ชีคเถื่อนปล้นพรหมจรรย์ ชุด ทัณฑ์ทราย - ตอนที่ 22
นัสรินกระแทกตัวลงนั่งบนโซฟานุ่มภายในบ้านพักของบิดาด้วยความหงุดหงิดงุ่นง่าน ความสูญเสียที่กำลังจะเกิดขึ้นทำให้หล่อนไม่ต่างจากนั่งอยู่บนกองเพลิง สองมือเล็กที่วางไว้บนตักกำแน่นเป็นกำปั้น ดวงตายาวรีหวานฉ่ำเต็มไปด้วยแรงริษยา
“ฉันไม่ยอมแพ้เธอง่ายๆ หรอก นังผู้หญิงนอกรีต”
หล่อนมักจะได้รับความสนใจจากเจ้าชายเซรีมมากกว่าสตรีทุกนางในซาเรีย ซึ่งมันก็ทำให้หล่อนเกิดความเคยชิน และคิดฝันไปไกลว่าตัวเองจะต้องเป็นชายาของเจ้าชายรูปงามพระองค์นี้ แต่เมื่อทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงไปโดยไม่ทันตั้งตัว หล่อนจึงเจ็บแค้นและยอมรับความเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ได้
“น้ำชาดอกมะลิค่ะ คุณหนู”
คำว่าดอกมะลิกระแทกหูของนัสรินอย่างจัง และนั่นก็ทำให้หญิงสาวยิ่งหงุดหงิดมากยิ่งขึ้น
“ไม่เอา! เอาไปเททิ้งให้หมดเดี๋ยวนี้”
“เจ้าค่ะ คุณหนู”
สาวใช้รีบละล่ำละลักลนลาน เพราะท่าทางของเจ้านายดุร้ายอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“ไปตามซาเทียมาพบฉันเดี๋ยวนี้”
“ค่ะ คุณหนู”
นัสรินนั่งหงุดหงิดงุ่นง่านอยู่ไม่นานก็ตัดสินใจลุกขึ้นไปยืนที่ขอบระเบียงบ้าน และสายตาเจ้ากรรมก็ดันเหลือบไปเห็นสิ่งที่น่ารำคาญใจเข้าให้อีก
“นี่ก็อีกคนจะใฝ่ต่ำไปไหนนักหนานะ พี่มัสรานี”
มัสรานีกำลังยืนอยู่หลังพุ่มไม้โดยมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ ซึ่งแน่นอนว่านัสรินรู้ดีว่าผู้ชายคนนี้คือใคร และเป็นใครในราชวังซาเรีย
“ฉันมาแล้วค่ะคุณหนู”
เสียงของสาวใช้คนสนิทดังขึ้นเบาๆ ที่ด้านหลัง นัสรินหันไปมอง ก่อนจะเอ่ยถามถึงบิดา
“ท่านพ่อกลับมาหรือยัง”
“ยังเจ้าค่ะ”
“งั้นเจ้ามาดูนี่นะ”
ซาเทียลุกขึ้นยืน และมองไปตามนิ้วเรียวของเจ้านายสาวแสนเอาแต่ใจอย่างนัสริน
“เจ้าเห็นใช่ไหมว่าพี่มัสรานีกำลังแอบลักลอบพบอยู่กับเจ้าองครักษ์ต่ำต้อยคนนั้นน่ะ”
“เอ่อ… เห็นเจ้าค่ะ”
“งั้นเจ้าจะต้องเป็นพยานให้เรา ตอนที่เราเอาเรื่องนี้ไปฟ้องท่านพ่อ เข้าใจไหม”
“เข้าใจเจ้าค่ะ”
รอยยิ้มเหยียดหยันผุดขึ้นบนใบหน้างามของนัสริน เพราะถึงแม้มัสรานีจะเป็นพี่สาวแท้ๆ ของหล่อน แต่ความสัมพันธ์ฉันพี่น้องก็ไม่ได้แน่นแฟ้นนัก เพราะหล่อนอิจฉาที่องค์รัชทายาทจามีลทรงมีพระสนิทเสน่หาต่อพี่สาวของตัวเอง ในขณะที่เจ้าชายเซรีมผู้ชายที่หล่อนตกหลุมรักกลับไม่ได้รู้สึกอันใดกับหล่อนเลย แถมตอนนี้ก็ยังจะรับนังผู้หญิงต่างเมืองมาเป็นพระสนมออกหน้าออกตาอีก
“คอยดูเถอะ ถ้าท่านพ่อกลับมาเมื่อไหร่ พี่จะต้องถูกโบยหลังอีกแน่นอน”
แล้วน้องผู้มีความอิจฉาริษยาเต็มอกก็สะบัดหน้าเดินกระฟัดกระเฟียดหายเข้าไปในห้องนอน
ในที่สุดงานเลี้ยงฉลองการรับหล่อนเข้ามาเป็นพระสนมของเจ้าชายเซรีมก็เดินทางมาถึง หล่อนไม่แน่ใจว่าสิ่งที่กำลังเผชิญหน้าอยู่มันเรียกว่าพิธีอะไร แต่คงไม่ใช่พิธีอภิเษกสมรสอย่างแน่นอน เพราะพิธีอภิเษกสมรสคงจะใช้กับผู้หญิงที่กำลังจะขึ้นเป็นพระชายาของเจ้าชายทะเลทรายเท่านั้น แต่ช่างเถอะ หล่อนไม่สนใจหรอกว่างานเลี้ยงนี้มันจะเรียกว่าอะไร เพราะสิ่งที่หล่อนต้องการก็คือความมั่นคงที่จะอยู่ในซาเรียต่างหากล่ะ
หล่อนในชุดแต่งงานสีขาวฟูฟ่องยืนเคียงข้างอยู่กับเจ้าชายรูปงามในชุดสูทพอดีหรูหรา เซรีมหล่อเหลายิ่งกว่าในทุกๆ วันที่หล่อนเห็นเสียอีก หล่อนจำได้ว่าตัวเองตะลึงอ้าปากค้างเติ่ง ตอนในวินาทีแรกที่เห็นเขาในชุดนี้
ไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อจัดของเซรีม แม้เขาจะยืนอยู่ข้างๆ กายของหล่อน แต่ก็ไม่ได้ทำให้หล่อนอบอุ่นเลย หล่อนกลับเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและอึดอัด และก็ยังภาวนาให้งานเลี้ยงนี้จบสิ้นลงโดยเร็วอยู่ทุกขณะจิต
หล่อนไม่คู่ควรที่จะยืนข้างกายของเขาแม้แต่น้อย และก็รู้ดีว่าแขกเหรื่อมากมายที่เดินทางมาร่วมงาน ต่างก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน เพราะสายตาจากทุกคนมันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน
มะลิเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง แม้ใบหน้าจะถูกเคลือบเอาไว้ด้วยรอยยิ้มปั้นแต่ง แต่ภายในใจมันปวดร้าว และรู้สึกว่าตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทางอย่างที่สุด และสุดท้ายแล้วก็เป็นหล่อนเองที่ต้องถอยห่างจากการยืนข้างกายของเขาออกไป
“พระสนมพระพักตร์ซีดจังเลยนะเพคะ”
ชมพูนุชใช้คำราชาศัพท์กับหล่อนเป็นครั้งแรก
“พูดกับฉันเหมือนเดิมเถอะ ฉันไม่ชินกับคำพวกนี้น่ะ”
“ไม่ได้หรอกเพคะ ตอนนี้พระสนมไม่ใช่คนสามัญธรรมดาอีกต่อไปแล้วเพคะ”
มะลิยิ้มเศร้าหมอง และก็อดที่จะลอบชำเลืองมองไปยังร่างกายสูงใหญ่ผึ่งผายของเจ้าชายเซรีมที่ยืนสนทนาอยู่กับกลุ่มของเจ้าชายต่างเมืองไม่ได้
“ถึงตอนนี้ฉันจะเป็นพระสนมในเจ้าชายเซรีมแล้ว แต่ฉันก็ไม่ได้เป็นที่โปรดปรานของพระองค์หรอก”
“อย่าทรงคิดแบบนั้นสิเพคะ พระสนม”
“ฉันจะไม่คิดได้ยังไง ในเมื่อมันเป็นเรื่องจริงนี่นา”
หล่อนตอบออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา และระบายยิ้มเศร้าหมอง เพราะรู้ดีว่าตัวเองไม่เหลือศักดิ์ศรีอะไรอีกเลยเมื่อแบล็กเมลให้เซรีมแต่งงานด้วยเช่นนี้
“พระสนมทรงมีพระศิริโฉมงดงาม เจ้าชายเซรีมจะไม่โปรดปรานได้ยังไงล่ะเพคะ”
หล่อนรู้ดีว่าชมพูนุชแค่พูดออกมาเพื่อปลอบใจของหล่อนเท่านั้นเอง เพราะมันไม่มีทางเป็นไปได้ ในเมื่อหล่อนคือผู้หญิงคนสุดท้ายในโลกที่เขาจะชายตามอง หรือว่าเลือกมาเป็นคู่ครอง แค่คู่นอนธรรมดา หล่อนยังไม่คู่ควรกับเขาเลยด้วยซ้ำไป
ยิ่งคิดก็ยิ่งเศร้าหมองจนต้องรีบสลัดทิ้ง และสายตาก็มองไปเห็นผู้ชายหน้าตาหล่อจัดคนหนึ่งที่ยืนอยู่ในวงสนทนาเดียวกันกับเจ้าชายเซรีม
“เจ้าชายที่สวมชุดสีทองพระองค์นั้น… ฉันไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย เขาเป็นพี่ชายหรือน้องชายของเจ้าชายเซรีมเหรอชมพูนุช”
ชมพูนุชมองตามสายตาของเจ้านายสาวสวยไปก่อนจะระบายยิ้มและตอบออกมา
“ผู้ชายรูปงามพระองค์นั้นไม่ใช่เจ้าชายของซาเรียพระองค์ใดหรอก เพคะ แต่คือ องค์สุลต่านลูฟาสแห่งฟาดิลาห์ เพคะ”
“องค์สุลต่านลูฟาสแห่งฟาดิลาห์อย่างนั้นเหรอ”
“ใช่เพคะ องค์สุลต่านเป็นพระสหายสนิทกับองค์รัชทายาทจามีลและเจ้าชายเซรีม เมื่อก่อนนี้ทรงเสด็จมาเยือนที่ซาเรียบ่อยๆ เพคะ”
มะลิพยักหน้ารับน้อยๆ และก็อดที่จะชำเลืองมองเจ้าชายเซรีมซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่ได้
ทั้งๆ ที่รู้ว่าการแต่งงานนี้เกิดขึ้นจากอะไร แต่หัวใจของหล่อนก็ยังอดที่จะคาดหวังไม่ได้ แม้จะรู้ดีอยู่เต็มอกว่าสิ่งที่หวังเอาไว้ไม่มีทางเป็นจริงขึ้นมาได้
และเมื่อเวลาล่วงเลยไปเกือบเที่ยงคืน งานเลี้ยงก็จบสิ้นลงท่ามกลางความโล่งใจของมะลิ ราชนิกูลต่างพากันทยอยออกไปจากตำหนักของเจ้าชายเซรีมซึ่งถูกกำหนดให้เป็นเรือนหอ และก็ทิ้งให้เขากับหล่อนเผชิญหน้ากันตามลำพังเป็นครั้งแรกในระยะเวลาหลายวันที่ผ่านพ้นมา
หัวใจของมะลิเต้นแรงและสั่นเทายิ่งขึ้นเมื่อดวงตาคมกริบสีทองของผู้ชายตัวโตที่ตอนนี้ได้ชื่อว่าเป็นพระสวามีตวัดจ้องมองมา หล่อนปากสั่นเทาทำอะไรไม่ถูก เลือดสาวร้อนรุ่มขึ้นมาเจียนจะระเบิดอยู่รอมร่อ
“ดื่มหน่อยไหม”
เขาเอ่ยถามเมื่อกำลังรินแอลกอฮอล์ใส่แก้ว หล่อนรีบส่ายหน้าปฏิเสธเร็วๆ
“ไม่เพคะ ขอบพระทัย”
เขายิ้มเยาะที่มุมปาก ยกแก้วใบสวยขึ้นดื่ม ดวงตาคมกริบจับจ้องมองมายังร่างของหล่อนที่นั่งจุ้มปุ๊กอยู่บนเตียงตลอดเวลา และเมื่อแอลกอฮอล์ในแก้วนั้นหมด เขาก็วางแก้วลงกับโต๊ะเตี้ย พร้อมกับเดินข้ามห้องมาหา ร่างทรงพลังในชุดสูทหล่อเหลายืนตระหง่านอยู่ข้างขอบเตียง
“อย่าทำหน้าเครียดสิ สิ่งที่เธอรอคอยกำลังจะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้าแล้วละ จัสมิน”
หล่อนช้อนตาขึ้นสบประสานกับเขา ดวงตาสีทองวาววับจ้องเขม็งมองมา และอะไรบางอย่างในดวงตาของเขาก็ทำให้ท้องไส้ของหล่อนบิดเป็นเกลียว เหงื่อเม็ดโตๆ ผุดขึ้นในอุ้งมือทั้งสองข้าง ความประหม่าหวาดกลัวพากันโจมตีเข้ามาในอกอย่างไม่ปรานี
“หม่อมฉัน… จะกลับไปนอนที่ตำหนักนะเพคะ”
“เธอก็รู้ว่าทำแบบนั้นไม่ได้”
“แต่ว่า… เราสองคนไม่จำเป็น… เอ่อ หม่อมฉันหมายถึง… เราไม่จำเป็นต้องเข้าหอ… กันจริงๆ” กว่าหล่อนจะพูดประโยคนี้จบลงก็เล่นเอาหอบเหนื่อยเลยทีเดียว