ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 196
ฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของทุกคนที่ไม่มีท่าทีจะหยุดลง เวลาครึ่งชั่วโมงก็คงวิพากษ์วิจารณ์ไม่จบไม่สิ้น ถ้าเป็นอย่างนั้นคงจะไม่ดีแน่
ท่านลุงซ่งสรุปเรื่องข้าวสารบรรเทาทุกข์ที่ถูกขโมยไป
เขาเคาะกระบอกยาสูบเพื่อส่งสัญญานบอกให้ทุกคนฟัง
“ข้อแรกก็คือ พวกเราทุกคนคงไม่รู้ เพื่อเรื่องนี้ ซ่งฝูเซิงของพวกเราเกือบจะต้องไปร้องเรียนที่ศาลแล้ว…
…เมื่อวานยังคุยกับข้าเพื่อคิดหาวิธีเอาข้าวสารกลับมาให้ได้ ข้าวสารที่เอากลับมาได้ไม่ใช่น้อย ครึ่งปีมีจำนวนมากกว่าหมื่นจิน”
เขารู้สึกว่าทุกคนอยากจะแสดงความคิดเห็น แต่ท่านลุงซ่งรีบยกมือปราม ความหมายคืออย่าเพิ่งพูดแทรก ข้าจะขอพูดต่อ
เขาเข้าใจว่าทุกคนอยากพูดอะไร ความหมายคือ อย่าเสี่ยงอันตรายไปร้องเรียนให้ถูกโบยอีก ต่อไปถ้าเกิดเรื่องอย่างนี้ จะต้องบอกพวกเรา
“พวกเจ้าทั้งหลาย ตอนนี้คำพูดที่ว่า ถ้า…ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ก็เป็นคำพูดที่ไม่มีประโยชน์แล้ว…
…ข้าพูดออกมาเพื่อให้พวกเจ้ารับรู้เท่านั้น สิ่งที่ทำเพื่อพวกเรา ฝูเซิงเกือบเอาชีวิตไม่รอด…
…หลังจากที่พวกเราเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านเหรินจยา พวกเรามีสิ่งนั้นสิ่งนี้เพิ่มขึ้นมา พวกเราเป็นหนี้บุญคุณซ่งฝูเซิงทั้งครอบครัว อาศัยทั้งครอบครัวของซ่งฝูเซิงต้องมาลำบากกับพวกเราด้วย…
…เพราะฉะนั้น หากอาศัยมันสมองของซ่งฝูเซิง แม้พวกเราถูกส่งไปอยู่หมู่บ้านไหนก็ยังสามารถมีชีวิตที่ดีได้”
ซ่งฝูเซิงฟังอยู่ข้างๆ เขาฟังต่อไม่ไหวแล้ว “ท่านลุงซ่ง เราไม่ต้องพูดเรื่องนี้แล้ว เรามาพูดเรื่องสำคัญกันดีกว่าเถอะ”
“เจ้าไม่เข้าใจ เรื่องนี้ก็คือเรื่องสำคัญ เพราะว่าพวกเราทำให้เจ้าลำบากคนเดียว ทั้งยังดึงเจ้ามาอยู่ในเรื่องนี้ ยังดึงขาภรรยาและคนในครอบครัว พี่น้องของเจ้าให้รับความลำบากไปด้วย เพราะพวกข้าทุกคนติดหนี้บุญคุณเจ้าแล้ว จำเป็นต้องพูดคำนี้ออกมาจริงๆ”
ทุกคนมองไปที่ครอบครัวซ่งฝูเซิง แววตาเต็มไปด้วยคำขอโทษ รู้สึกผิดที่ใช้ให้ครอบครัวเขาทำแบบนี้
มีแค่พี่สะใภ้รองของซ่งฝูเซิงคิดว่า ทำไมจะไม่ใช่เล่า มิเช่นนั้นน้องสามีคงพาพวกเรามีชีวิตดีดีแล้ว
ส่วนคนอื่นๆ แม้กระทั่งท่านย่าหม่าก็พูดขึ้นทันใด “ไม่ได้ลำบากอันใดเลย” แต่ในใจก็คิดว่าพอแล้ว ไม่ต้องพูดแล้ว เรื่องข้าวสารบรรเทาทุกข์ ผลออกมาเป็นอย่างนี้แล้ว ท่านย่าหม่าเป็นคนพูดตรง นางจึงพูดขึ้นว่า “ทุกอย่างได้ถูกกำหนดไว้แล้ว”
ท่านลุงซ่งถอนหายใจ “ตรงกันข้าม พวกเราจะต้องจำไว้ว่า ต่อไปนี้สิ่งที่สำคัญคือจะต้องฟังคำสั่งซ่งฝูเซิง”
เขาย้ำคิดกลับไปกลับมา แล้วพูดต่อ
“ข้อที่สอง ทำไมจะต้องพูดเรื่องนี้กับพวกเจ้า ก็เพื่อให้ทุกคนรู้เรื่องที่เกิดขึ้น รู้หรือไม่ทำไมฝูเซิงจึงต้องบอกเรื่องนี้กับพวกเรา…
…ก็เพื่อไม่ต้องการให้พวกเราลืมตาแต่ทำเหมือนมองไม่เห็นอะไร เข้าใจผิด คิดว่าคนเลวกลายเป็นคนดี…
…ในจิตใจของพวกเจ้าต้องรู้ว่า วันนี้พวกเราได้กินข้าวสวย ที่ได้ข้าวสารจำนวนมากกว่าข้าวสารบรรเทาทุกข์มากมายไม่ใช่เพราะหลี่เจิ้งเป็นคนให้ แต่คนที่ให้ข้าวสารมาคือท่านแม่ทัพเล็ก พวกเราซาบซึ้งในน้ำใจท่านแม่ทัพเล็ก ถึงแม้ตายไป เราก็จะต้องระลึกบุญคุณของผู้มีพระคุณท่านนี้ ต้องตอบแทนบุญคุณในน้ำใจของเขา…
…และสิ่งที่พวกเจ้าจะต้องจดจำไว้ก็คือ ใครคือคนสารเลว ต่อไปจะได้ไม่ต้องถูกหลี่เจิ้งของหมู่บ้านใช้คำพูดไม่กี่คำทำให้พวกเราหลงกล จะได้ป้องกันไม่ให้ถูกหลอกอีก…
…แต่ว่าทุกคนคงได้ยินแล้วว่า ลูกชายคนโตของหลี่เจิ้ง คือลูกเขยท่านโหวใช่หรือไม่ ถึงจะแค้นขนาดไหนก็อย่าทำให้ตัวเองเดือดร้อน เมื่อเจอเขาก็อย่าจ้องหน้า ด่าทอ ถุยน้ำลายใส่ พวกเราไม่มีสิทธิ์ทำให้เขาโกรธ…
…พวกเราอย่าสร้างปัญหา เพราะเมื่อเกิดปัญหาก้ต้องอาศัยไหว้วานฝูเซิงไปตามเช็ดตามล้างให้…
…โมโหในใจก็เพียงพอแล้ว ได้ยินหรือไม่ ถ้าโกรธ แค่ด่าลับหลังก็พอแล้ว…
…พวกเราในตอนนี้ไม่มีความสามารถจะทำอะไร จะกินข้าวยังต้องคิดเยอะ บ้านก็ผุพังแทบไม่เป็นรูปเป็นร่าง ยิ่งกำลังเข้าสู่ฤดูหนาว ข้าวของยังจัดไม่เสร็จ มีเรื่องให้จัดการมากมาย ไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่น ถึงแม้เขาแบ่งข้าวสารให้พวกเราแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไป”
ท่านลุงซ่งพูดจบถามซ่งฝูเซิงว่า “ข้าพูดแบบนี้ ถูกต้องหรือไม่”
“ท่านลุงพูดได้ดีมาก”
ซ่งฝูเซิงพูดกับท่านลุงซ่งต่อไม่กี่คำ ท่านลุงพยักหน้าต่อเนื่องค่อยพูดต่อกับทุกคน
“เรื่องข้าวสารบรรเทาทุกข์ พวกเราพูดกันแค่นี้ ต่อไปก็มาเข้าเรื่องสำคัญเถอะ…
…จากพรุ่งนี้เป็นต้นไป พวกเขาจะส่งข้าวมาให้และยังสัญญาว่าจะส่งอิฐมาให้พวกเราด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้ทุกคนพูดเรื่องนี้ออกไป…
…จำนวนของอิฐอาจจะไม่เยอะมาก แต่ก็สามารถสร้างบ้านให้พวกเราได้สิบกว่าหลัง มีอิฐแล้ว ในตอนฤดูหนาว บ้านที่พวกเราอาศัยก็จะไม่ถูกลมพัดไปและถ้าหิมะตกก็จะไม่รั่ว…
…และยังรับปากว่าจะส่งกระดาษแก้วมาให้ มันเป็นกระดาษชนิดพิเศษ มีขายเฉพาะในเมืองเฟิ่งเทียนและมีราคาแพง กระดาษพวกนี้ ต่อไปจะเอามาใช้สำหรับสร้างอาชีพ พรุ่งนี้ถ้าเขาเอามาส่ง ต้องระมัดระวังดูแลให้ดี ต่อไปข้าจะจัดให้ทุกคนทำงาน ทุกคนก็ทำงานช่วยกัน…
…ก่อนอื่น ขอพูดถึงกุยช่ายขาว ท่านลุงซ่งพูดอธิบายคร่าวคร่าวให้กับทุกคนฟัง?”
ซ่งฝูไฉถามคนแรก “ใช่แล้ว ใช่แล้ว กุยช่ายขาว น้องสาม อะไรคือกุยช่ายขาว จะปลูกในห้องใต้ดินได้หรือ”
ซ่งฝูเซิงบอกพี่ชายคนโต ไม่ใช่ห้องใต้ดินทุกห้องจะปลูกได้ จะต้องเป็นห้องใต้ดินที่มีพื้นดินและช่องระบายอากาศ เชื่อมกับเตาได้ ไม่ใช่หลุมแบบนั้นที่ใช้เก็บผักได้เฉพาะช่วงหน้าหนาว
“เข้าใจแล้ว ข้าจะเป็นคนพาเจ้าปลูกกุยช่ายขาวเอง แต่ก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะปลูกได้เยอะขนาดไหน พวกเจ้าทำงานให้ดี ปลูกสักสองถึงสามเดือน ทุกบ้านจะมีรายได้สองถึงสามตำลึง ไม่น่าจะเป็นปัญหา ทุกคนจะได้เอาเงินไปซื้อฝ้ายมาทำเสื้อผ้าและซื้อของใช้ที่จำเป็น”
“อะไรกัน สองถึงสามเดือนก็จะมีเงินหนึ่งถึงสองตำลึงเชียวหรือ”
“ใช่แล้ว”
“ฝูเซิง” เกาถูฮู่พูดว่า “เจ้าต้องเก็บไว้บางส่วน สมมุติว่าพวกเราทำงานได้เงินสองตำลึงเจ้าก็แบ่งให้พวกเราหนึ่งตำลึงครึ่งก็พอ ที่เหลือเป็นของเจ้า ทุกคนได้ยินแล้ว กุยช่ายขาวคือสิ่งของสำคัญที่เจ้าศึกษาจากตำรับตำราของเจ้า”
ท่านป้าหวังพูดนำ ใช่ ใช่ ใช่ เป็นความดีความชอบของหลานคนโต
ท่าย่าหม่าสนับสนุนคำพูดของท่านยาย
ซ่งฝูเซิงรู้สึกว่าหัวข้อนี้ไม่มีอะไรน่าสนใจ
“ข้าคิดดีแล้ว กุยช่ายขาวแบบนี้ อย่าให้เขาได้ผลประโยชน์คนเดียว เพราะตำรับนี้ยิ่งแพงยิ่งหายากกว่า…
…เจ้าทำงานให้ดีก็เพียงพอ แค่นี้ก็เป็นการตอบแทนข้าแล้ว…
…นอกจากนี้ จำไว้ ทำไมถึงต้องอธิบายเรื่องข้าวสารบรรเทาทุกข์ ให้ทุกคนได้เข้าใจ ข้าวิเคราะห์ถึงห้องใต้ดินที่จะปลูกกุยช่ายขาว เรื่องนี้ห้ามไปเปิดเผยกับใคร…
…ถ้าความลับถูกเปิดเผย เส้นทางการค้าของพวกเราก็จะถูกตัด หน้าหนาวนี้ก็ไม่มีเงินเข้ามา พวกเราทั้งหมดจะกินอะไร จะดื่มอะไร…
…แน่นอน กุยช่ายเป็นการค้าของทุกคน พวกเราห้ามเผลอพูดออกไป ข้าหนักใจกลัวพวกเจ้าถูกหลอกให้พูด”
ทุกคนที่ได้ยิน คนที่นั่งบางคนตื่นเต้นจนต้องลุกขึ้นยืนและจ้องไปที่ป้าสะใภ้ที่พูดไม่หยุดถ้าไม่ได้จริงๆ ถ้าเจอคนหมู่บ้านของหลี่เจิ้งทำตัวก่อกวนหรือชี้หน้าด่าเด็ก ใครพูดเรื่องนี้ออกไป ข้าจะฆ่าให้ตาย
ซ่งฝูเซิงโบกมือไปมา
“ฟังข้าพูด เรื่องนี้ผ่านมาแล้ว พวกเราพูดเพียงเท่านี้ พวกเราพูดเรื่องไร้สาระให้น้อยลง ต้องทำงาน ข้าจะแจ้งทุกคนเป็นระยะ…
…คนที่ข้าเรียกมาฟัง ข้าจะจัดแบ่งห้องให้…
…เตียงเตายังไม่เสร็จ คืนนี้พวกเราจะต้องนอนเบียดกัน ถึงตอนนี้ต้องแบ่งบ้านกันแล้ว จากพรุ่งนี้เป็นต้นไป อิฐดินชุดแรกที่แห้งแล้ว หากข้าขอให้บ้านใครทำก่อน บ้านนั้นจะต้องรับผิดชอบเผาไฟเตียงเตา ดูแลเก็บบ้านให้เรียบร้อย…
…หลังจากนั้น ท่านลุงซ่งจึงเรียกคนเข้าไปรับเงินคืน…
…เงินที่ทุกคนจะได้คืนวันนี้คือเงินตอนอยู่ที่เมืองโยวโจวเก็บรวมกันไว้…
…ทุกสองสามวัน พวกเราจะไปในเมืองเพื่อซื้อข้าว ซื้อผัก ถ้าใครต้องการซื้อของเพิ่มมาให้ครอบครัว ก็ให้นำเงินฝากกับหนิวจั่งกุ้ย รบกวนช่วยซื้อกลับมาให้ ซ่งฝูกุ้ย?”
“เอ้ย?”
ซ่งฝูเซิงบอกว่า “หากบ้านใครเงินในกระเป๋าไม่มี ถ้าภรรยาหรือลูกขาดอะไรในบ้าน สามารถไปเอาจากท่านลุงซ่งได้ จำนวนหนึ่งตำลึง ครึ่งตำลึง ยืมใช้ก่อนได้”
“ให้ยืม แล้วจะให้ข้าคืนอย่างไร”
ซ่งฝูเซิงเหนื่อยใจ “เจ้าแค่ไปยืมก็พอแล้ว รอให้กุยช่ายขาวปลูกเสร็จ ข้าจะจัดประชุมใหญ่กับทุกคนเพื่อแจ้งรายละเอียดว่าทุกคนทำงานอย่างไร ค่อยคืนเงิน”
“จริงหรือ ยังไม่ได้ทำงานก็ยังสามารถยืมเงินใช้ก่อนได้ด้วย”
คนที่เหมือนกับซ่งฝูกุ้ย ฟังแล้วตะลึงตาตั้ง อย่างนี้นับว่าดีมาก สามารถช่วยเหลือยาม
เดือดร้อน ยืมเงินซื้อของใช้ในบ้านได้ ไม่เช่นนั้นเงินในกระเป๋า แค่สลึงเดียวยังไม่มีก็คงแย่
แต่ว่า ฝูเซิงคิดว่า ต่อจากนี้จะต้องจัดประชุมอีกหลายครั้ง โดยเฉพาะคนที่เข้าใจช้าก็ต้อง
อธิบายซ้ำให้เข้าใจ แค่คิดก็รู้สึกปวดจี๊ดไปที่หัว จะต้องอธิบายอย่างไรให้เข้าใจปัญหาแบบนี้
การแบ่งบ้าน
ครอบครัวกัวคนโตอยู่อีกฝั่ง ครอบครัวท่านยายหวังอยู่อีกฝั่ง
สองครอบครัวนี้เป็นครอบครัวที่มีคนเยอะ มีผู้ชายที่มีพละกำลังในการใช้แรงงานสูงกว่าคนอื่น ให้พักด้านนอกทั้งสองด้าน พวกเราจะได้ปลอดภัย
อย่างเช่นหลี่ซิ่วที่ดูแลลูกเพียงคนเดียว เขาตั้งใจแบ่งให้อยู่บ้านหลังเล็ก
นอกจากนี้ บ้านหลังเล็กยังมีฝั่งด้านซ้ายติดกับบ้านท่านลุงซ่ง ทางด้านขวาติดกับครอบครัวใหญ่ที่มีผู้สูงอายุ
เริ่มต้นจากทางด้านขวาของบ้านหลี่ซิ่ว คือ ครอบครัวเกาถูฮู่ ซ่งฝูเซิงคิดว่า ไม่ได้ จะต้องให้หลี่ซิ่วที่เป็นหญิงสาวคนเดียวอยู่ห่างจากพวกผู้ชายออกไปไกลสักหน่อย เช่น เกาถูฮู่ที่เป็นคนโสด
ท่านย่าหม่า แม่แท้ๆ กับพี่ชายของซ่งฝูเซิง เขาไม่ได้จัดให้อยู่ติดกัน แต่จัดให้ระหว่างบ้านเขากับบ้านท่านย่าหม่า ตรงกลางมีห้องมุงจากห้าหลัง
ตรงกลางที่เป็นบ้านมุงด้วยจากห้าหลังก็ผุพังจนไม่สามารถให้คนเข้าไปอาศัยอยู่ได้ ในบ้านเหลือเฉพาะกำแพง แม้กระทั่งหน้าต่างก็ไม่เหลือ คนข้างนอกมองเข้ามายิ่งน่าสมเพช
ท่านย่าหม่าไม่สามารถเข้าใจได้ ลูกสาม เจ้าโง่หรือไง พั่งยาโง่เหมือนเจ้าใช่ไหม
ซ่งฝูเซิงกลับคิดว่า ท่านแม่ บ้านผุพังพวกนี้คือสมบัติอันล้ำค่า ไม่ต้องทุบทิ้ง แค่ใช้กระดาษแก้วคลุมข้างบนก็เป็นกระโจมปลูกผักได้แล้ว
ข้าเฝ้าด้านนี้ ท่านกับพี่ใหญ่ พี่รองเฝ้าด้านโน้น ป้องกันเมล็ดพันธุ์ที่จะปลูกถูกคนขโมยไปได้ด้วย
แต่เขาก็ไม่ได้อธิบายเพราะยังมีเรื่องยุ่งๆ ให้จัดการอีกเยอะ ตั้งแต่กลับมาซ่งฝูเซิง ไม่หยุดที่จะพูด…พูด…บอกกับทุกคนว่าจะต้องทำอย่างไร จะต้องแบ่งงานอย่างไร ถ้าไม่พูดให้เข้าใจชัดเจน พวกเขาฟังไม่เข้าใจ แบ่งงานไม่ให้ทุกคนรู้ ทุกคนก็จะพบกับปัญหา
ท่านย่าหม่ารู้สึกโมโห คิดว่าลูกชายของตัวเองมองว่านางไม่สำคัญแล้ว
เพื่อคนของบ้านตระกูลเฉียน เขาจึงไม่ได้พักอยู่บ้านเดียวกับนาง
เพื่อคนตระกูลเฉียน อีกแล้วหรือ
ท่านย่าหม่าตาจ้องไปที่รองเท้าหนังของหมี่โซ่ว
หมี่โซ่ววิ่งเล่นไปมา ไม่มีอะไรเล็ดลอดสายตาอันเฉียบคมของท่านย่าหม่าได้
ซ่งฝูหลิงสังเกตเห็นท่านย่าหม่าสายตาหาเรื่อง อาศัยช่วงที่ทุกคนพูดเรื่องเงินจะเอาไปใช้ทำอะไร จึงดึงความสนใจของท่านย่าไปที่บ้านที่กำลังผุพัง บ้านหลังถัดไปเป็นของใคร ต้องใช้เวลาซ่อมนานเท่าไหร่ สุดท้ายพาท่านย่าลากไปทางหลังบ้าน
“ท่านย่า ท่านดู นี่คืออะไร”
ใจของท่านย่าหม่าเต้นแรง สังเกตการณ์จนคนอื่นจับอาการได้ ดึงเงินครึ่งหนึ่งที่เหน็บอยู่ที่เอวของกางเกง “ขายเห็ดหูหวังจวินแล้วหรือ ทำไมไม่ได้ยินพ่อของเจ้าพูดอะไร”
“ทุกวันเงินถูกใช้ออกไป พวกเราจะต้องซื้อของอีกเยอะแยะ เงินที่มีก็เกือบจะไม่พอ ข้าจะแจ้งให้ทุกคนทราบรายละเอียดทั้งหมดในวันประชุมรอบหน้า พ่อของข้าจะต้องชี้แจงถึงเรื่องนี้ ว่าพวกเราทำงานหาเงินได้เท่าไหร่ ใช้ไปเท่าไหร่”
“ขายไปแล้วราคาเท่าไร” ท่านย่าหม่าถามด้วยความใจร้อน
ซ่งฝูหลิงไม่อยากโกหกจึงหยิบของบางอย่างออกมา แล้วพูดว่า “ท่านย่า ท่านดูสิ สิ่งนี้คืออะไร”
ครั้งนี้ท่านย่าหม่าตกใจจนตัวสั่นสะท้าน ด้วยปฏิกิริยาตอบรับอันรวดเร็วของนาง นางรีบคว้าก้อนทองไปเข้าปากกัดหนึ่งคำ ซ่งฝูหลิงเหมือนยังไม่รู้สึกตัว
ซ่งฝูหลิงเห็นแล้วรู้สึกเจ็บฟันแทน “ท่านย่า ท่านย่า ท่านย่า เร็ว เร็ว รีบอ้าปากก่อน”
ท่านย่าหม่าหายใจหอบ ตื่นเต้นดีใจจนหนังตาแทบจะพลิกกลับไปอีกด้าน ขายเห็ดหูหวังจวินแล้วซื้อมาหรือ เห็ดนั้นมีค่าเท่ากับทองแท่งหรือ เป็นไปได้อย่างไร
อือ? ท่านย่าหม่าตกตะลึง ความหมายคือ
“ความหมายคือ ทองพวกนี้เป็นของหมี่โซ่วไง ท่านย่า ท่านคิดว่าหมี่โซ่วใช้เงินพ่อข้ากินอยู่ใช่หรือไม่ ท่านเข้าใจผิดแล้ว พวกเราต่างหากที่อาศัยหมี่โซ่ว ท่านตาของข้าให้ทองหมี่โซ่วมา ถ้าท่านไม่เชื่อไปถามซื่อจ้วงได้
“นี่ นี่คืออะไร ตั้งแต่เด็กจนโต ข้าก็ไม่เคยเห็นทองคำแท่ง ครั้งนี้เจอเป็นก้อนใหญ่ สมองตอบสนองไม่ทัน หมี่โซ่ว หมี่โซ่ว เป็นหลานของลูกสาม ทองก้อนนี้น่าจะมีค่ากี่ร้อยตำลึงใช่ไหม”
ซ่งฝูหลิง “อ๋าาา”
ซ่งฝูหลิงคิดย้อนไปมา นางเอาตัวรอดไปได้อีกเรื่อง ที่จริงนางไม่ชอบพูดโกหก
“ท่านย่า หมี่โซ่วได้นำเมล็ดผักที่ไม่มีที่นี่มาให้พวกเรา ต่างประเทศถึงจะมีเมล็ดพืชชนิดนี้…
…ต่างประเทศรู้จักหรือไม่ ก็คือดินแดนอยู่ตรงข้ามทะเล ต้องใช้เวลาเดินทางหลายปี พื้นที่แบบนั้นแหละที่ปลูกผักชนิดนี้…
…หมายความว่า ในที่นี้ คนละรัชสมัย จะมีเฉพาะบ้านพวกเราที่มีผักชนิดนี้ นั่นก็คือ ที่พ่อค้าพูดว่า เขาต้องการใช้ผักมาทำการค้า…
…ท่านรู้ความหมายคำว่าความว่า ‘มีไม่จำกัด’ ไหม”
ท่านย่าหม่าใจเต้นแรง คนทั้งคนเหมือนจะลอยได้ เสียงของนางแผ่วเบา ถามออกมา “อันนี้ก็คือท่านปู่ของเจ้าให้หรือ เขาเอามาจากที่ไหน มันช่างเป็นโอกาสดีเสียจริง…
…ท่านย่า ข้าขอถามท่านว่า ทองก้อนนี้บวกกับเมล็ดผัก รวมกันแล้วเพียงพอที่ท่านพ่อข้าจะเลี้ยงดูหมี่โซ่วหรือไม่…
…ท่านลองคิดดู พ่อข้าปลูกเมล็ดผัก สามารถไปซื้อทองก้อนได้ เขาหาเงินจากการปลูกเมล็ดผัก ท่านคิดว่าเขาจะเอาเปรียบท่านลุงใหญ่กับลุงรองหรือ…
…ท่านพ่อของข้าดูแลคนในครอบครัวดีกว่าดูแลทุกคนตั้งเยอะ ใช่หรือไม่…
…พูดตามความเป็นจริงแล้ว ก็เท่ากับบ้านเราตระกูลซ่งกำลังยืมเงินและอาศัยบารมีตระกูลเฉียนอยู่”
“ท่านย่า ต่อไปท่านจะต้องดูแลหมี่โซ่วให้ดี ชีวิตของพวกเราจะค่อยๆ ดีขึ้น พวกเราดูแลหมี่โซ่วดีเท่าไหร่ ชีวิตพวกเราก็จะยิ่งดีขึ้นเท่านั้น ข้าพูดถูกหรือไม่”
ซ่งฝูหลิงโยนทองทั้งหมดกลับเข้าไปในพื้นที่พิเศษแล้วจากไป นางถูกเรียกให้ไปช่วยกรองน้ำ ส่วนท่านย่าหม่ายังยืนอยู่ที่เดิม ไม่ขยับเขยื้อนร่างกายใดๆ