ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย - ตอนที่ 954 ไปจากวัง
ตอนที่ 954 ไปจากวัง
ลู่เจียวก็มิได้ปฏิเสธ ตอนนี้นางทุ่มเทกายใจเพื่อเป็นเพื่อนเด็กน้อยผู้นี้ จัดแผนการเรียนรู้ให้เขาชุดหนึ่ง ร่วมกับการเล่น นอกจากนี้ลู่เจียวยังขอจีชางให้หาอาจารย์ฝึกยุทธ์มาให้จีซิว สอนวิทยายุทธ์เขา เป้าหมายไม่ใช่เพื่อการใด แต่เพื่อเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง
จีชางเห็นบุตรชายรูปร่างผอมตัวเล็กก็ตกลง แต่อาจารย์ฝึกยุทธ์ที่เขาหามา วิทยายุทธ์ไม่นับว่าร้ายกาจ
ลู่เจียวเองก็ไม่ได้เอ่ยอันใด สรุปคนผู้นี้ยังพอสอนจีซิวในตอนนี้ได้
แต่สองปีต่อมา ลู่เจียวหาช่องทางแอบเชิญผู้มีวิทยายุทธ์สูงส่งนอกวังมาท่านหนึ่ง เพื่อมาสอนวิทยายุทธ์ให้จีซิวโดยเฉพาะ
ส่วนนางรับหน้าที่สอนวัฒนธรรมให้จีซิว
เพราะเสนาบดีเฉาเป็นอัมพาต ทำให้ราชสำนักวุ่นวาย ไม่มีผู้ใดมาสนใจจีซิวกับลู่เจียว
ปีสื่อหยวนที่ยี่สิบแปด จีซิวอายุสิบห้า เพิ่งจะเข้าสู่วัยหนุ่ม
ยามนี้สงครามชิงตำแหน่งรัชทายาทระหว่างองค์ชายใหญ่กับองค์ชายรองนับว่ากำลังตึงเครียดถึงขีดสุด
ในตอนนี้เอง แคว้นเพื่อนบ้านก็บุกโจมตีชายแดนแคว้นเหยา แม่ทัพกาวประจำชายแดนรีบส่งสารมาเมืองหลวงขอให้ฝ่าบาทมีราชโองการส่งกำลังไปช่วยชายแดน
จีชางกับขุนนางในราชสำนักหารือกันแล้วก็คัดเลือกหาผู้นำทัพไปช่วยชายแดน
ลู่เจียวขอเข้าเฝ้าจีชาง
สองปีมานี้ พวกเขาสองคนไม่ได้นอนร่วมเรียงเคียงหมอน เพราะสุขภาพลู่เจียวอ่อนแอมาก ไม่อาจรองรับเรื่องบนเตียงได้ ดังนั้นอย่างมากจีชางก็มาเป็นเพื่อนคุยกับลู่เจียวเท่านั้น
แต่ระยะนี้ สุขภาพลู่เจียวยิ่งย่ำแย่ลง จีชางเห็นนางเช่นนี้ก็เป็นห่วงมาก
สิบปีมานี้ พวกเขาอยู่ร่วมกันดังสหาย ความรู้สึกนี้ความจริงก็ไม่เลว
“เจ้ามาพบเราด้วยเรื่องอันใด”
สุขภาพจีชางเองก็ไม่ดี สิบปีมานี้นอกจากต้องดูแลเรื่องในราชสำนัก ยังยุ่งกับการให้นักพรตปรุงยาลูกกลอนเซียน สามวันห้าวันก็จะกินยาลูกกลอนบำรุงร่างกาย
น่าเสียดายยาลูกกลอนบำรุงไม่ได้ผลแม้แต่น้อย จีชางจึงสังหารนักพรตเหล่านี้ไปไม่น้อยเช่นนั้น เขากลายเป็นคนเหี้ยมโหด
แต่กลับไม่ได้เหี้ยมโหดต่อลู่เจียว เพราะสุขภาพลู่เจียวไม่ดี ทำให้จีชางเห็นนางแล้วก็นึกถึงตนเอง
ลู่เจียวหอบหายใจแรงก้าวเข้าไปคุกเข่าถวายบังคมจีชาง จากนั้นก็เอ่ยว่า “ได้ยินว่าฝ่าบาทจะส่งทัพไปชายแดนช่วยขุนพลกาว หม่อมฉันมาเพื่อขอฝ่าบาทให้โอกาสซิวเอ๋อร์สักครั้ง ให้เขาได้ติดตามทัพใหญ่ไปชายแดนช่วยขุนพลกาวปราบปรามเหตุการณ์นี้”
“และขอฝ่าบาททรงอนุญาตให้ซิวเอ๋อร์ไปประจำชายแดนกับขุนพลกาวเพคะ”
นางกล่าวจบก็หอบหายใจท่าทางอ่อนแอ คล้ายพร้อมจะเป็นลมหมดสติได้ตลอดเวลา
จีชางเห็นนางเช่นนี้ก็รีบเข้าไปประคองนางมานั่ง
เขาคิดถึงข้อเสนอลู่เจียว ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เราจำได้ว่าปีนี้ซิวเอ๋อร์เหมือนเพิ่งจะอายุสิบห้า”
“ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันคิดว่าตนเองคงไม่ไหวแล้ว จึงคิดจัดการวางเส้นทางให้ซิวเอ๋อร์ ขอฝ่าบาททรงอนุญาตด้วยเพคะ”
พอลู่เจียวกล่าว จีชางก็เข้าใจแล้วว่า นางผู้นี้น่าจะมีชีวิตได้อีกไม่นาน เพราะในใจเป็นห่วงบุตรชาย ดังนั้นจึงคิดหาเส้นทางให้บุตรชายก้าวเดิน
จีชางไม่ตอบ ลู่เจียวแสร้งคุกเข่าให้จีชางทูลต่อว่า “ขอฝ่าบาททรงอนุญาตด้วยเพคะ”
จีชางเห็นสภาพร่างกายนางอ่อนแอเช่นนี้ แต่ยังคิดหาทางให้บุตรชาย เขาคิดจริงจังแล้วก็ตอบตกลง
ไม่ว่าอย่างไรจีซิวในฐานะบุตรชายเขารับราชโองการไปชายแดนช่วยขุนพลกาว นับเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้ทหารชายแดนได้ และจีซิวออกจากเมืองหลวงไปประจำชายแดนก็เป็นเรื่องดีสำหรับเขามาก
สุดท้ายจีชางก็เห็นด้วย
ไม่คิดว่าลู่เจียวทูลขอต่ออีกข้อหนึ่ง “ขอฝ่าบาททรงอนุญาตให้หม่อมฉันติดตามไปด้วยเพคะ”
ยามนี้จีชางตกใจ ถลึงตาใส่ลู่เจียวว่า “สุขภาพเจ้าไม่ดีเช่นนี้ ยังคิดเดินทางรอนแรมติดตามกองทัพไป เจ้าเอาชีวิตมาล้อเล่นหรือ”
“ทูลฝ่าบาท อย่างไรซิวเอ๋อร์ก็อายุเพียงแค่สิบห้า หม่อมฉันไม่ไว้วางใจจริงๆ เพคะ อยากได้เห็นเขาลงหลักปักฐานอยู่ชายแดนได้ด้วยตาของหม่อมฉันเองเพคะ”
“ฝ่าบาท อย่าเห็นว่าหม่อมฉันสุขภาพไม่ดีอย่างมาก แต่หากหม่อมฉันไม่เห็นซิวเอ๋อร์ยืนมั่นคงปักหลักที่ชายแดนได้ หม่อมฉันไม่อาจวางใจจากไปได้เพคะ”
นางกล่าวจบก็หอบหายใจรุนแรงก่อนจะพยายามทรงตัวให้นิ่ง
จีชางเห็นนางเช่นนี้ ในใจก็รู้สึกอิจฉาจีซิวอยู่บ้าง ไม่ว่าอย่างไรจีซิวก็มีเสด็จแม่ที่ดี เหตุใดเขาไม่มีบ้าง
จีชางรู้สึกได้ถึงความเมตตาดังมารดาของลู่เจียว สุดท้ายก็ยอมตกลง “ได้ แต่เรื่องนี้อย่าได้แพร่งพรายออกไป เจ้าตามกองทัพไปชายแดนเงียบๆ หากระหว่างทางพบว่ามีอันใดไม่ได้การก็ให้รีบกลับมา”
ลู่เจียวรีบลุกขึ้นขอบพระทัยในพระเมตตา “ขอบพระทัยฝ่าบาท”
วันรุ่งขึ้นประชุมท้องพระโรงยามเช้า จีชางมีราชโองการให้องค์ชายเจ็ดจีซิวนำทัพไปชายแดนช่วยพวกขุนพลกาว
ในราชสำนักย่อมมีคนคัดค้าน แต่จีชางไม่ได้ให้องค์ชายเจ็ดนำทัพไปคนเดียว แต่ยังมีราชโองการให้สองขุนพลทหารติดตามไปด้วย องค์ชายเจ็ดก็คล้ายเป็นแค่ผู้ช่วยนำทัพเท่านั้น
ในที่สุดขุนนางในราชสำนักก็ไม่พูดอันใดต่ออีก เขาไม่ได้รู้จักองค์ชายเจ็ดที่เติบโตในตำหนักหย่งฝูกง มากนัก
อีกสามวัน ทัพใหญ่ก็ออกเดินทางตรงไปด่านเจียไห่ที่ชายแดน
ลู่เจียวโล่งอกอย่างมากที่พาจีซิวออกจากวังมาได้อย่างราบรื่น วันหน้ากลับเข้าวังอีกครั้งก็จะไม่เหมือนเช่นวันนี้แล้ว
เดิมจีซิวไม่ได้คิดหมายปองตำแหน่งฮ่องเต้อันใด แต่พอคิดถึงว่าลู่เจียววางหมากให้เขาก้าวเดินมาแต่ละก้าว เขาก็ตัดสินใจว่าจะนำตำแหน่งฮ่องเต้แคว้นเหยามาครองให้ได้ ถึงตอนนั้นจะแต่งตั้งท่านแม่เป็นไทเฮาแคว้นเหยา จะไม่มีผู้ใดกล้ารังแกท่านแม่เขาอีก
“ท่านแม่ ท่านรอหน่อย บุตรชายจะให้ท่านได้เป็นไทเฮาแคว้นเหยา ถึงตอนนั้นผู้ใดรังแก่ท่าน ข้าก็จะสังหารเขา”
ใบหน้าลู่เจียวราวกับมีแสงสีดำพาดผ่าน นางอบรมเด็กน้อยมาเกือบสิบปี เด็กน้อยยังคงโหดเหี้ยม โชคดีที่ไม่ลอกหนังควักลูกตา
ตอนนี้นางรู้สึกปวดหัวกับเรื่องหนึ่ง จีซิวติดนางมากเกินไป หากนางจากไป เจ้าหมอนี่จะกลายเป็นคนจิตใจมืดบอดหรือไม่ นางต้องคิดหาวิธีหยุดยั้งความดำมืดในจิตใจเขา
ลู่เจียวคิดไปก็ยิ้มไป มองจีซิวเอ่ยว่า “เช่นนั้นแม่จะรอ”
จีซิวยิ้มกว้างคล้ายว่าตำแหน่งนั้นเป็นของที่หามาได้ไม่ยาก
สามปีต่อมา กองทัพประจำด่านเจียไห่อยู่ในความควบคุมของจีซิว ภายนอกยังคงเป็นขุนพลกาวสั่งการ แต่ทหารภายในด่านเจียไห่ล้วนฟังคำสั่งจีซิว
นอกจากนี้ยังมีกองทหารละแวกใกล้ด่านเจียไห่ที่ยอมฟังคำสั่งจีซิว เขาเป็นขุนพลทหารกุมอำนาจแท้จริง
จีซิวอายุสิบแปด หน้าตาหล่อเหลาพร้อมโครงหน้าชัดรูปกระจับ แววตากระจ่างเปล่งประกายแสงลุ่มลึก ทำให้คนที่ได้เห็นต่างรู้สึกถึงกลิ่นอายสังหาร ไม่กล้าหาเรื่องเขา
ไม่เพียงแต่พลทหารในกองทัพ แม้แต่ขุนพลกาวเอง ทุกครั้งที่ได้พบเขาก็จะรู้สึกได้ถึงกระแสบารมีและความแข็งแกร่งพุ่งปะทะใส่
เขาเช่นนี้คล้ายดังสิงโตเพศผู้ดุร้ายที่กระหายโลหิต หากไม่ทันระวัง อาจถูกเขากัดคอขาดได้
โชคดีที่คนผู้นี้มีความอ่อนโยนยามอยู่กับพระสนมไป๋ผิน
สามปีมานี้ จีซิวยุ่งกับการคุมกำลังด่านชายแดน ลู่เจียวเองก็มิได้ว่าง นางใช้วิชาการแพทย์กับเงินดึงคนมาใช้งานได้ไม่น้อย ก่อตั้งเป็นองค์กรข่าวลับ รับหน้าที่คอยจับตาดูเมืองหลวงและการเคลื่อนไหวของขุนนางในราชสำนัก
จากรายงานข่าว ลู่เจียวได้รับรู้ความเคลื่อนไหวใหม่สุดในวังไม่ขาดสาย
“องค์ชายใหญ่ตกม้า กิ่งไม้บาดตาบอดแล้ว”
“องค์ชายรองถูกลอบสังหาร เส้นเอ็นขาขาดแล้ว ตอนนี้เดินไม่ได้แล้ว”
“ระยะนี้องค์ชายสามกระตือรือร้นขึ้นมาก มีสิทธิ์ได้ขึ้นครองบัลลังก์”
“พระพลานามัยฝ่าบาทนับวันยิ่งไม่ได้การแล้ว”
ลู่เจียวยิ้มมองสารลับในมือ ก่อนมองไปยังจีซิวที่เดินเข้ามา ยิ้มอ่อนโยนกล่าวว่า “ซิวเอ๋อร์ พวกเราควรกลับเมืองหลวงกันได้แล้ว”
จีซิวก้าวเข้าไปนั่งลงข้างกายนาง “ได้ ทุกอย่างล้วนฟังคำสั่งท่านแม่”
“เช่นนั้นคืนนี้เจ้าคัดเลือกทหารกล้าพันนาย พวกเราเร่งควบม้าคืนนี้กลับเมืองหลวงกัน ได้เวลาพอสมควรแล้ว แย่งชิงตำแหน่งของเจ้ากลับมาได้แล้ว”