้าเปิดโปงซินแสสวี่ พวกเราคงยังนึกว่านางเป็นหมอผีอยู่เลย! ”
“อ่านตำราอย่างไรเล่า” เซี่ยยวี่หลัวชี้ไปที่ศีรษะของตัวเอง “อ่านตำราให้มากถึงจะเข้าใจหลักเหตุผล ความรู้คือพลัง”
อ่านตำราให้มาก ถึงจะไม่โดนผู้อื่นหลอกลวง มองทะลุเปลือกนอกที่แปลกพิสดาร ค้นหาความจริงเบื้องหลังได้
ทุกคนต่างพูดคุยกระซิบกระซาบ แต่ละคนรู้สึกว่าช่างเหลือเชื่อนัก “ภรรยาเซียวยวี่ เจ้าร่ำเรียนพร้อมเซียวยวี่ใช่หรือไม่? ”
เซี่ยยวี่หลัวตวัดมุมปากแย้มรอยยิ้ม “ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น หากข้าไม่อ่านตำรา เช่นนั้นคงถูกเขาทิ้งห่างไปไกล”
ท่าทางทะเล้นน่ารักของนาง เซียวยวี่เห็นแล้วก็แสยะยิ้มเช่นกัน
“บุตรชายข้าอายุแปดขวบแล้ว ควรส่งเขาไปเล่าเรียนแล้วเช่นกัน ร่ำเรียนให้มากหน่อย ต่อไปจะได้ไม่ถูกคนหลอกเอา”
“จริงด้วย จริงด้วย ข้ากำลังคิดว่าบุตรสาวบ้านข้า ก็ต้องร่ำเรียนบ้างถึงจะดี ต่อไปรู้หนังสือ เขียนชื่อของตัวเองเป็น ใครจะกล้าดูถูกอีก!”
เซียวจิ้งยี่ก็แสดงสีหน้ายินดีเต็มประดา ลูบหนวดเครามองดูเซี่ยยวี่หลัวและเซียวยวี่ พร้อมพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
ก่อนหน้านี้ขอเพียงเป็นครอบครัวที่มีเด็ก เขาล้วนแต่ไปเยือนเพื่อเกลี้ยกล่อมให้ส่งเด็กไปเล่าเรียน แต่ผลลัพธ์กลับไม่ค่อยดีนัก ที่บ้านมีฐานะแค่พอกินพออยู่ ใครจะมีเงินเหลือส่งเด็กไปเล่าเรียนกัน
แต่ตอนนี้หลังจากผ่านเรื่องครานี้ เซี่ยยวี่หลัวที่เคยเล่าเรียน สามารถเปิดโปงคำโกหกของซินแสสวี่ได้ทันที จะไม่ให้ชาวบ้านรู้สึกตกตะลึงได้อย่างไร
คนที่เคยเล่าเรียนกับคนที่ไม่เคยเล่าเรียน ย่อมแตกต่างกัน
เซี่ยยวี่หลัวโอบแขนเซียวยวี่ เดินบิดตัวไปมา ยิ้มจนคิ้วงามโก่งโค้ง แสงแดดร้อนยิ่งนัก สาดส่องจนปลายจมูกของนางเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ
เซียวยวี่ที่อยู่ข้างๆ มองภรรยาผู้เลอโฉมของตัวเองด้วยความรักใคร่เอ็นดู ภายในใจรู้สึกหวานชื่นราวกับได้กินน้ำผึ้งก็มิปาน ยื่นนิ้วชี้ออกไป ปาดปลายจมูกของนางเบาๆ
เซียวหมิงจูเห็นแล้วก็หันตัวเดินจากไปด้วยความโมโห
เซียวยวี่และเซี่ยยวี่หลัวถือของเดินกลับบ้านไปช้าๆ
เด็กสองคนเดินตามห่างๆ อยู่ข้างหลัง ปิดปากกลั้นหัวเราะ
เมื่อก่อนเห็นพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่เดินด้วยกัน ไม่เคยจูงมือกันมาก่อน บัดนี้เดินจากศาลบรรพชนถึงตรงนี้ มือของทั้งสองคนยังไม่เคยปล่อยออกจากกัน ฮะฮะ…
จู่ๆ เซี่ยยวี่หลัวก็หันกลับไป เห็นท่าทางเด็กสองคนแอบยิ้มกริ่ม นางเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ทำไมพวกเจ้าสองคนถึงไม่เดินเร็วหน่อย? รีบเดินเร็วเข้า”
เซียวจื่อเซวียนและเซียวจื่อเมิ่งกำลังจะเร่งฝีเท้าวิ่งมา
เซียวยวี่หันกลับไป กวาดสายตามองเด็กสองคนด้วยสีหน้าเรียบสงบ
เซียวจื่อเซวียนจับเซียวจื่อเมิ่งที่กำลังจะวิ่งไปไว้ จู่ๆ ก็กล่าว “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าจะพาจื่อเมิ่งไปเล่นครู่หนึ่ง อีกเดี๋ยวก็กลับขอรับ พวกท่านกลับบ้านก่อน!”
กล่าวจบ จึงพาเซียวจื่อเมิ่งวิ่งไป
เซียวยวี่ตวัดริมฝีปากเล็กน้อย ช่างรู้จักดูสถานการณ์จริง
เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกเป็นห่วงเล็กน้อย “เด็กสองคนนี้คงไม่วิ่งซนไปทั่วกระมัง?”
เซียวยวี่จับมือนางไว้ กล่าวให้นางสบายใจ “วางใจได้ จื่อเซวียนย่อมระมัดระวัง”
เซียวจื่อเซวียนพาเซียวจื่อเมิ่งวิ่งไปยังหัวมุมจึงหยุดฝีเท้า แอบดูทั้งสองคนอย่างลับๆ ล่อๆ
อัยยะ ดูสีหน้าพี่ใหญ่สิ ดูดีขึ้นมากทีเดียว
เซียวจื่อเมิ่งกล่าวด้วยท่าทีสงสัย “พี่รอง ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ? ทำไมถึงไม่กลับบ้าน? ”
อากาศร้อนถึงเพียงนี้ นางอยากกลับบ้าน
เซียวจื่อเซวียนยิ้มพร้อมกล่าว “กลับกลับกลับ รอให้พี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่กลับถึงบ้านพวกเราค่อยกลับ! ”
“ทำไมถึงไม่กลับพร้อมพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่เจ้าคะ? ” เซียวจื่อเมิ่งรู้สึกสงสัยยิ่งนัก
เซียวจื่อเซวียนแต้มนิ้วไปบนหน้าผากนางพลางกล่าว “เจ้าไม่เห็นหรือว่าพี่ใหญ่ไม่พอใจ? ”
เมื่อครู่ตอนพี่ใหญ่หันกลับมา เกือบทำให้เซียวจื่อเซวียนตกใจ
“ทำไมพี่ใหญ่ถึงไม่พอใจเจ้าคะ? ”
“บางทีอาจเพราะพวกเขาอยากมีเจ้าตัวน้อย ไม่อยากให้พวกเรารบกวนกระมัง”
เซียวจื่อเมิ่งชะโงกศีรษะออกไปอีกครั้ง มองดูพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่ที่จูงมือกันอยู่ รู้สึกดีใจเสียยิ่งกว่าอะไร “พี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่กำลังมีเจ้าตัวน้อยหรือเจ้าคะ? ”
เซียวจื่อเซวียนพยักหน้า จูงมือกันแล้ว ใกล้ชิดกันถึงเพียงนั้น “น่าจะเป็นเช่นนั้น!”