ชาวนาตัวน้อยดีเลิศ - ตอนที่ 269 สมบัติที่ไม่สามารถประเมินราคา
เฟิงเซียงหรุพูดปลอบใจเจียงจิ่วเตี๋ยพร้อมกับครุ่นคิดปัญหาของจั่วจวินซั่งไปด้วย
หลิวหรุยี่เอาแต่พัดพัดที่อยู่ในมือของตัวเองอย่างแผ่วเบา ตั้งแต่เริ่มจนจบเขาไม่พูดอะไร สำหรับเรื่องพวกนี้เขาไม่เก็บเอาไปใส่ใจ ที่เขาร่วมมือกับคนกลุ่มนี้เป็นเพราะผลประโยชน์ นอกเสียจากเขาจะเสียผลประโยชน์เท่านั้นถึงจะพูด ไม่อย่างนั้นโดยทั่วไปแล้วเขาจะไม่พูดอะไรแม้แต่นิดเดียว
เจิ้งจื่อหรุและเฟิงเซียงหรุรู้จักกันมาสองปีกว่า ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต่างคอยช่วยเหลือกันมาโดยตลอด ไม่อย่างนั้นตำแหน่งของทั้งสองคนคงไม่มั่นคงแบบนี้มาโดยตลอด
เดิมทีก็เคยมีคนคิดไม่ซื่อมายุ่งเรื่องของพวกเขา แต่หลังจากที่โดนทั้งสองคนกำจัดทิ้งอย่างไม่ลังเล ขอแค่เป็นคนฉลาดจะไม่มีทางยื่นมือไปยุ่งเรื่องของพวกเขาอย่างแน่นอน
“เอาล่ะพอแล้ว ตอนนี้พวกเราอย่าเพิ่งไปคิดเรื่องของจั่วจวินซั่งเลย เอาเป็นว่าคุณรู้เรื่องนี้ก็พอแล้ว ตอนนี้พวกเรามาดื่มไปด้วยคุยไปด้วยดีกว่า สำหรับหยวนเซียงหลิงก็ถือว่าให้กำไรเธอไปก็แล้วกัน ในเมื่อเธอมีคนที่ซื่อสัตย์ยังจ้าวเสี่ยวกังก็ช่วยไม่ได้ ”
“เหล่าเจิ้ง เรื่องดื่มเหล้าก็คือเรื่องดื่มเหล้า แต่เหล้าไหนี้ดื่มไม่ได้เด็ดขาด ยิ่งไปกว่านั้นฉันก็ดื่มจนอิ่มกินจนอิ่มแล้วด้วย ถ้าจะดื่มก็ดื่มเหล้าอย่างอื่นนิดหน่อยก็พอ?”
ตั้งแต่เริ่มจนจบเจิ้งจื่อหรุเอาแต่คิดจะจ้องดื่มเหล้าที่อยู่ในอ้อมแขนของเฟิงเซียงหรุ ตอนนี้พอได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนี้ก็เริ่มรู้สึกไม่สบอารมณ์เป็นธรรมดา
“ทำไมคุณถึงยิ่งอยู่ก็ยิ่งขี้เหนียว นี่ไม่เหมือนคุณเลย หรือไม่เอาแบบนี้ คุณแค่ลองให้ผมชิมรสชาติหน่อยก็พอ ถ้าหากผมรู้สึกพอใจในรสชาติของเหล้า จะแบ่งกุ้งก้ามแดงที่ผมได้ให้กับคุณครึ่งหนึ่งเป็นยังไง?”
“เหล่าเจิ้ง คุณพูดจริงหรือเปล่า?”
เฟิงเซียงหรุที่ได้ยินคำพูดของเขาก็เริ่มรู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย เดิมทีเขาก็ไม่อยากทำแบบนี้ แต่พอนึกถึงกุ้งก้ามแดงที่จ้าวเสี่ยวกังส่งออกทุกปี แน่นอนว่ามันย่อมต้องมีค่ากว่าเหล้าที่อยู่ในอ้อมแขนอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามเหล้าดื่มหมดแล้วก็คือหมดเลย แต่กุ้งก้ามแดงจะมีการเพาะเลี้ยงขึ้นมาทุกปี
ถ้าหากไม่ได้เป็นเพราะเขาชอบดื่มเหล้าคงจะยอมไปตั้งนานแล้ว แต่เมื่อได้ยินเจิ้งจื่อหรุพูดแบบนี้ เขาเริ่มเกิดความคิดที่อยากจะต่อรองกับหลิวหรุยี่
“เสี่ยวหลิว หรือไม่คุณก็ลองดูด้วย? ถ้าหากคุณรู้สึกพอใจ คุณก็แบ่งส่วนที่คุณได้ให้กับผมครึ่งหนึ่งเป็นยังไง?”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดประโยคนี้ หลิวหรุยี่หัวเราะเหอเหอ “พี่เฟิง ถึงแม้ผมจะชอบดื่มเหล้า แต่ผมไม่ได้หลงไหลเหมือนกับพี่ ถ้าหากมันเป็นเหล้าที่ดีมากจนถึงระดับมาตรฐานที่ผมพอใจ แบ่งให้คุณครึ่งหนึ่งมันก็ใช่ว่าจะไม่ได้ แต่ว่าถึงเวลานั้นคุณก็ต้องแบ่งผักปลอดสารพิษที่พูดถึงเมื่อกี้ให้กับผมส่วนหนึ่งด้วย”
คำพูดของหลิวหรุยี่ทำให้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์จริงกับอึ้ง รวมไปถึงจ้าวเสี่ยวกังก็ด้วยเช่นกัน
เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าคนพวกนี้จะเชื่อใจเขามากขนาดนี้ เรื่องการปลูกผัก ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นลูกชาวไร่ชาวสวน แต่เขาไม่ได้มีประสบการณ์มากขนาดนั้น
เจิ้งจื่อหรุมองไปทางหลิวหรุยี่ด้วยสายตาที่ตกใจเล็กน้อย เขาคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมองการณ์ไกลขนาดนี้ แม้แต่เรื่องที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นก็คำนวณไว้เรียบร้อยทุกอย่างแล้ว
“เหล่าเฟิง ในเมื่อเสี่ยวหลิวก็พูดแบบนี้แล้ว ผมรู้สึกว่าเรื่องของผักปลอดสารพิษผมก็ต้องมีส่วนร่วมด้วย ยังไงเสี่ยวกังก็เป็นน้องชายของพวกเรา ไม่ว่าจะขาดทุนหรือได้กำไรผมก็จะเอาด้วย”
มองดูรอยยิ้มบนใบหน้าของเจิ้งจื่อหรุ เฟิงเซียงหรุพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์พร้อมกับรอยยิ้ม “ก็ได้ เลิกมาใช้ไม้นี้กับผมได้แล้ว ถึงแม้คำพูดจะสวยหรูแต่อันที่จริงแล้วก็เพื่อหวังผลประโยชน์จากตัวผม”
“เหอเหอ คุณพูดแบบนี้ก็ไม่ถูกนะ ผมหวังผลประโยชน์จากตัวของเสี่ยวกังต่างหาก คุณอายุมากขนาดนี้แล้วผมไม่สนใจคุณหรอก”
คำพูดของเจิ้งจื่อหรุถึงกับทำให้จ้าวเสี่ยวกังรู้สึกเย็นก้น เขาอดไม่ได้ที่จะหนีบขาทั้งคู่ของตัวเองเอาไว้แน่น เรื่องผักปลอดสารพิษผมยังไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าจะปลูกอะไร ทำไมพวกคุณถึงมั่นใจในตัวผมมากขนาดนี้?”
“เหอเหอ ไม่ใช่เชื่อมั่นในตัวนาย แต่ฉันเชื่อมั่นในตัวของเหล่าเฟิงและเสี่ยวหลิว ในวงการนี้เสี่ยวหลิวถูกตั้งฉายาว่าผู้หยั่งรู้ ในเมื่อเขาเห็นว่าดี ทุกอย่างก็ต้องออกมาดีอย่างแน่นอน”
หลิวเสี่ยวหรุที่ได้ยินคำพูดประโยคนี้ รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าทันที “พี่เจิ้งพูดชมเกินไปแล้ว ผมก็แค่ลองเดิมพันดูเท่านั้น มันก็เป็นแค่เรื่องของกำไรหรือขาดทุน อีกอย่างผมรู้สึกว่าต้องทำกำไรได้อย่างแน่นอน ถึงแม้ผมจะไม่มั่นใจมากขนาดนั้น แต่สัมผัสที่หกของผมมันบอกแบบนี้”
“ผมล่ะยอมพวกคุณเลย แต่ว่าผมต้องพูดเอาไว้ก่อน หลังจากที่ทำการปลูกผักปลอดสารพิษเรียบร้อยแล้วผมจะเป็นผู้รับซื้อรายใหญ่ เรื่องนี้พวกคุณไม่มีปัญหาใช่หรือเปล่า?”
เมื่อเห็นเฟิงเซียนหรุยังคงกอดไหเหล้าเอาไว้แน่น เจิ้งจื่อหรุเริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว
“คุณเปิดเหล้าก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถ้าหากดื่มไม่พอ อย่าว่าแต่กุ้งก้ามแดงเลย แม้แต่ผักปลอดสารพิษผมก็จะไม่แบ่งให้คุณแม้แต่นิดเดียว”
หลังจากที่เจิ้งจื่อหรุพูดจบ เขายื่นมือออกไปแย่งโดยตรง เขารู้สึกสงสัยมากว่าตกลงมันเป็นเหล้าอะไรกันแน่ เฟิงเซียงหรุถึงได้หวงเหมือนกับลูกรักขนาดนี้
เฟิงเซียนหรุหลบไม่ทันจนโดนเจิ้งจื่อหรุแย่งไปได้
หลังจากที่ได้เหล้ามาอยู่ในมือ เจิ้งจื่อหรุคิดจะใช้มือแกะขี้ผึ้งที่อยู่บนไห แต่ไม่ว่าเขาจะออกแรงยังไงมันก็เปิดไม่ออก
“เหล่าเจิ้ง คุณไม่ต้องเสียแรงเปล่าแล้ว เหล้าไหนี้เขาไม่ได้เปิดกันแบบนี้ คุณอย่าทำให้เหล้าของผมเสียของ”
“ได้ ตอนนี้เหล้าอยู่ในมือของผม ก่อนหน้านี้คุณก็ตอบตกลงแล้ว งั้นผมให้เสี่ยวกังเป็นคนเปิดคงไม่มีปัญหาใช่หรือเปล่า?”
มองดูเจิ้งจื่อหรุที่ไม่มีท่าทีจะคืนเหล้าให้กับตัวเอง เฟิงเซียงหรุจึงทำได้แต่พยักหน้าเห็นด้วย
จ้าวเสี่ยวกังก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าทั้งสองคนจะมีด้านนี้อยู่ด้วย เขายิ้มแล้วพูด “พี่เจิ้ง รอให้ถึงช่วงตรุษจีนก่อน ตอนที่พ่อของผมกำลังหมักเหล้าผมจะบอกให้เขามาเผื่อคุณด้วยหนึ่งไห”
“ฮ่าฮ่าฮ่า…….ดี เสี่ยวกัง ฉันจำคำพูดของนายเอาไว้แล้ว ไว้ช่วงตรุษจีนฉันจะมาแน่นอน”
“แหะแหะ ยินดีต้อนรับตลอด ผมขอไปเปิดเหล้าก่อน ไหดินที่ปิดผนึกด้วยขี้ผึ้งแบบนี้ต้องลนด้วยไฟก่อนถึงจะเปิดได้ ไม่อย่างนั้นขี้ผึ้งอาจจะทำให้ไหเหล้าแตกได้”
หลังจากที่พูดจบ จ้าวเสี่ยวกังไปหาไฟแช็คมาแล้วเคาะลงบนบริเวณที่มีดินโคลนปิดผนึก
หลังจากนั้นก็เริ่มใช้ไฟแช็คลน หลังจากนั้นดินโคลนพวกนั้นดูเหมือนเริ่มจะละลาย และขี้ผึ้งที่อยู่ด้านบนก็เหมือนจะลุกเป็นไฟ
จ้าวเสี่ยวกังเห็นว่าขี้ผึ้งละลายจนหมดแล้ว เขาจึงเปิดมันออกได้อย่างง่ายดาย
ด้านล่างของดินโคลนยังไม่ใช่เหล้า แต่เป็นพวกต้นสมุนไพรหลายอย่างถูกยัดอยู่ในนั้น
หลังจากที่เอาทุกอย่างออกเรียบร้อยแล้ว จ้าวเสี่ยวกังจึงเปิดฝาไหเหล้าอย่างใจเย็น
ทันใดนั้นมีกลิ่นหอมของเหล้าที่ฉุนมากลอยออกมาทันที กลิ่นหอมของเหล้าไหนี้แตกต่างจากหนี่หงเอ๋อก่อนหน้านี้ ในนั้นมันแฝงไปด้วยกลิ่นหอมของข้าว แต่สิ่งที่น่าหลงใหลที่สุดคือกลิ่นหอมของเหล้า
เจิ้งจื่อหรุที่ได้กลิ่นหอมจนฉุนของเหล้า ดวงตาของเขาลุกวาวเป็นประกายทันที
“นี่คือเหล้าเออกัวโถวของแท้เหรอ?”
หลิวหรุยี่ที่ได้กลิ่นเหล้าหยุดพัดพัดที่อยู่ในมือทันที หลังจากนั้นเขาเก็บพัดแล้วพูดยังไม่ค่อยมั่นใจ “น่าจะเก็บเอาไว้มานานถึงสิบปี ยิ่งไปกว่านั้นเป็นเหล้าเออกัวโถวที่มีประมาณหกสิบห้าดีกรี กลิ่นที่หอมแบบนี้ผมเพิ่งจะเคยเจอครั้งแรก”
หลังจากที่ได้ยินทั้งสองคนเริ่มพูดวิเคราะห์แบบนี้ เฟิงเซียงหรุรู้สึกเสียใจอย่างบอกไม่ถูก
เหล้าไหนี้เป็นถึงสมบัติที่ไม่สามารถประเมินราคาได้ มีการเก็บรักษาอย่างดีแบบนี้ ถึงจะเป็นอีกหนึ่งร้อยปีข้างหน้าก็ยังของชั้นเยี่ยมในบรรดาของชั้นเยี่ยมอีกที
“เหล่าเจิ้ง เรามาคุยกันหน่อยดีกว่า”