ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย - ตอนที่ 465 ท่านแม่ข้าดีที่สุด
ตอนที่ 465 ท่านแม่ข้าดีที่สุด
น้ำมันกับสบู่หอม โดยเฉพาะสบู่หอมที่มีสรรพคุณพิเศษเช่นสบู่ผิวขาวใส ใช้ไปอาจไม่ขาวในทันที แต่ใช้ไประยะหนึ่งก็ขาวได้จริง
ผู้หญิงเกิดมาก็รักสวยรักงาม สบู่หอมขายดิบขายดีในเมืองหลวง สินค้าไม่พอขาย แต่ละพื้นที่ก็เริ่มพากันมารับสินค้าไปขาย น่าเสียดายสินค้าไม่พอแบ่งขาย
สามโรงผลิตนับว่าทำกำไรก้อนโต ชนชั้นสูงในเมืองหลวงไม่น้อยแอบจับจ้องการค้านี้ สุดท้ายพอรู้ว่าเป็นลู่เจียว ก็รู้ว่าลู่เจียวว่าเกี่ยวข้องกับจ้าวหลิงเฟิง
เบื้องหลังจ้าวหลิงเฟิงมีจวนหย่งหนิงโหว เขาอยู่เมืองหลวงยังไปมาหาสู่กับอ๋องเยียนเป็นครั้งคราว ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดกล้าลงมือวางอุบายพวกเขาในตอนนี้
แต่เงินก้อนนี้มาอย่างรวดเร็วมากจริงๆ เพียงแค่สองสามเดือนก็หาเงินได้แสนกว่าตำลึง ลู่เจียวได้ส่วนแบ่งมาสี่หมื่น นี่ขนาดโรงผลิตยายังไม่เริ่มผลิต
ลู่เจียวยิ้มบานไม่หุบ มองจ้าวหลิงเฟิงพ่อลูกแล้วก็ยิ่งรื่นหูรื่นตา
จ้าวหลิงเฟิงแอบคิดในใจ หญิงผู้นี้รักเงินทองเสียจริง แต่เขาไม่กล้าพูดออกไปเป็นแน่
หากเขากล้าพูด หญิงผู้นี้ก็กล้าตัดสัมพันธ์
วันนี้จ้าวอวี้หลัวดีใจมากที่สุด เพราะลู่เจียวอารมณ์ดี ชมนางหลายครั้ง ทำให้สีหน้านางเบิกบาน ยิ้มไม่หุบ และยังเชื่อฟังเป็นพิเศษ
จ้าวหลิงเฟิงเห็นบุตรสาวเป็นเช่นนี้ ก็แอบขื่นขมในใจ ทำไมเขารู้สึกว่าเขาเลี้ยงดูบุตรสาวมาเสียแรงเปล่า
“พี่จ้าว มา ดื่มสุรากินกับข้าวกัน”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นดื่มเป็นเพื่อนจ้าวหลิงเฟิง ทั้งสองคนคุยกันเรื่องการเพาะปลูกในอำเภอชิงเหอ
การเพาะปลูกทั้งอำเภอสำเร็จเรียบร้อยแล้ว
“หากปลูกสำเร็จ เบื้องบนย่อมตกรางวัลให้นายอำเภอหู วันหน้าหากมีโอกาส เขาย่อมมีหวังจะได้ก้าวขึ้นไปอีก”
ความดีก่อนหน้านี้ที่จับรองนายอำเภอหยางกับเผิงจู่ปู้ได้ตกแก่นายอำเภอหู หากการเพาะปลูกครั้งนี้สำเร็จอีก ย่อมต้องได้รับความไว้วางใจจากเบื้องบน เขาต้องได้เลื่อนตำแหน่งอย่างแน่นอน
เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ฟังจ้าวหลิงเฟิงก็พยักหน้าเล็กน้อย กล่าวว่า “นายอำเภอหูเป็นคนไม่เลว และก็ทำเพื่อราษฎรด้วยความจริงใจ”
จ้าวหลิงเฟิงพยักหน้าเล็กน้อย “ใช่ เพียงแต่โง่งมไปหน่อย”
จ้าวหลิงเฟิงรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง หากนายอำเภอหูเป็นบุคคลมีความสามารถทำงานให้อ๋องเยียนได้ก็ย่อมไม่เลว น่าเสียดายคนผู้นี้แม้ว่าพอทำงานได้ แต่ความสามารถไม่มาก
จ้าวหลิงเฟิงครุ่นคิดแล้วก็หันไปมองเซี่ยอวิ๋นจิ่น คนผู้นี้เป็นบุคคลมีความสามารถ หากสอบตำแหน่ง จิ้นซื่อได้ เจ้านายต้องใช้งานเขาอย่างแน่นอน
“ไม่พูดถึงเขาแล้ว ดื่มสุรา ดื่มสุรา”
กินอาหารเสร็จ จ้าวหลิงเฟิงเดิมคิดจะพาบุตรสาวกลับ ปรากฏบุตรสาวไม่ยอมกลับไปฉลองปีใหม่ที่ตระกูลจ้าว
จ้าวหลิงเฟิงสีหน้าดำทะมึนถลึงตาใส่จ้าวอวี้หลัว “เจ้ามาฉลองปีใหม่ที่บ้านผู้อื่นเช่นนี้คิดว่าใช้ได้หรือ จ้าวอวี้หลัว หากเจ้ากล้าโวยวายอีก ดูว่าพ่อจะตีเจ้าไหม”
ดูท่าเขาเอาใจบุตรสาวเกินไปแล้ว จึงได้ทำให้นางนับวันยิ่งคิดอันใดล้วนเอาแต่ใจจนไม่สนใจสิ่งใด
จ้าวอวี้หลัวขอบตาแดงก่ำทันที สาวน้อยคนงามเริ่มใช้ดวงตาแดงๆ มองเจ้า แม้เจ้าใจแข็งเป็นหินผา ก็ย่อมแข็งต่อไปไม่ไหว
จ้าวหลิงเฟิงถอนหายใจ “อวี้หลัวเอ๊ย ไม่ใช่ท่านพ่อไม่ให้เจ้าอยู่ แต่การฉลองปีใหม่ครอบครัวพร้อมหน้า เจ้าจะมาอยู่บ้านผู้อื่นได้ที่ไหนกัน”
“อีกอย่างหากเจ้าอยู่ฉลองปีใหม่ที่นี่ ท่านพ่อจะทำอย่างไร เจ้าทนเห็นท่านพ่ออยู่บ้านฉลองคนเดียวได้หรือ”
จ้าวอวี้หลัวกล่าวอย่างดีใจทันทีว่า “ท่านพ่อก็อยู่ฉลองปีใหม่บ้านท่านน้าสิ”
ครานี้ทำเอาเซี่ยอวิ๋นจิ่นสีหน้าดำทะมึน หากไม่เห็นว่าเป็นเด็กผู้หญิง เขาก็อยากจะทุบนางสักที
จ้าวหลิงเฟิงถลึงตาใส่บุตรสาวอย่างไม่พอใจ “เจ้าจะกลับไม่กลับ”
“ไม่กลับ ข้าจะอยู่บ้านท่านน้าลู่ ข้าจะฉลองปีใหม่กับเอ้อร์เป่า”
จ้าวหลิงเฟิงโมโหแล้ว เดินเข้ามาอุ้มจ้าวอวี้หลัวจะก้าวออกไป
จ้าวอวี้หลัวดื้อดึงขึ้นมาทันที แผดเสียงร้องไห้ดังลั่น ร้องไปทุบตีแขนบิดาตนเองไป “ข้าไม่กลับ ข้าไม่กลับ ท่านเป็นท่านพ่อไม่ดี”
จ้าวหลิงเฟิงไม่คิดสนใจนาง ดึงดันก้าวต่อไป ลู่เจียวเห็นภาพนี้แล้วก็ทนไม่ไหว เอ่ยขึ้นว่า “จ้าวหลิงเฟิง เจ้ารอประเดี๋ยว”
จ้าวหลิงเฟิงหันไปก็ได้ยินลู่เจียวว่า “นางอยากอยู่ต่อจริงๆ ก็ให้นางอยู่ฉลองปีใหม่แล้วกัน”
เอ้อร์เป่าเองก็ทนไม่ได้ เอ่ยปากว่า “ท่านลุงจ้าว นางอยากอยู่ต่อก็ให้นางอยู่ต่อเถอะ”
จ้าวหลิงเฟิงคิดปฏิเสธ ลู่เจียวเอ่ยเบาๆ ว่า “เจ้าอย่าทำกับนางเยี่ยงนี้ จะทำลายความผูกพันพ่อลูก”
จ้าวหลิงเฟิงคิดแล้วก็ปล่อยจ้าวอวี้หลัวลง จ้าวอวี้หลัวรีบไปหลบหลังลู่เจียว “ข้าไม่ไป”
ลู่เจียวเอ่ยปากอีกครั้ง “นางอยากอยู่ต่อก็ให้อยู่ต่อเถอะ ไว้พวกเรากลับไปพร้อมกัน”
ลู่เจียวกล่าวจบก็สั่งการเอ้อร์เป่าว่า “พาจ้าวอวี้หลัวไปเล่นไป”
“ขอรับ ท่านแม่”
เอ้อร์เป่าพาจ้าวอวี้หลัวไป ลู่เจียวกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นส่งจ้าวหลิงเฟิงกลับ
ขณะสามคนเดินออกไปด้านนอก ลู่เจียวกล่าวว่า “เจ้าอย่าเอาแต่แข็งกร้าวกับลูก เจ้าทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่ทำตัวเองโมโห นางก็โมโห จะทำลายความผูกพันพ่อลูกได้ง่าย กลับกัน หากเจ้าให้นางอยู่ นางจะต้องคิดถึงเจ้าอย่างแน่นอน”
จ้าวหลิงเฟิงรู้สึกปวดหัว “เดาว่านางจะเล่นจนเต็มที่ ยังจะมีเวลาคิดถึงข้าหรือ”
ลู่เจียวอดหัวเราะไม่ได้ “นางอยู่กับเจ้ามาตลอด จะไม่คิดถึงเจ้าได้อย่างไร เจ้าอย่าพูดด้วยอารมณ์”
จ้าวหลิงเฟิงยิ้มเฝื่อนอย่างเสียไม่ได้ บุตรสาวเลี้ยงโตมีแต่เรื่องต้องเป็นห่วงไม่เว้นวาย ชีวิตเขาช่างน่าสงสารแท้
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวส่งจ้าวหลิงเฟิงขึ้นรถม้า จ้าวหลิงเฟิงกล่าวกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นและลู่เจียวอย่างเกรงใจ ว่า “รบกวนพวกเจ้าสองคนแล้ว”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ฟังจ้าวหลิงเฟิงก็รู้สึกรื่นหู ยิ้มกล่าวอย่างจริงใจมากขึ้นว่า “พี่จ้าวอย่าได้เกรงใจ”
จ้าวหลิงเฟิงไปแล้ว จ้าวอวี้หลัวก็ตามเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ไปเล่นกับเด็กๆ ในหมู่บ้าน
แม้ว่าเอ้อร์เป่าพยายามอธิบายว่านี่ไม่ใช่คู่หมายตนเอง แต่เด็กทั้งหมู่บ้านล้วนรู้ว่าสาวน้อยหน้าตางดงามราวกับภาพวาดผู้นี้ก็คือคู่หมายของเอ้อร์เป่า
ไม่ว่าเอ้อร์เป่าจะอธิบายอย่างไร ทุกคนก็ไม่เชื่อ
เอ้อร์เป่าโมโหมาก ไม่อนุญาตให้จ้าวอวี้หลัวมาตามเขา จ้าวอวี้หลัวตามอยู่ห่างๆ ท่าทางเหมือนคู่หมายที่โดนรังแกอย่างมาก
ปรากฏทุกคนในหมู่บ้านเห็นแล้วก็พากันกล่อมเขา “เอ้อร์เป่าเอ๊ย อย่ารังแกคู่หมายเจ้า หน้าตาสวยนะ เหมาะกับเจ้ามาก”
“ใช่แล้ว นางไม่เพียงแต่หน้าตาสวย ยังเชื่อฟังเจ้า คู่หมายเช่นนี้จะไปหาที่ไหนได้”
สุดท้ายเอ้อร์เป่าได้แต่โมโหหนีกลับบ้านด้วยสีหน้าไม่พอใจ
ลู่เจียวเห็นแล้วก็อดเรียกเขามาถามไม่ได้ “เกิดอันใดขึ้น ทำไมโมโหเช่นนี้”
“ทุกคนต่างบอกว่าจ้าวอวี้หลัวเป็นคู่หมายข้า ข้าบอกว่าไม่ใช่ๆ แต่ไม่มีใครเชื่อสักคน ทุกคนต่างบอกให้ข้าอย่ารังแกจ้าวอวี้หลัว”
ลู่เจียวปลอบใจอย่างนึกขำว่า “คนเขาพูด เจ้าก็ไม่ต้องอธิบาย วันหน้าพวกเขาก็จะไม่พูดอีก ส่วนนางเป็นคู่หมายเจ้าหรือไม่ รอไว้เจ้าโตค่อยว่ากัน”
เอ้อร์เป่าฮึดฮัดเงยหน้ามองลู่เจียว “ท่านแม่ ท่านคงไม่บีบบังคับข้าให้แต่งกับนางกระมัง”
ลู่เจียวสีหน้าจริงจัง “นอกจากเจ้าบอกกับท่านแม่ ว่าเจ้าคิดแต่ง ไม่เช่นนั้นท่านแม่ไม่บีบบังคับเจ้า”
เอ้อร์เป่ายิ้มออกแล้ว ยื่นมือขึ้นกอดคอลู่เจียวออดอ้อนว่า “ท่านแม่ข้าดีที่สุด”
วันที่สามสิบ เป็นวันสิ้นปี ลู่เจียวเตรียมอาหารเต็มโต๊ะ นอกจากครอบครัวพวกนางกับเซี่ยเอ้อร์จู้แล้ว เซี่ยอวิ๋นจิ่นยังไปตามเซี่ยเหล่าเกินมาด้วย
เซี่ยเหล่าเกินยอมรับความจริงได้แล้ว ตอนนี้อารมณ์สงบนิ่งลงไม่น้อย เจ้าสามบอกแล้วว่า ขอเพียงเจ้าใหญ่กับเจ้าสี่ไม่ไปหาเรื่องเขา เขาก็ไม่พูดว่าตนเองไม่ใช่ลูกหลานตระกูลเซี่ย ดังนั้นเขาต้องเฝ้าเจ้าใหญ่กับเจ้าสี่ให้ดี
เซี่ยเหล่าเกินมองเซี่ยอวิ๋นจิ่นแล้วก็รับรองอีกครั้ง “เจ้าสาม เจ้าวางใจ พ่อรับรองจะเฝ้าพี่ใหญ่เจ้ากับเจ้าสี่ไว้ให้ดี ดังนั้นเจ้าอย่าได้บอกชาติกำเนิดเจ้ากับผู้อื่น”
“ท่านพ่อ วางใจ ข้าไม่พูด”
เซี่ยเหล่าเกินวางใจลงได้ในที่สุด อาหารฉลองคืนวันสิ้นปี คนสองครอบครัวก็ได้ร่วมฉลองกัน อย่าได้เอ่ยว่าเบิกบานใจเพียงใด เซี่ยเหล่าเกินเห็นคนสองครอบครัวอยู่ร่วมกันปรองดอง ก็พลันครุ่นคิดขึ้นมาว่า นี่สิจึงจะเป็นครอบครัวแท้จริง
ไหนเลยจะเหมือนพวกเขาทางนั้น เห็นอยู่ว่ากินข้าวร่วมกัน แต่ความจริงต่างมีความในใจ ล้วนมีอุบายในใจตน
เซี่ยเหล่าเกินอยากมาใช้ชีวิตร่วมกับเจ้ารองและเจ้าสาม แต่พอคิดถึงสถานะเซี่ยอวิ๋นจิ่น สุดท้ายจึงไม่ได้เอ่ยออกมา
หลังมื้ออาหารฉลองวันสิ้นปี ก็คือการเฝ้าข้ามคืน หรือการหากิจกรรมทำโดยไม่นอน
สองครอบครัวมานั่งกินถั่วลิสงและแทะเมล็ดแตงด้วยกัน คุยเรื่องสัพเพเหระ ดูพวกลูกทั้งสี่เล่นสนุกสนานอย่างมาก
จ้าวอวี้หลัวเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ยามนี้นางเริ่มเศร้าแล้ว แอบไปนั่งหลบมุมอยู่คนเดียว ลู่เจียวเห็นนางเช่นนี้ก็รู้ว่านางย่อมคิดถึงบิดานางแล้ว
ลู่เจียวลุกขึ้นเดินไปนั่งลงข้างนาง “อวี้หลัว เป็นอันใดไปหรือ ทำไมไม่ไปเล่นกับพวกเอ้อร์เป่า”
จ้าวอวี้หลัวหันหน้าไปมองลู่เจียว บ่นว่า “ท่านน้าลู่ ข้าคิดถึงท่านพ่อแล้ว เมื่อก่อนยามนี้ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนท่านพ่อเข้าสู่ปีใหม่ไปด้วยกัน ตอนนี้ท่านพ่ออยู่คนเดียว ข้าคิดแล้วก็รู้สึกเศร้าขึ้นมา”
ลู่เจียวยกมือไปลูบศีรษะนาง “นี่แสดงให้เห็นชัดเจนว่าเจ้าเป็นเด็กดี ในเวลานี้รู้จักคิดถึงท่านพ่อเจ้า วันหน้าอย่าได้มีเรื่องกับท่านพ่อเจ้าอีก รู้ไหม”
“สองวันนี้เจ้าเล่นอยู่ในหมู่บ้าน ควรรู้ว่าเด็กผู้หญิงในหมู่บ้านมีชีวิตกันอย่างไร เจ้ามีชีวิตที่กว่าผู้อื่นมาก เหตุใดชีวิตจึงดีเช่นนี้ ก็เพราะท่านพ่อเจ้ารักเจ้า ดังนั้นวันหน้าเจ้าต้องรู้จักรักท่านพ่อให้มาก”
“เพราะเขา เจ้าจึงสุขสบายเช่นนี้ เขารักเจ้าขนาดนั้น เจ้าทำให้เขาเสียใจลงคอได้หรือ จริงไหม”
สองวันนี้จ้าวอวี้หลัววิ่งเล่นในหมู่บ้านได้เห็นเด็กสาวในหมู่บ้านมากมายช่วยทำงานบ้าน หน้าตาซูบซีด ยังสวมเสื้อผ้าเก่าขาด แต่ไรมาจ้าวอวี้หลัวคิดว่าเด็กสาวคนอื่นล้วนเหมือนกับนาง ที่แท้ยังมีเด็กสาวมากมายที่มีชีวิตที่ยากลำบากเช่นนี้
จ้าวอวี้หลัวคิดถึงบิดานางที่ไม่ว่านางต้องการอันใดก็จะหามาให้แล้ว ก็อดรู้สึกว่าตนเองช่างใช้ไม่ได้
นางเงยหน้ามองลู่เจียวกล่าวเสียงเศร้าว่า “ท่านน้าลู่ วันหน้าข้าจะต้องเชื่อฟังท่านพ่อ”
“อืม นี่สิจึงจะเป็นเด็กดี”
ลู่เจียวดึงมือนางให้เดินไปด้านหน้า “แต่ในเมื่อเจ้ามาฉลองปีใหม่บ้านน้าแล้ว ก็ควรมีความสุข ดีไหม”
ลู่เจียวกล่าวจบ ก็ตบมือเรียก “ต้าเป่า เอ้อร์เป่า ซานเป่า ซื่อเป่า มาทางนี้ ร้องเพลงเด็กกับจ้าวอวี้หลัวให้พวกแม่ฟัง”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่รีบวิ่งมาร้องเพลงเด็กร่วมกับจ้าวอวี้หลัว
“กระต่ายน้อย ว่านอนสอนง่าย เปิดประตู รีบเปิดเร็ว ข้าจะเข้าไป ไม่เปิด ไม่เปิด ข้าไม่เปิด ท่านแม่ยังไม่กลับมา ผู้ใดมาก็ไม่เปิด…”