การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ - ตอนที่ 122 แมงมุมดิน
ตอนที่ 122 แมงมุมดิน
แมงมุมดินมันก็เป็นมอนสเตอร์ที่มีลักษณะเหมือนกับแมงมุมตามชื่อนั่นแหละ
แน่นอนว่าส่วนที่เหมือนกับแมงมุมทั่วไปก็คงมีแต่ลักษณะของมัน แต่สำหรับเรื่องของขนาด ความเร็ว และความแข็งแกร่งของมันนั้น แมงมุมทั่วไปคงไม่สามารถเทียบอะไรมันได้
จุดสีแดงฉานแปดจุดบริเวณบนใบหน้าของมันกะพริบไปมาอย่างน่าขนลุก ปากของมันก็มีเขี้ยวเรียงรายกันเหมือนกับสัตว์ร้ายซึ่งสามารถกลืนกินร่างเด็กได้ทั้งตัว
ส่วนร่างกายส่วนหน้าของมันก็ถูกปกคลุมไปด้วยขนสีแดงคล้ายกับแผงคอสิงโต บริเวณส่วนส่วนหัวมีเขาหลายเขายื่นออกมา และตรงช่วงกลางลำตัวก็มีลวดลายสีเหลืองสลับดำคล้ายกับเสือมากกว่าแมงมุม
มันคือมอนสเตอร์ที่รวบรวมเอาลักษณะของสัตว์ร้ายมาไว้ในตัว โดยขนาดร่างของมันก็ราวๆ ของเมตรได้
นอกจากนี้มันก็มีขาทั้ง 8 ที่ยื่นออกมาจากลำตัว ซึ่งมีความแข็งราวกับโลหะ กรงเล็บของมันก็มีสีดำแวววาวอยู่ตรงปลาย คงไม่ต้องนึกภาพว่าหากมนุษย์ถูกมันจับได้ร่างของพวกเขาคงได้ถูกฉีกออกจากกันราวกับกระดาษ
แน่นอนว่าพอพูดถึงแมงมุม พิษก็คืออีกสิ่งหนึ่งที่มันมี นอกจากนี้มันก็สามารถพ่นใยเหนียวจากร่างของมันได้เพื่อหยุดการเคลื่อนที่ของศัตรูได้ด้วย
ระหว่างที่ผมเผชิญหน้ากับมันผมก็พูดพึมพำออกมา
「คงระดับราวๆ ราชาแมลงวัน」
ว่ากันตามตรง ผมก็ไม่เคยสู้กับแมงมุมดินมาก่อนหรอก ดังนั้นการจะบอกว่าพอๆ กับราชาแมลงวันก็คงพูดได้ไม่เต็มปาก แต่ผมก็มั่นใจว่าไม่ห่างอะไรกันนักหรอก
หากเป็น 5 ปีก่อน…ไม่สิแค่ไม่ก็เดือนก่อนหน้านี้ ที่ผมยังไม่มีอาภรณ์วิญญาณ การจะรับมือกับไอ้เจ้าตัวแบบนี้ก็คงเรียกว่าสิ้นหวัง
แต่ก็ไม่ใช่ว่าตอนนี้ผมจะทำตัวสบายๆ ได้หรอกนะ เพราะจากที่โกซุบ่นใส่กิลมอร์ตอนอยู่ในโถงประชุมใหญ่เกี่ยวกับที่เขาเอาแมงมุมดินมาทดสอบ ผมก็พอจะมั่นใจว่ามันเป็นสามารถเป็นภัยต่อผู้ใช้อาภรณ์วิญญาณได้
ในตอนนี้แมงมุมดินที่อยู่ตรงหน้าของผมกำลังพยายามให้เล็บของมันตะกุยพื้นไปมาอย่างรุนแรง ก่อนจะส่งเสียง ซุ่วๆ! ออกมา
แต่ที่ร่างของมันยังไม่สามารถเข้ามาถึงตัวผมได้ก็เป็นเพราะด้ายโปร่งแสงที่กำลังพันธนาการร่างของมันเอาไว้อยู่ ดูเหมือนคนที่จัดเตรียมพิธีจะให้เทคนิคคิในการผนึกการเคลื่อนไหวของมันเอาไว้อยู่
แถมพอทำแบบนั้นกับแมงมุมดินก็คงไม่ต้องถามว่ามันจะโมโหขนาดไหน ผมมั่นใจว่าพิธีทดสอบเริ่มขึ้น ความโกรธทั้งหมดของมันได้มาลงกับผมที่อยู่ตรงหน้านี้แน่ๆ
หากจะให้เทียบกับนักรบเขี้ยวมังกรที่ใช้ในพิธีทดสอบปกติ คงไม่ต้องถามนะว่าต่างกันแค่ไหน หากวันนี้เกิดอะไรขึ้นกับผู้เข้าพิธีทดสอบก็คงจะไม่แปลกใจอะไรนัก ก็ดูสมกับเป็นตระกูลเบิร์ชเจ้าแผนการจริงๆ
「เอาเถอะ อย่างน้อยนี่ก็เป็นศัตรูที่เหมาะสมสำหรับคนที่บอกว่าฆ่ามังกรได้นี่นะ」
ผมพูดและยักไหล่
ว่ากันตามตรง ผมค่อนข้างผิดหวังนิดหน่อยนะ แมงมุมดินมันก็แข็งแกร่งอยู่หรอก แต่ผมมองว่าถ้าพวกเขารู้ตั้งแต่เมื่อเดือนก่อนแล้วว่าผมจะมา พวกเขาก็ควรจะไปหาตัวที่แกร่งกว่านี้สักหน่อยน้า
ถึงจะไม่ต้องขนาดเอามังกรมาทดสอบผม แต่อย่างน้อยถ้าเป็นผม ผมจะหาคิจินสาวที่รุ่นราวคราวเดียวกับซูซูเมะ แล้วบอกให้ฆ่านางเพื่อเป็นการยืนยันความแข็งแกร่งไปแล้ว แบบนั้นสิถึงจะสมกับเป็นกิลมอร์ผู้ถูกผมกระทืบลูกบุญธรรมของเขา 2 คนจนทำให้ตระกูลต้องเสียเกียรติควรจะทำ
สุดท้ายพอมาเจอของจริง สิ่งที่พวกเขาเตรียมไว้ก็ดันเป็นแค่เจ้าตัวนี้ ให้ตายสิหรือบางทีผมอาจจะชั่วร้ายกว่ากิลมอร์ไปหลายขุมก็เลยก็ได้แฮะ
ระหว่างที่คิดอยู่ผมก็กอดอกแล้วรอสัญญาณเริ่มการทดสอบ
รอบๆ ตอนนี้เท่าที่ผมเห็นก็มีทั้งนักบุญดาบแล้วก็คนอื่นๆ ของตระกูลนั่งล้อมรอบผมไว้เป็นวงกลม
เนื่องจากพิธีทดสอบในครั้งนี้ถูกจัดขึ้นที่ลานประลองแทนที่จะเป็นโรงฝึก ความรู้สึกของผมที่ถูกสายตาจับจ้องจากรอบทิศมันเหมือนกับกลาดิเอเตอร์ที่เป็นทาสลงมายังสนามประลองเลย
แต่ถึงจะบอกว่าเป็นลานประลอง มันก็ไม่ได้มีขออย่าง กำแพง รั้ว หรือบาเรียเวทป้องกันหรอกนะ เอาง่ายๆ ก็คือการต่อสู้ของผมกับแมงมุมดินมันไม่มีค่าพอให้ต้องทำอย่างนั้นเลยสักนิด
「ถ้าเช่นนั้น เราจะขอเริ่มการทดสอบได้! ปล่อยแมงมุมดินซะ!!」
เสียงของกิลมอร์ประกาศดังกึกก้อง
เมื่อสิ้นเสียงของเขาด้ายโปร่งแสงที่พันรอบตัวแมงมุมอยู่ก็หายไป ดวงตาสีแดงทั้ง 8 ของมันก็เป็นประกายในทันที
「ชู่ว! ชู่ววววว!」
แมงมุมดินดีดตัวพุ่งเข้ามาหาผมพร้อมกับเสียงกรีดร้อง
ขากรรไกรบนและล่างของมันเปิดกว้างออก เผยให้เห็นฟันจำนวนมากข้างใน ไอ้ที่บอกก่อนหน้านี้ว่ามันสามารถกลืนเด็กเข้าไปได้ทั้งตัวน่ะ ผมขอถอนคำพูดแล้วกัน แบบนี้ผมว่าผู้ใหญ่ก็ไม่น่าจะเหลือ
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นผมก็ยังคงยืนกอดอกโดยที่ไม่ได้ชักดาบของตัวเองออกมา เพื่อแสดงให้มันเห็นว่าแม้มันจะเข้ามาใกล้แล้วผมก็ไม่สนใจจะป้องกันอะไรเลยสักนิด
วินาทีต่อมาเสียงที่แหลมคมของมันก็ดังกึกก้องไปทั่วลานประลอง มันคือเสียงที่กรามบนล่างของมันกระแทกกันไปมาระหว่างพุ่งเข้ามา มันไม่ต่างอะไรกับกิโยตีนที่กำลังร่วงหล่นลงมาเผื่อประหารนักโทษ
หากผมยังยืนอยู่ตรงจุดเดิมต่อไป ทั้งหัวและร่างของผมก็ไม่น่าจะเหลือ
แน่นอนว่าผมก็ไม่ได้คิดจะเป็นอาหารของมอนสเตอร์อยู่แล้ว ผมก็เลยกระโดดถอยหลบไปในช่วงเสี้ยววิสุดท้าย
จากนั้นแมงมุมดินก็ทำการโจมตีต่อทันทีเมื่อรู้ว่าตนพลาด ด้วยดวงตาทั้ง 8 ของมัน มันคงสามารถเห็นการเคลื่อนไหวของผมได้ง่ายด้วย
ต่อจากการกัด ก็เป็นการใช้ขา 2 ข้างเข้ามาโจมตีผม กรงเล็บที่แหลมคมราวกับเคียวของมันได้ตวัดไปมาเพื่อจะหั่นร่างผมเป็นชิ้นๆ
ผมก็เลยต้องหลบการโจมตีที่รุนแรงนี้แล้วถอยออกมาอีกหน่อย ที่ผมเลือกไม่กระโดดออกไปไกลๆ เลือกทำเพียงแค่ถอยเบี่ยงซ้ายขวาหลบไปมาก็เพราะสายตาของมันนี่แหละ ดูแล้วมันคงตามการเคลื่อนไหวของผมได้ทัน การจะเว้นช่องว่างระหว่างถอยมากเกินไปคงจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนัก
กรงเล็บที่แหลมคมของมันเฉียดตาและจมูกของผมไปมาหลายครั้งด้วยกัน ซึ่งทุกครั้งที่กรงเล็บของมันเฉียดไป กลิ่นเหม็นเน่าก็ผ่านเข้ามาในจมูกของผมด้วย
ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันเป็นกลิ่นเฉพาะของเจ้าแมงมุมนี่หรือเป็นของเหลวที่ขับออกมาจากร่างของมันที่กินเหยื่อคนก่อนเข้าไป เอาเป็นว่ากลิ่นมันก็ไม่ค่อยจะน่าภิรมย์เท่าไหร่นัก
ตรงจุดนี้ก็ทำให้เห็นเลยว่า ผมกับมันต่างก็รู้สึกไม่พอใจทั้งสองฝ่าย ถึงแม้เรื่องที่ไม่พอใจของผมกับมันจะไม่เหมือนกันนักก็เถอะ เพราะทางนั้นเหมือนจะไม่พอใจที่การโจมตีของตัวเองทำอะไรผมไม่ได้เลยสักนิด
จากนั้นพอมันเห็นว่าใช้กรงเล็บไม่ได้ผล มันก็เลยกะจะใช้ร่างของตัวเองในการกระโดดทับผมซะเลย แน่นอนว่าในระหว่างที่มันกระโดดส่วนท้องที่เปราะบางของมันก็ถูกเผยออกมาให้เห็น แต่มันก็รู้ดีว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ มันจึงได้พ่นใยสีขาวออกมาจากส่วนก้นของมันในระหว่างที่กระโดดไปด้วย
ใยแมงมุมได้กระจายออกไปในอากาศเหมือนกับตาข่ายของชาวประมงหมายจะปกคลุมทั้งร่างของผมเอาไว้ หากในมือผมถือดาบเอาไว้อยู่ก็คงจะใช้มันในการตัดได้ แต่ดาบของผมตอนนี้มันอยู่ที่เอวเนี่ยสิ
แมงมุมดินที่กำลังลอยอยู่ในอากาศก็ขยับส่วนใบหน้าของมันไปมาราวกับกำลังยิ้มเยาะผมที่ประมาท
ทางผมเองก็เลยส่งยิ้มกลับไปให้มันเหมือนกัน ซึ่งเป็นในจังหวะเดียวกับที่ผมปลดปล่อยพลังคิซึ่งไม่เคยใช้ก่อนหน้านี้ออกมา ขาของผมที่ถูกพลังคิเคลือบเอาไว้ก็ได้พุ่งตัวออกไปอยู่ตรงมุมของลานประลองเพียงแค่อึดใจเดียว
สำหรับในมุมของมันแล้ว มันคงเห็นว่าร่างผมหายไปไหนไม่รู้ในพริบตา คงจะตกใจพอสมควรที่ไม่สามารถตามการเคลื่อนไหวของศัตรูที่ตนตามมาได้เสมอจึงก่อนหน้านี้ ดวงตาทั้ง 8 ของมันขยับไปมาอย่างลนลาน แต่ก็ไม่อาจจะสังเกตเห็นผมได้สักที
แน่นอนว่าหากเป็นจังหวะนี้ ร่างของแมงมุมดินก็ไม่ต่างอะไรกับเป้าซ้อมยิง ช่องว่างของมันมีอยู่เต็มไปหมด และหากผมใช้การโจมตีระยะไกลอย่างวายุใส่มัน ผมก็คงได้รับชัยชนะมาอย่างง่ายดาย
ทางผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่สุดท้ายผมก็ไม่เลือกจะชักดาบที่เอวออกมา
ผมเลือกที่จะยืนนิ่งๆ แทน ก่อนจะได้ยินเสียงพึมพำจากรอบๆ ลานประลองว่าทำไมผมถึงไม่ใช้โอกาสนี้กัน ไม่ก็ทำไมผมไม่เอาอาภรณ์วิญญาณออกมาใช้ ปนๆ กันไป
ส่วนคำตอบนั้นก็ง่ายๆ เลย ผมไม่อยากจะแสดงไพ่ที่มีอยู่ในมือของผมทั้งหมดต่อหน้าพวกเขา อันที่จริงแค่เทคนิคการใช้คิพื้นฐานผมยังไม่อยากเลย นับประสาอะไรกับอาภรณ์วิญญาณ
ก็จริงว่าทางโกซุกับคลิมที่สู้กับผมตอนอยู่เมืองอิชกะเมื่อเดือนก่อนก็พอรู้ฝีมือของผมบ้างแล้ว แต่ในตอนนี้ผมก็ไม่มีความจำเป็นต้องบอกถึงความเติบโตตลอดช่วงเดือนที่ผ่านมาเพิ่มนี่เนอะ นอกจากนี้ผมว่าผมปล่อยให้พวกนักรบที่นี่รู้จักผมเพียงแค่ตัวผมเมื่อ 5 ปีก่อนน่ะดีแล้ว
จะว่าไป พวกนั้นก็น่าจะได้ข้อมูลจากไคลอาไปบ้างแล้วตอนที่ส่งทีมช่วยเหลือ แต่ถามจริงเถอะ พวกเขาจะเชื่อกันลงเหรอ ถ้าให้พูดผมว่าพวกเขาก็คงระวังผมเพิ่มขึ้นนิดหน่อย เห็นได้ชัดจากเจ้าแมงมุมดินนี่แหละ หากพวกเขาคิดเป็นจริงจังว่าผมแกร่งระดับฆ่ามังกรได้คงไม่เอาตัวปัญญาอ่อนนี่มาหรอก
แต่ผมก็ไม่เห็นจะต้องสนใจคนพวกนี้เลยนี่เนอะ
「จะมีสักกี่คนกันนะที่สัมผัสได้ถึงมังกรโซลอีกเตอร์ แม้เราจะไม่ใช้เทคนิคคิหรืออาภรณ์วิญญาณ….」
สี่พื้นฐานสำคัญของมายาดาบเดียวก็คือซัน (ฟาดฟัน) คิ (เสริมกำลัง) โซ (ย่างก้าว) คัน (มองเห็น) และการมองเห็นเพื่อสังเกตความแข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้ามก็เป็นพื้นฐานของนักรบทั่วไปอยู่แล้ว
ถึงแม้จะไม่ใช้อาภรณ์วิญญาณแต่หากเป็นผมมองดูการต่อสู้ระดับนี้ ผมก็พอจะมองพลังของอีกฝ่ายออกได้
แต่ก็นั่นแหละมนุษย์เราก็มันจะเห็นแค่ในสิ่งที่อยากมองเห็น สายตาของคนส่วนมากในที่นี้ก็น่าจะเป็นแค่ดูไม่ใช่สังเกต
ความผยอง เหยียดหยาม ดูแคลน หากมีอารมณ์พวกนี้เข้ามาปะปนด้วย ก็ไม่แปลกอะไรหากจะไม่เห็นในสิ่งที่ควรเห็น
ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนเสียจะปล่อยตัวไปตามอารมณ์ พวกที่ยังควบคุมสติตัวเองเอาไว้ได้ดี ก็น่าจะพอเดาพลังของผมได้บ้างแล้ว
แต่เมื่อพวกเขารับรู้ถึงมัน พวกเขาก็จะต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริงที่ว่า ผมไม่ได้กระจอกจนไม่สามารถผ่านพิธีทดสอบเหมือนเมื่อ 5 ปีก่อนแล้ว แถมพลังของผมก็มากกว่าโกซุ ชิมะซึ่งเป็นอันดับ 3 ของธงที่ 1 ด้วย
หรือก็คือนักรบส่วนใหญ่ในที่แห่งนี้ต้องยอมรับว่าตัวเองอ่อนแอกว่ามิตสึรุกิ โซระ ผมละอยากจะรู้จริงๆ ว่าจะมีสักกี่คนที่ยอมรับมันได้จากใจจริงถึงความอัปยศนี้
ความโกลาหลคงได้ปกคลุมล้อมรอบลานประลองเอาไว้ อย่างไม่ต้องสงสัย
「เอาเถอะ จะคิดอะไรกันยังไงก็ตามใจ」
ผมหัวเราะเบาๆ ออกมา และในที่สุดแมงมุมดินก็สังเกตเห็นร่างของผมเสียที ผมก็เลยโบกมือให้มันไปทีหนึ่ง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่มันการยั่วยุขั้นสุด
มอนเตอร์ที่มีสติปัญญาแบบมันซึ่งรู้ถึงความหมายนี้ก็คำรามออกมาด้วยความโกรธอีกครั้ง
——–
Note 1 : รถไฟอวกาศมันกินเวลาจริงๆ
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code