การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม - ตอนที่ 427
บทที่ 427 – ความเชื่อใจและการฝากฝัง
แน่นอนว่า.. ทุกอย่างเป็นอย่างที่เลวี่กล่าวมานั่นแหละ เลทิเซียในตอนนี้อาจจะสามารถเดินทางข้ามต้นกำเนิดได้ก็จริง
แต่จากการคำนวณของเลวี่แล้ว.. บางที ‘โลก’ ที่เลทิเซียอยู่อาจจะไม่ใช่ ‘ต้นกำเนิดที่แท้จริง’ ไหนสักแห่งเลยก็ได้
เพราะไม่มีทางที่เวทมนตร์ก้าวข้ามวัฏจักรเธอจะสามารถใช้เดินทางข้ามต้นกำเนิดได้จริงๆ หรอก.. ไม่สิ จะให้พูดก็คือ
เวทมนตร์ข้ามวัฏจักรของเธอคือการก้าวข้าม ‘การเวียนว่ายตายเกิด’ เท่านั้น ต่อให้จักรพรรดิมังกรมันไปพัฒนาต่อมันก็ไม่มีทางถึงขั้นดึงข้ามมาจากอีกต้นกำเนิดที่แท้จริงได้แน่
เพราะยังไงซะมันก็คงไม่มีทางรู้จักต้นกำเนิดที่แท้จริงนั่นแหละ.. กล่าวคือต่อให้มันนำไปพัฒนาต่อ อย่างมาก..
มันก็แค่สามารถอัญเชิญคนมาจากโลกอื่นที่อยู่ในต้นกำเนิดที่แท้จริงเดียวกันนั่นแหละ.. แต่ตามหลักทั่วไปแล้วมันไปไม่ได้ไงล่ะ
เพราะโลกที่เลทิเซียจากมาเป็นโลกที่ไร้แนวคิดเรื่องเวทมนตร์ ไม่ใช่แค่พวกเขาไม่รู้จักเวทมนตร์เลยใช้ไม่ได้
แต่เพราะโลกนั้นไม่มีเวทมนตร์จริงๆ ต่างหากถึงใช้ไม่ได้เพราะโลกเดิมเลทิเซียเหมือนจะมีจินตนาการถึงเรื่องเวทมนตร์ต่างๆ อยู่..
อีกอย่าง.. พอมานึกๆ ดูแล้วการฉายซ้ำของประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ก็เหมือนจะมาจากโลกเดิมของเลทิเซียด้วยนี่น่า
ไม่ว่าจะอสูรมังกรอะไรทำนองนั้น หรือแม้แต่คนในประวัติศาสตร์ล้วนมาจากโลกเดิมของเลทิเซีย..
ตามคำอธิบายของเลทิเซีย เพราะในโลกนี้มีตัวตนที่เรียกว่าผู้หญิงผมทอง… เทพผู้สร้างและเลทิเซียอยู่เลยทำให้เผ่าอสูรถือกำเนิดขึ้นมา [1]
บางทีแล้ว.. นี่เป็นเพียงแค่การคาดเดาของเลวี่ บางทีทั้งเลทิเซียและเทพผู้สร้างหรือผู้หญิงผมสีทอง อาจจะมาจากโลกนั้น
โลกเดียวกัน!
กล่าวคือโลกนั้นต้องไม่ใช่ ‘ต้นกำเนิดที่แท้จริง’ แต่เป็นบางสิ่งบางอย่างที่แปลกประหลาดออกไป
ซึ่งหากเป็นแบบนั้นการจะส่งกลับคงมีแค่วิธีเดียว คือวิธีย้อนทวนเวทมนตร์ข้ามวัฏจักรกลับไปจะทำให้เกิดการกลับด้าน
ถึงจะส่งกลับไปได้.. เพราะหากโลกนั้นไม่ใช่ต้นกำเนิด แต่เป็นที่ไหนสักแห่งต่อให้เป็นเลทิเซียก็ข้ามไปไม่ได้แน่นอน
ถึงเลวี่จะไม่มั่นใจว่าเลทิเซียสามารถข้ามต้นกำเนิดได้หรือไม่ก็ตาม… แต่เธอคิดว่าการจะข้ามไป ‘โลกเดิม’ ของเลทิเซีย
ไม่มีวิธีไหนที่ปลอดภัยไปกว่าวิธีของเธอแล้ว..
แน่นอนว่าทุกอย่างเป็นอย่างที่เลวี่ว่ามานั่นแหละ โลกเดิมของเลทิเซียแม้กล่าวว่าเป็นอีกต้นกำเนิด แต่ความจริงแล้วมันไม่ได้อยู่ในต้นกำเนิดไหนเลย
แต่ในขณะเดียวกันมันก็เหมือนกับอยู่ทุกที่ทุกเวลาเช่นเดียวกัน.. การที่จะเดินทางไปยังโลกแห่งนั้นได้มันไม่สามารถทำได้ด้วยวิธีปกติ
ต่อให้เป็นลูกบาศก์สีดำของเลทิเซียก็ยังพาไปไม่ถึงอยู่ดีนั่นแหละ บางทีคนที่รู้เรื่องโลกเดิมนั้นได้ในตอนนี้คงมีเพียงแค่สามคน
ประกอบไปด้วย ผู้หญิงผมสีทอง เทพผู้สร้างและอเล็กเซีย
แน่นอนว่าเลทิเซียนั้นสามารถข้ามต้นกำเนิดไปมาได้ แต่นั่นก็เป็นเพราะลูกบาศก์สีดำอีกต่างหาก
แม้เลทิเซียจะสามารถควบคุมมันได้ แต่ถ้าหากเธอไม่สามารถกำหนดเป้าหมายได้ก็คงไม่สามารถไปยังโลกนั้นได้เหมือนกันนั่นแหละ
แถมนั่นเป็นโลกที่สร้างพวกสิ่งมีชีวิตเหนือมิติอย่างผู้หญิงผมสีทองและเทพผู้สร้างได้ นั่นคงไม่ใช่ธรรมดาแน่ๆ
และพอเลทิเซียมาคิดดู ‘โลก’ ที่ธรรมดาของเธอที่สุด ตอนนี้กลับกลายเป็นโลกที่ดูลึกลับที่สุดแล้วซะอย่างนั้น
แน่นอนการที่เลวี่สามารถหาวิธีกลับได้ไม่ใช่ว่าเธอแข็งแกร่งกว่าเลทิเซียแต่อย่างใด เธอเพียงแค่ทำให้เวทมนตร์ที่เธอสร้างขึ้นถูกกลับตาลปัตร
จะส่งผลให้เธอถูกส่งกลับคืนได้.. แต่ทุกสิ่งทุกอย่างมันคงไม่ง่ายขนาดนั้นอย่างแน่นอน เพราะตอนนี้น้องสาวเลทิเซียไม่มีสติเพราะถูกควบคุม
เธอคงไม่มีทางอยู่เฉยๆ หรอก แถมเลวี่จะไม่ให้เลทิเซียยุ่งด้วย ดังนั้นเธอจึงจ้องไปที่เวโรเน่และเลทิเซีย
“ฝากเจ้ามังกรสองคนนั้นด้วย”
มือเลทิเซียยกขึ้นราวกับต้องการจะหยุดเลวี่เอาไว้ แต่เลวี่ก็ยกมือขึ้นมาจับมือเลทิเซียเอาไว้พร้อมกับยิ้มขึ้น
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกเลทิเซีย…. เชื่อใจข้าสิ!”
“….ฉัน…”
“เลทิเซีย เธอไม่ต้องแบกอะไรไว้คนเดียวหรอกนะ พวกเราน่ะเป็นเพื่อนไม่ใช่เหรอ แถมตอนนี้เรายังเป็นครอบครัวเดียวกันอีก”
“…..”
“เชื่อใจข้า.. ข้าจะช่วยแบ่งเบาภาระเจ้าเองนะ!”
ดวงตาจริงจังของเลวี่จ้องลึกไปในดวงตาของเลทิเซีย เลทิเซียก็มองเข้าไปในดวงตาของเลวี่เช่นกัน
ตลอดมาเลทิเซียพยายามจะทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะย้อนเวลากลับไปเพื่อช่วยเหลือเหล่าคนสำคัญ
หรือแม้แต่พยายามจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง เธอต้องทำมันให้ได้ ต้องฝ่าฟันมันไปให้ได้ เธอไม่ใช่คนขี้ขลาด เธอไม่ใช่คนไร้ค่าเหมือนตัวเองคนก่อนแล้ว
แต่พอรู้ตัวอีกที ก็กลายเป็นว่าตอนนี้เธอกลับแบกทุกอย่างไว้บนบ่าเพียงคนเดียว.. ไม่ใช่ว่าเธอไม่ต้องการให้ใครช่วย
แต่เพราะเธอไม่เหลือใครแล้วต่างหาก..ไม่ว่าจะเพื่อนหรือคนสำคัญทุกคนต่างพากันตกตายไปทีละคน..ทีละคน
ตายด้วยฝีมือเธอเอง ดังนั้นเธอจึงต้องแก้ไข.. แก้ไขทุกอย่างด้วยตัวของเธอเอง หากเธอยอมแพ้.. ยอมแพ้แล้วก็ นอนร้องไห้
ก็จะกลายเป็นว่าเธอก็ติดอยู่ในตัวตนเดิมๆ ของตัวเอง
“สุดท้ายแล้วเธอมันก็ขี้ขลาดเหมือนเดิม.. เลทิเซีย”
“สุดท้ายแล้วเธอมันก็ยังเป็นไอ้เรน.. ไอ้ผู้ชายไร้ค่าที่ให้น้องสาวร้องคอยปลอบและคอยดูแล”
“เธอขอพรสามข้อนั้นไปทำไม ทำไมถึงจ้อให้ร่างกายตรงกันข้ามกับโลกเดิม ทำไมถึงขอแบบนั้นออกไป?”
“เพราะเธอไม่ต้องการจะเป็นไอ้คนขี้ขลาดที่ชื่อเรนนั้นไม่ใช่เหรอ ไม่ใช่ว่าเพราะเธอต้องการจะทิ้งตัวตนเก่าเพื่อให้ทุกอย่างดีขึ้น”
“แต่แล้วยังไงล่ะ.. สุดท้ายเธอก็ไม่ยอมรับใคร.. จนทุกคนก็ค่อยๆ ตายไปจนหมด ท้ายที่สุดเธอก็จะไม่เหลืออะไรอีกเลย”
ความกลัว.. ความสับสนในตัวเองของเลทิเซียนั้นมันช่างมีเยอะมากมายเหลือเกินกลัวที่จะสูญเสียเลวี่ไปอีกครั้ง
ความรู้สึกที่ต้องสูญเสียนั้นเธอไม่อยากสัมผัสมันอีกแล้ว.. แต่.. แต่เธอเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ เป็นครอบครัวไม่ใช่เหรอ
ไม่ใช่ว่าเธอต้องเชื่อใจเพื่อนงั้นเหรอ… ทำไมเธอถึงไม่กล้าเชื่อใจล่ะ..เลทิเซียยามนี้แม้จะแข็งแกร่งไร้เทียมทาน
แต่เธอกลับกังวล.. กังวลว่าควรจะเชื่อใจเลวี่.. หรือจะ หยุดเธอดี?
แต่ในตอนนั้นเองเวโรเน่ก็ยกมือขึ้นมาจับมือของเลวี่และเลทิเซีย.. ตอนนี้เหมือนกับได้ย้อนเวลากลับเมื่อห้าร้อยปี
สำหรับเลวี่และเลทิเซีย.. มันอาจจะเป็นเวลาชั่วครู่ แต่เวโรเน่นั้นมันช่างยาวนาน.. ดังนั้นเมื่อเห็นทั้งสามคนอยู่กันครบ
มันจึงเป็นความรู้สึกที่เหมือนกับได้ย้อนกลับไปช่วงเวลาแปดเดือนแห่งความสุขเมื่อห้าร้อยปีก่อน
เวโรเน่เธอไม่ได้พูดอะไร แต่การกระทำของเธอมันก็ยังแสดงความชัดเจนว่าเธอจะเชื่อใจเลวี่.. เพราะว่าเธอน่ะคือเพื่อน..และครอบครัว!
“เวโรเน่…”
เลทิเซียที่กำลังสับสนในตัวเอง พอเวโรเน่จับมือเลทิเซีย เลทิเซียก็เงยหน้าขึ้นมองเวโรเน่
เวโรเน่มองไปที่เลทิเซีย เธอยิ้มออกมาพร้อมกับพยักหน้าให้..
เลทิเซียกัดริมฝีปาก..
ใช่แล้ว.. พวกเธอเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ เป็นครอบครัวกันไม่ใช่เหรอ…
เลทิเซียกัดริมฝีปากพร้อมกับพยักหน้า..
“ฉันเข้าใจแล้ว.. ฝากเรื่องของลูเซียด้วยนะ…”
“ขอบคุณ.. ที่เชื่อใจข้า!”
………
[1] จากบทที่ 350