คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ - ตอนอวสาน
ตอนอวสาน
ตอนที่เสียงเข็มนาฬิกาดัง ร่างกายของทุกคนต่างหดเกร็ง หนังศีรษะชาเหมือนถูกช็อต
พลเมืองโลกคนอื่นๆ ไม่รู้ แต่พวกเขาเข้าร่วมการต่อสู้ป้องกันดาวเคราะห์น้อยดวงนี้มาตั้งแต่แรก
รู้ดีว่าภัยพิบัติครั้งนี้ใหญ่ขนาดไหน
ดาวเคราะห์ที่ใหญ่ขนาดนี้สามารถพุ่งชนโลกให้ระเบิดได้
ระดับภัยพิบัติรุนแรงยิ่งกว่าไดโนเสาร์สูญพันธุ์
ต่อให้เป็นลิซิเนียสประธานไอบีไอที่สู้กับอาชญากรข้ามชาติมาหลายครั้ง เวลานี้ก็ยังเหงื่อแตกท่วมตัว
อย่างไรเสียพวกภัยพิบัติก็ไม่ใช่สิ่งที่ป้องกันได้ แล้วนับประสาอะไรกับระดับวันสิ้นโลก
เขาหลับตาลง แขนสั่นเล็กน้อย
หูได้ยินเพียงเสียงเข็มนาฬิกา ติ๊ก ต่อก
“…”
“…”
“…”
หนึ่งวินาที สองวินาที…สิบวินาทีผ่านไป ยังคงมีแต่ความเงียบ
ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ลิซิเนียสได้ยินเสียงพลุดังสนั่น รวมถึงเสียงผู้คนโห่ร้องต้อนรับปีใหม่ด้วยความยินดีอยู่ข้างนอก
ราวกับไม่ต่างจากเมื่อวานหรือหลายร้อยวันก่อน
ลิซิเนียสลืมตาขึ้นทันที
จากนั้นก็เห็นว่าบนหน้าจอควบคุมของทางมหาวิทยาลัยนอร์ตันมีอักษรตัวใหญ่สีแดงปรากฏ
ขึ้นติดต่อกันสามครั้ง
[วิกฤติจบแล้ว!]
[วิกฤติจบแล้ว!]
[วิกฤติจบแล้ว!]
ขณะเดียวกันบนหน้าจอควบคุมก็ได้แสดงวิถีโคจรของดาวเคราะห์น้อยดวงนั้นที่มีรัศมีร้อยกว่ากิโลเมตร
เฉียดดาวโลกที่กำลังหมุนอยู่ไปอย่างสมบูรณ์
ตรงจุดที่วิถีโคจรของดาวสองดวงนี้อยู่ใกล้กันที่สุด หน้าจอแสดงระยะห่างระหว่างดาวสองดวงนี้อยู่ที่…
หนึ่งกิโลเมตร!
ลิซิเนียสอึ้งไปก่อน จากนั้นก็ลุกพรวดขึ้น ดวงตาเบิกโพลง รู้สึกเหลือเชื่อ “อะไรกัน ฉะ เฉียดไปแล้วเหรอ!”
ทั้งๆ ที่เมื่อหนึ่งวินาทีก่อนดาวเคราะห์น้อยดวงนี้ยังกำลังวิ่งเข้ามาจะพุ่งชนโลกอยู่เลย!
แม้แต่นักวิจัยของเมืองแห่งโลกต่างก็ไม่มีวิธีเลี่ยงภัยพิบัติครั้งนี้
นี่มันเรื่องอะไรกัน
แอนโทนี่กระโดดขึ้นมา “ฮ่าๆๆ ตกใจเสียเปล่าเลย ไม่ตายแล้ว ไม่ตายแล้ว ฉันจะไปขับเครื่องบิน!”
เขาวิ่งออกไปด้วยความดีใจ ตื่นเต้นจนวิ่งรองเท้าหลุด
ลิซิเนียสเช็ดเหงื่อบนศีรษะ ต่อมาก็หยิกตัวเอง
สุดท้ายก็แน่ใจแล้วว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
เพราะแอนโทนี่ยังคงเป็นเจ้าซื่อบื้ออยู่วันยังค่ำ
ในขณะเดียวกันทางด้านมหาวิทยาลัยนอร์ตัน
รองอธิการบดีทรุดลงไปบนพื้น สองขากำลังสั่น
ศาสตราจารย์คนอื่นกับนักดาราศาสตร์ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน สีหน้าเดี๋ยวซีดเดี๋ยวแดง
หลังจากเงียบไปนานมาก รองอธิการบดีถึงได้เงยหน้าขึ้นฟ้าถอนหายใจ “โว้ย!”
เขายังไม่ตาย!
อิ๋งจื่อจินต้องทำอะไรไปแน่นอน!
รองอธิการบดีรีบลุกขึ้นมาทันที ไปห้องกระจายเสียงเพื่อปลอบนักศึกษาในมหาวิทยาลัย
แม้บรรดานักศึกษาของมหาวิทยาลัยนอร์ตันจะเป็นพวกสติเฟื่องทั้งนั้น คิดแค่ว่าจะระเบิดดาวเคราะห์น้อยอย่างไรก็ตาม
“ทิงหลาน!” อะเดลกอดเวินทิงหลาน “ไม่เป็นไร พวกเราไม่เป็นไร!”
ช่วงหลายวันมานี้พวกเขาแทบไม่ได้นอน
ถึงแม้จะระเบิดดาวเคราะห์น้อยดวงอื่นๆ ที่อยู่โดยรอบไปแล้ว แต่ดวงที่ใหญ่ที่สุดกลับไม่มีเทคโนโลยีใดทางวิทยาศาสตร์ที่รับมือได้
ตอนนี้ดาวเคราะห์น้อยเฉียดพวกเขาไปแล้ว เหนือความคาดหมายเกินกว่ากระบวนการรับรู้ทั้งหมด
“เยี่ยมเลย” อะเดลหอมแก้มขวาของเขา “ทิงหลานเก่งจริงๆ เลยนะ”
ถูกหอมแก้มโดยไม่ทันตั้งตัวแบบนี้ เวินทิงหลานใบหน้าร้อนผ่าวหูแดง “…อะเดล อย่าเล่นสิ”
“ฉันจะไปหาขนมเค้กกิน” อะเดลปล่อยเขา “รอก่อนนะ ฉันจะไปเอาขนมเค้กที่นายชอบที่สุดมาให้”
พูดจบอะเดลก็วิ่งออกไปอย่างอารมณ์ดี
แก้มเวินทิงหลานยังคงแดง ร่างกายของเขาหดเกร็งอยู่นานกว่าจะพอผ่อนคลายลงบ้าง
พอได้สติกลับมาเขาก็รีบตอบข้อความของอิ๋งจื่อจินทันที
[ผมไม่เป็นไรครับพี่ ทุกคนปลอดภัยดี]
ด้านนอก
บนนถนนที่ครึกครื้น หลายคนออกมาฉลองต้อนรับปีใหม่
ทางด้านตี้ตูก็สนุกสนานไม่แพ้กัน
จนกระทั่งผู้คนได้ยินเสียง ครืน คล้ายเสียงเครื่องบิน
ต่างเงยหน้ามองอย่างไม่ได้นัดหมาย
พอเงยหน้าก็เห็นดาวเคราะห์น้อยขนาดใหญ่เคลื่อนผ่านไปบดบังดวงจันทร์และดาวดวงอื่นๆ
“แม่จ๋าๆ!” เด็กผู้หญิงคนหนึ่งกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “ดาวตก! ดูสิ ดาวตก!”
ผู้หญิงที่ถูกดึงก็ตกใจมาก “นั่นสิ ดาวตกดวงใหญ่มาก รู้สึกเหมือนจะตกลงมาเลยเนอะ”
เล่นเอาเธอเกือบเป็นโรคหวาดกลัวของมหึมา
แต่ความหวาดกลัวก็เอาชนะความอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ ผู้คนพากันหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเริ่มบันทึกภาพ
พวกเขาไม่เคยเห็นดาวตกดวงใหญ่ขนาดนี้มาก่อน
อิ๋งจื่อจินกับฟู่อวิ๋นเซินยืนอยู่บนยอดตึกสูง ก้มมองเมืองใหญ่ระดับโลกที่แสนคึกคักนี้
เธอยกมือขึ้นเล็กน้อย เก็บหิมะที่โปรยปรายลงมา
หิมะตกลงบนเส้นผมและบ่าของอิ๋งจื่อจิน ทำคิ้วของเธอเป็นสีขาว
ฟู่อวิ๋นเซินปัดหิมะให้เธอ “ไปเถอะ ยังต้องไปที่โลกจอมยุทธ์อีก ใส่เสื้อให้ดี”
เขาพันผ้าพันคอให้เธอตามความเคยชิน
ตอนที่เธอยังเป็นวงล้อแห่งโชคชะตา เขาก็มักทำแบบนี้เสมอ
อิ๋งจื่อจินเบือนหน้า เลิกคิ้วเล็กน้อย “คุณเด ตอนนี้ฉันคือเดอะเวิลด์”
“ใช่ เดอะเวิลด์” ฟู่อวิ๋นเซินแนบชิดหน้าผากเธอ “เด็กน้อยเดอะเวิลด์ของฉัน ได้โปรดขยับเท้าสักหน่อย”
ตราบใดที่ผู้วิเศษเดอะเวิลด์อยู่ โลกนี้ก็ไม่มีทางแตกสลาย
ครั้งก่อนเธอเป็นฝ่ายทำให้ตัวเองดับสูญ ครั้งนี้เธออยู่ต่อ
วันที่หนึ่งมกราคมปี 20XX วันสิ้นโลกที่เดิมถูกกำหนดไว้ได้ถูกทำลายอีกครั้ง
ศูนย์เฝ้าระวังของแต่ละพื้นที่ต่างสังเกตการณ์ได้ วันที่หนึ่งมกราคมเวลาศูนย์นาฬิกา มีดาวเคราะห์น้อยที่รัศมีหนึ่งร้อยสี่สิบกิโลเมตรบุกเข้ามาในระบบสุริยะ
และเฉียดโลกไปอย่างสมบูรณ์ในระยะที่วิถีโคจรห่างกันแค่หนึ่งกิโลเมตร
ถ้าดาวเคราะห์น้อยดวงนี้พุ่งชนโลก แรงระเบิดจะทำให้มนุษย์สูญพันธุ์
เหล่านักวิทยาศาสตร์ต่างถกเถียงกันเรื่องนี้ แต่ก็ไม่มีใครอธิบายเหตุการณ์ประหลาดนี้ได้
สุดท้ายก็กลายเป็นปริศนาที่ไม่มีคำตอบของโลก
มีเพียงคนส่วนน้อยที่รู้เรื่องราวความเป็นไปทั้งหมด แต่พวกเขาก็จะเก็บรักษาเป็นความลับไปตลอดกาล
…
โลกจอมยุทธ์
ไม่ได้มีการเฉลิมฉลองขึ้นปีใหม่ กลับวุ่นวายด้วยซ้ำ ชักดาบออกมาตั้งท่าใส่กัน
“ตระกูลเย่ว์คิดจะทำอะไรกันแน่!” ผู้นำตระกูลหลิงตวาดด้วยความโมโห “พวกคุณอิ๋งกำลังสู้กับศัตรู เวลานี้พวกแกยังจะก่อความวุ่นวายอีกเหรอ รังแกคนกันเองงั้นเหรอ”
ไม่มีใครคาดคิดว่าตระกูลเย่ว์ที่ถ่อมตัวมาตลอดจะเลือกโจมตีจอมยุทธ์คนอื่นในเวลานี้
บ้าไปแล้ว!
“คุณอิ๋งเหรอ” นายใหญ่ตระกูลเย่ว์ลูบเครา ยิ้มพลางพูด “ฉันลืมบอกพวกแกไป ฝูอีเป็นผู้วิเศษวันพิพากษา ผู้วิเศษที่แข็งแกร่งที่สุด ฝูอีไปฆ่าอิ๋งจื่อจิน แกว่าอิ๋งจื่อจินยังจะรอดไหมล่ะ”
พอคำพูดนี้ออกมาพวกจอมยุทธ์ก็สีหน้าเปลี่ยน
พวกเขารู้เรื่องเมืองแห่งโลกมานานแล้ว และก็รู้จักผู้วิเศษ
ผู้วิเศษมีอายุขัยยาวนานมาก แทบจะไม่ตาย เทียบได้กับเทพ
เย่ว์ฝูอีเป็นผู้วิเศษที่แข็งแกร่งที่สุดงั้นเหรอ!
แต่ทำไมเธอต้องไปฆ่าอิ๋งจื่อจินด้วย
นายใหญ่เย่ว์มั่นใจว่าจะชนะ “อิ๋งจื่อจินตายแล้ว ไม่มีใครปกป้องตระกูลหลิงของพวกแก ไหนจะตระกูลหลินอีก หลินชิงจยาไปอยู่สหพันธ์จอมยุทธ์แล้ว ทำไมตระกูลเย่ว์ของฉันจะครอบครองโลกจอมยุทธ์ไม่ได้”
พวกเขาถ่อมตัวมาตลอดก็จริง
แต่หลังจากที่รู้ว่าเย่ว์ฝูอีมีความสามารถที่แข็งแกร่งขนาดนี้ก็เริ่มมีจิตใจที่ทะเยอทะยานอยากปกครองโลกจอมยุทธ์
อิ๋งจื่อจินเป็นบูรพาจารย์ของจอมยุทธ์อันนี้ไม่เถียง แต่ต่อให้แข็งแกร่งขนาดไหนมีเหรอจะเก่งไปกว่าเย่ว์ฝูอีได้
นายใหญ่เย่ว์ไม่พูดไร้สาระกับคนอื่นๆ อีก ออกคำสั่งทันที “ใครต่อต้านฆ่าทิ้งให้หมด คนที่ยอมจำนนก็ให้พวกเขาสาบาน เดี๋ยวถึงเวลามีฝูอีหนุนหลังพวกเรา พวกเขาไม่กล้าขัดขืนหรอก”
ทีมคุ้มกันที่เหลือของตระกูลเย่ว์เริ่มออกปฏิบัติการ มีถึงสามพันคน
แต่พวกเขาเพิ่งเริ่มเดินหน้า
พลั่ก!
มีเสียงดังสนั่น
อ๊าก
ในเวลาเพียงชั่วพริบตา คนคุ้มกันทั้งหมดของตระกูลเย่ว์ก็ล้มไปกองบนพื้น ลุกขึ้นมาไม่ขึ้นอีก
ร่างกายของนายใหญ่เย่ว์ก็ลอยกระเด็นออกไปกระแทกต้นไม้อย่างจัง
เกิดเสียงต้นไม้หัก
“…”
บรรยากาศโดยรอบเงียบสนิท
พวกจอมยุทธ์งงเป็นไก่ตาแตก
ฝุ่นตลบอบอวล มีเงาปรากฏ
รูปร่างสูงยาวของเด็กสาว ย่างก้าวแผ่วเบา
ใบหน้าของเธอดุจภาพวาด ค่อยๆ เคลื่อนมาเหมือนหมอกที่ปกคลุมยอดเขาอยู่ไกลๆ
ไม่มีสิ่งใดแต่งแต้ม แต่งดงามชวนตะลึง
ผู้นำตระกูลหลิงอึ้งเล็กน้อย จากนั้นก็ทั้งตกใจทั้งดีใจ “คุณอิ๋ง!”
“ท่านบูรพาจารย์กลับมาแล้ว!”
“กะแล้วว่าคุณอิ๋งต้องไม่เป็นอะไร!”
จอมยุทธ์คนอื่นๆ โดยรอบก็เริ่มตื่นเต้น
อิ๋งจื่อจินหันไปมองนายใหญ่เย่ว์ที่นอนกองบนพื้น รวมถึงพวกผู้นำตระกูลเย่ว์
ชั่วขณะที่เห็นเธอ ทุกคนในตระกูลเย่ว์ต่างดวงตาเบิกโพลง
นายใหญ่เย่ว์ช็อกหนัก ร้องเหมือนจะขาดใจ “ไม่จริง! ก็ฝูอี…”
“เย่ว์ฝูอีเหรอ” อิ๋งจื่อจินก้มหน้า สีหน้าเรียบเฉย น้ำเสียงราบเรียบไม่มีขึ้นลง “ช่างไม่ประจวบเหมาะเสียจริง เมื่อกี้เธอถูกฉันฆ่าตายไปแล้ว”
ก่อนที่เย่ว์ฝูอีจะไปจากโลกจอมยุทธ์ ยังไม่ลืมเติมเชื้อไฟไว้
มีความคิดที่จะทำลายล้างโลกจริงๆ
“จัดการเก็บพวกเขาให้หมด” อิ๋งจื่อจินไม่มองพวกคนตระกูลเย่ว์อีก พยักหน้าให้ผู้นำตระกูลหลิงเล็กน้อย “วางใจได้ ฉันไม่มีทางเป็นอะไร”
ผู้นำตระกูลหลิงกำมือคารวะ “ครับคุณอิ๋ง”
…
อิ๋งจื่อจินกับฟู่อวิ๋นเซินออกจากโลกจอมยุทธ์ไปอีกสองที่
เธอเจอนักมายากลกับซาโรห์ วิกตอเรียที่เปลี่ยนภพ
เวลานี้นักมายากลกับซาโรห์ต่างยังเป็นเพียงทารกแรกเกิด
อิ๋งจื่อจินยืนอยู่ข้างเปล สายตาจับจ้อง สุดท้ายก็พูดขึ้น “ยึดคืน”
พลังพิเศษของผู้วิเศษเดอะเวิลด์ถูกปล่อยอีกครั้ง พลังของผู้วิเศษนักมายากลกับผู้วิเศษจักรพรรดินีก็หายไปหมด
เหลือเพียงเด็กทารกสองคนที่สุดแสนจะธรรมดา
ตอนที่ทั้งสองคนกลับไปถึงเขตที่พักตระกูลจี้ในตี้ตูก็เป็นเวลาตีสองครึ่งแล้ว
เวินเฟิงเหมียน ลูเอล และซู่เวิ่นต่างหลับกันหมดแล้ว
อิ๋งจื่อจินไม่ไปรบกวน กดรับสายพลางเดินขึ้นชั้นบน
ปลายสายคือจั่วหลี
“นักศึกษาอิ๋ง ปาฏิหาริย์ มันคือปาฏิหาริย์!” จั่วหลีมีน้ำเสียงตื่นเต้น “เธอรู้หรือเปล่า เมื่อกี้องค์กรฟิสิกส์ดาราศาสตร์รายงานว่านั่นคือดาวเคราะห์น้อยขนาดมหึมา!”
“พวกนักวิทยาศาสตร์หลายคนเป็นบ้ากันไปแล้ว ไม่รู้ว่าดาวเคราะห์น้อยดวงนี้เฉียดโลกได้ยังไง อาจารย์คิดจนหัวจะแตกก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ยังคิดว่าตัวเองต้องตายแน่แล้ว”
แววตาของอิ๋งจื่อจินขรึมลงเล็กน้อย
เธอมองไปนอกหน้าต่างอยู่สักพัก ยิ้มพลางพูด “งั้นก็คุ้มค่าแล้ว”
จั่วหลีไม่เข้าใจ “นักศึกษาอิ๋งว่าไงนะ”
“หนูหมายความว่า…” อิ๋งจื่อจินพิงเก้าอี้ของโต๊ะคอมพิวเตอร์ พูดเสียงเบา “ทุกคนยังอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างมันคุ้มค่าแล้ว”
“อาจารย์อยู่ ยังอยู่ แต่ผมไม่อยู่แล้ว” จั่วหลีหน้าเครียด “นักศึกษาอิ๋ง หัวข้อดีแบบนี้เธอต้องเอาไปเขียนบทความให้ได้นะ!”
อิ๋งจื่อจินหมดอารมณ์ทันที “…วางแล้วนะคะ”
เธอตั้งโหมดห้ามรบกวน จากนั้นก็เปิดคอมพิวเตอร์ ล็อกอินเข้าเว็บบอร์ดเอ็นโอเค
พวกบอสติงต๊องยังคงแสดงความคิดเห็นกันอยู่ในเว็บบอร์ด
[บอกแล้วให้เชื่อในเทพพยากรณ์ แล้วจะอายุยืน!]
[หนึ่งกิโลเมตรเลยนะ เกือบแล้ว พวกเราเกือบตายแล้ว]
[เทพพยากรณ์เอ่ยปากแล้วยังจะหลอกลวงได้อีกเหรอ ฉันไม่กลัวหรอก ตอนที่พวกนายกลุ้มใจเรื่องวันสิ้นโลกฉันยังนั่งดูแอนิเมะอยู่เลย]
แอทเชิญมากินยา : [ใจหายใจคว่ำหมด เล่นเอาฉันเกือบไม่ได้ใส่เสื้อผ้า]
[บอส ไหนว่าไปอยู่ศูนย์ไวรัสสากลแล้วไง หรือว่าที่นั่นไม่มีเสื้อผ้าให้ใส่ จริงสิ ผมอยากได้ครีมกันแดด]
อิ๋งจื่อจินเท้าศีรษะ เลิกคิ้วอ่าน
ดูท่าชีวิตคนอื่นๆ ยังปกติกันดี
หลังจากที่เธออ่านคอมเมนต์เหล่านี้เสร็จก็เปิดไดอารี่ส่วนตัว ค่อยๆ พิมพ์บรรทัดแรก
[วันที่ 1 มกราคม ปี 20XX ภัยพิบัติระดับทำลายล้างโลกครั้งที่เก้า พวกเราผ่านไปได้อย่างปลอดภัยแล้ว
บางทีการเดินเข้าไปอยู่ในฝูงชน ฉันถึงจะสัมผัสได้ถึงความเป็นจริง
ฉันได้เห็นพ่อแม่ลูกเฉลิมฉลองขึ้นปีใหม่ พี่น้องช่วยเหลือกัน คู่รักพลอดรักใต้แสงจันทร์
ฉันคิดว่าสายใยความผูกพันคือสิ่งที่จริงใจที่สุดระหว่างมนุษย์ด้วยกัน
เมื่อมีสายใย ฉันถึงจะรักโลกใบนี้ได้
ไม่รู้ว่าหลังจากนี้อีกนานแสนนานจะมีคนเห็นข้อความนี้ที่ฉันเขียนหรือเปล่า
ถ้าได้อ่าน โปรดจดจำคนเหล่านี้ไว้
ท่านผู้โง่เขลา
พี่เทวทูต
ท่านยุติธรรม
พี่พลัง
ท่านยมทูต
พวกเขาจากไปนานมากแล้วเพื่อปกป้องบ้านหลังนี้ของพวกเรา
แต่พวกเขาไม่เคยนึกเสียใจที่ได้เสียสละเพื่อดินแดนที่พวกเขารัก
ฉันโชคดีที่ได้ยืนอยู่บนแผ่นดินที่พวกเขาเคยใช้ชีวิตพร้อมกับทุกคน แหงนมองทางช้างเผือกที่พวกเขาเคยมอง
นิทานเรื่องนี้ช่างยาวเหลือเกิน ฉันอาจต้องเขียนอีกนานกว่าจะจบ
ถ้าทุกคนมีความอดทนอยากฟัง ไว้ว่างๆ ฉันจะเขียนเล่าสิ่งที่เคยเกิดขึ้น]
ข้างคอมพิวเตอร์มีภาพเหมือนหลายใบวางอยู่ ภาพเหมือนของผู้วิเศษทั้งห้าที่รอยยิ้มดุจบุปผา
อิ๋งจื่อจินหยิบภาพเหมือนเหล่านี้ไปวางไว้ที่ขอบหน้าต่าง ให้พวกเขาได้เห็นโลกข้างนอก
คืนปีใหม่แห่งความสุขนี้ยังไม่ผ่านพ้น ชีวิตกลางคืนในตี้ตูเพิ่งเริ่มต้น แสงไฟสว่างไสว
พลุถูกจุดดอกแล้วดอกเล่า ทำให้กลางคืนสว่างเหมือนกลางวัน เปล่งประกายระยิบระยับ
อิ๋งจื่อจินเงยหน้ามองดวงดาว สีหน้าเหม่อลอย
เธอนึกถึงเมื่อนานมาแล้ว ตอนที่เธอยังเป็นวงล้อแห่งโชคชะตาที่ร่างกายอ่อนแอ ผู้โง่เขลาให้หนังสือเธอ
ตอนนั้นเป็นยุคที่เกิดภัยพิบัติถี่มาก
บรรดาผู้วิเศษต้านภัยจนดับสูญอย่างต่อเนื่อง พอเปลี่ยนภพก็ออกไปต้านภัยพิบัติต่อ
ไม่มีใครได้พัก
ตอนนั้นเธอพูดว่า ‘ท่านปู่ผู้โง่เขลา วันหน้าจะต้องไม่มีภัยพิบัติอีกแล้วแน่นอน โลกนี้จะสวยงาม พวกเราก็จะได้พัก ไปเที่ยวทุกหนแห่ง’
นี่คือความปรารถนาของเธอมาตลอด
ชายชราพอฟังจบก็หัวเราะร่า เห็นได้ชัดว่าไม่คิดแบบนั้น
เขาหัวเราะอยู่สักพักถึงถามเธอ ‘เจ้าชะตาน้อย สิ่งที่เธอพูดมาฉันจะได้เห็นมันเหรอ’
ต่อให้เป็นผู้โง่เขลาที่เป็นผู้มีปัญญาอันดับหนึ่งก็รับประกันไม่ได้ว่าจะมีวันนั้นหรือเปล่า
เวลานี้ในที่สุดเธอก็ตอบคำถามนี้ได้แล้ว
“ใช่ ท่านจะได้เห็นมัน”
นับแต่นี้เป็นต้นไปฉันจะเป็นดวงตาให้พวกคุณเอง ฉันจะมองโลกใบนี้แทนพวกคุณ
อิ๋งจื่อจินพิมพ์ส่วนสุดท้ายของไดอารี่บทนี้
[หวังว่าพวกคุณจะได้เห็นโลกที่สงบสุขในเวลานี้
โลกที่พวกเราทุ่มเทปกป้อง มันยังคงเจิดจ้า
ดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นมา กลางวันกลางคืนยังคงมีอยู่
เรื่องราวส่วนนี้ที่เป็นของพวกเราก็ได้เวลาบอกลาแล้ว
วันหน้าจะมีเภทภัยเกิดขึ้นอีกหรือไม่ นี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราต้องคิดตอนนี้แล้ว
เห็นค่าปัจจุบัน
อยู่กับความเป็นจริง]
อิ๋งจื่อจินพิมพ์ประโยคสุดท้ายเสร็จก็พับคอมพิวเตอร์ปิดลง
เธอเงยหน้า เวลาดึกมากแล้ว ลมพัดอ่อนๆ ปะปนกับเสียงดนตรีแห่งค่ำคืนและกลิ่นหอมที่โชยมา
ดวงจันทร์ลอยเด่นบนนภา ดวงดาวสว่างไสว
หลายครอบครัวเข้าสู่ห้วงนิทรา เงียบสงัดและสวยงาม
ทุกอย่างจบลงแล้ว
อิ๋งจื่อจินหันไปมองผู้ชายที่นั่งอยู่บนโซฟา
เขาอยู่ในชุดนอน บนศีรษะยังมีที่คาดผมหูกระต่ายที่เธอบังคับใส่ให้เขา ในมือมีหนังสือตำนานเทพเซลติก
แต่งตัวแบบนี้ช่วยเพิ่มกลิ่นอายของชีวิตให้เขา
และยิ่งช่วยขับให้ใบหน้าของเขาชวนหลงใหล บุคลิกสง่างาม
เมื่อนานมาแล้วเธอก็ชอบมองเขาแบบนี้
เธอชอบฟังเสียงของเขา ฟังเขาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในดินแดนต่างๆ
ส่วนตอนนี้ ในที่สุดพวกเขาก็ได้พักแล้ว และก็สามารถเคียงข้างกันได้ตลอดไป
ฟู่อวิ๋นเซินได้ยินเสียงขยับ
เขาปิดหนังสือ เงยหน้าขึ้น ดวงตาดอกท้อโค้งมน ยื่นมือออกไปจับมือเธอไว้ “เขียนเสร็จแล้วเหรอ”
“อืม” อิ๋งจื่อจินยืนขึ้น บิดขี้เกียจช้าๆ นั่งบนตักเขา
เธอจิ้มอกกว้างของเขา เอาศีรษะแนบ “ใช่ เขียนเสร็จแล้ว เด็กน้อยเดวิล ตอนนี้พวกเราไปทำอะไรกันดี”
ฟู่อวิ๋นเซินก้มหน้า จูบเธอแผ่วเบา จากนั้นก็เริ่มหนักหน่วง
ผ่านไปนานมากกว่าเขาจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะเบาๆ “ไปแต่งงาน”
…
ฤดูหนาวอันโหดร้ายได้ผ่านพ้น ยุคอันรุ่งเรืองจะคงอยู่ตลอดไป
ค่ำคืนนี้พระจันทร์พานพบดวงดาว บุปผาต้อนรับหิมะแรก
ฉันอยากแต่งงานกับเธอ ร่วมชีวิตนับแต่นี้ไป
-จบ-