กลัวผีจะตาย..แล้วไหงถึงได้กลายเป็นผู้อัญเชิญวิญญาณ.. - ตอนที่ 16
ตนที่ 16 ความรู้สึก..
“เมื่อกี้เธอบอกว่าเธอชื่ออะไรนะ..?”
“ก่อนจะถามชื่อของคนอื่น คุณควรจะบอกชื่อของตัวเองก่อน ในเมื่อผมรักษามารยาทและให้เกียรติคุณแล้ว แต่คุณกลับเป็นคนทำลายมัน ผมคงจะไม่ต้องบอกนะว่าคุณควรจะต้องทำยังไง..?”ผมที่พูดสอนมวยใส่ชายตรงหน้า ถึงกับทำให้ดวงตาของอีกฝ่ายเริ่มที่จะเบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆ
“หึ..”ชายตรงหน้าที่กระตุกรอยยิ้มออกมา ก่อนที่เขาจะค่อยๆใช้ฝ่ามือดันที่พักแขนของเก้าอี้และชันตัวลุกขึ้นยืน..
ฟุบ..!!!
“ฉันชื่อ เอลเปียโซ่ วาดีเนส คอฟฟี่..เจ้าของคฤหาสถ์แห่งนี้..แล้วเธอล่ะมีชื่อว่าอะไร..?”ชายตรงหน้าที่ยกแขนขึ้นมาแนบอก โค้งตัวลงเล็กน้อย พร้อมกับกล่าวคำแนะนำตัว
“ผมชื่อหมื่นกรินณ์ คชสาร..ต้องขอขอบคุณ คุณเอลเปียโซ่ วาดีเนส ที่ให้ที่พักสำหรับผมตลอดหลายวันที่ผ่านมา..”
เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าให้เกียรติ ก็ไม่มีเห็นผลที่ผมจะต้องทำตัวแข็งกระด่างอีกต่อไป..
“เรียกฉันว่าเอสเปรสโซ่ก็ได้..แต่ถ้ามันยังยาวไปอีกก็เรียกสั้นๆว่าเอสเฉยๆ”
เออ..เอาเข้าไป..ผมล่ะเชื่อเขาเลย หวังว่าแม่ของลาเต้คงจะไม่ได้ชื่ออาราบิก้าหรอกนะ..
“ถ้าอย่างงั้นเรียกผมสั้นๆว่าช้างก็ได้ครับ..”ผมที่พูดกับเอส ซึ่งเขาก็พยักหน้ารับ..
“นั่งสิ..”เอสที่พูดกับผม พลางมองลงไปยังเก้าอี้ที่วางอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเก้าอี้ของเขา
ผมที่เดินมานั่งลงบนเก้าอี้ตามคำเชิญชวนของเอส ในเวลานี้มีโต๊ะทำงานตัวเล็กๆที่กั้นกลางระหว่างเราทั้งสองคนเอาไว้..
“ฉันได้ยินมาจากลาเต้บ้างแล้วล่ะ..ลาเต้ดูเหมือนจะชอบเธอมาก ทั้งๆที่ไม่เคยสนใจผู้ชายคนไหนมาก่อน..”
“เธอบอกคุณหรอครับ..?”ผมที่ถามกับเอสด้วยความสงสัย ทั้งๆที่พึ่งจะเจอกัน เธอคงจะไม่มาชงมาชอบอะไรผมหรอก..เว้นเสียแต่..
“ลาเต้อยากจะแต่งกับเธอด้วยซ้ำ..ฉันถึงต้องเรียกเธอมาคุยกันแบบตัวต่อตัวนี่แหละว่าจะเอายังไง..?”
“ผมว่ามันคงจะต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่ๆ..”
ตุม..!!!
“นี่แกจูบลูกสาวของฉันไปแล้ว ยังมีหน้ามาปฏิเสธอีกหรอ..!!?”เอสที่จู่ๆก็ทุบกำปั้นลงบนโต๊ะ จนโต๊ะสั่นสะเทือน พร้อมกับตวาดถามผมด้วยความโกรธ..เดี๋ยว..? ผมไปจูบกับลาเต้ตอนไหนว่ะ..?
“ผมไม่รู้ว่าคุณพูดเรื่องอะไร..”
“แก..กร่อด..เดรียโบ..!!!!!”
ชิ้ง..!!!!
เอสที่โกรธจนเลือดขึ้นหน้า ก่อนจะกัดฟันสบถเรียกชื่อของใครบางคนออกมา และทันใดนั้นจู่ๆก็มีอะไรบางอย่างปรากฏตัวออกมาจากเงาของผมทางด้านหลัง
เมื่อมันโผล่ออกมาจนเต็มตัว มันก็เผยให้เห็นอัศวินเกาะหนัก ชุดเกราะของมันเป็นสีดำทมิฬ มีผ้าคลุมไหล่สีแดงติดอยู่บนบ่า แถมในตอนนี้มันกำลังใช้ดาบเคลย์มอลสีดำจี้เข้ามาที่คอหอยของผมจากทางด้านหลัง
“ขอแนะนำให้อยู่นิ่งๆ..”อัศวินเกาะทมิฬที่พูดขึ้น..
“เอาจริงๆ เมื่อกี้ฉันถูกใจแก จนเผลอคิดที่จะยกลาเต้ให้ อีกอย่างเห็นว่าเป็นผู้ชายคนแรก และคนเดียว ที่ลาเต้เอ่ยปากว่าอยากจะแต่งงานด้วย แต่ตอนนี้ฉันเปลี่ยนใจแล้วล่ะ อยากจะเฉือดคอแกให้ขาดซะเดี๋ยวนี้..”เอสที่พูดกับผมด้วยความเกรี้ยวกราด ดวงตาคู่เย็นชากำลังปะทุความพิโรษออกมาให้ได้เห็น ส่วนทางด้านของผมก็ได้แต่นั่งนิ่งๆ แต่แล้วมันก็กลับกลายเป็นผมเสียเองที่จ้องมองคนตรงหน้าด้วยสายตาที่เย็นชา..
“แต่ถ้าฆ่าแกไป..ลาเต้ก็คงจะต้องเสียใจมากแน่ๆ เพราะฉะนั้นฉันจะให้โอกาสแกอีกครั้ง และฉันจะนับถึงแค่ 3 จะรับผิดชอบหรือจะยอมถูกตัดหัวก็จงเลือกเอา..”
“1..!!!”
“ผมไม่รู้หรอกนะว่าลาเต้เล่าอะไรให้คุณฟัง..”ผมที่พูดกับเอสด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แววตาและความรู้สึกไร้ซึ่งความหวาดกลัว..
“2..!!!”
เมื่อเอสนับถึงสองผมก็ไม่มีอะไรที่จะพูดกับเขาอีกต่อไปแล้ว
“3..!!!”
“เดี๋ยวก่อน..”
“หึ..!!”
รอยยิ้มที่แสยะออกอย่างเย้ยหยัน จากการที่เมื่อเอสนับถึงสามผมก็กล่าวขัดขึ้นมา
“หึ..ยังดีที่มีสมอ..ง…”
ฟุบ..!!
ผมที่ค่อยๆยกมือขึ้นมาจับใบดาบที่จี้อยู่ตรงบริเวณลูกกระเดือก ก่อนจะค่อยๆเลื่อนมันให้ต่ำลงมาอีกนิด..
“ถ้าคิดที่จะตัดหัว ขอแนะนำให้ตัดตรงนี้ มันจะตัดได้ง่ายกว่า..”ผมที่พูดพลางแสยะรอยยิ้มอย่างเย้ยหยันกลับไป เมื่อคนตรงหน้าเห็นเช่นนั้นก็เบิกดวงตากว้างโตด้วยความตกตะลึง
“เอาสิ..รออะไร..?”ผมที่เงยหน้าขึ้นไปกล่าวกับอัศวินเกาะทมิฬที่ในเวลานี้กำลังมือสั่นเหมือนโกรธจนอยากจะเฉือนคอของผมจริงๆ
“ตายซ่ะ..!!”อัศวินชุดดำที่ส่งเสียงตวาดออกมา และกระชับดาบในมือเตรียมที่จะลงดาบ..
“เดรียโบ..!!”
กึก..
“ถ้าอย่างนั้น ขอตัวก่อน..”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่กล้าลงมือ ผมจึงค่อยๆชันตัวลุกขึ้นยืน ส่วนเอสนั้นยังคงนิ่งค้าง สายตาก็พลางจ้องมองมาทางผมอย่างอึ้งๆ
“จะไปไหน..”อัศวินเกาะหนักที่เอื้อมมือมาคิดที่จะจับหัวของผม..
“วาโธโมอะมะมะวาวา..เฮ้ย..!!!!!!!”
กึก..!!
ผมที่ยกฝ่ามือขึ้นมาพนม พร้อมร่ายคาถาด้วยความเร็วไว ทันทีที่สิ้นเสียงตวาด ฝ่ามือที่กำลังเอื้อมมาพลันต้องหยุดชะงักอยู่กับที่
“อะ..อะไรกัน..!!”
ตุบ ตุบ ตุบ
ผมที่ค่อยๆย่างกายเดินผ่านร่างของอัศวินชุดดำไป โดยที่ร่างกายของมันและเอสในขณะนี้ ไม่สามารถที่จะขยับตัวได้จากการถูกมนต์สะกด..
“นะ..นี่มัน อะไรกัน..!!”เอสที่พยายามฝืนร่างกายเพื่อขยับตัว แต่มันก็ไม่สามารถที่จะทำได้..
“คุณเอส..”ผมที่เดินมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้อง ก่อนจะเอื้อมแขนไปดึงเอามีดสั้นที่ปักอยู่บนชั้นหนังสือออกมา..
“ไม่มีพ่อโลกไหนหรอกนะ ที่จะยกลูกสาวให้กับผู้ชายแปลกหน้าที่พึ่งจะเจอกันได้แค่ไม่กี่วัน และผู้หญิงดีๆที่เขามีเกียรติ เขาจะไม่สั่งให้พ่อเอาดาบมาจี้คอของคนที่อยากจะแต่งงานด้วยหรอกนะ..”ผมที่พูดขึ้น โดยที่ไม่ได้หันไปมองหน้าเอส จึงทำให้ไม่เห็นถึงสีหน้าของเขาในเวลานี้
“ฝากบอกลูกสาวของคุณด้วย ผมไม่ใช่คนดีอะไรอย่าได้คิดเอาชีวิตมาฝาก..ส่วนมีดเล่มนี้ผมขอคืนให้..”
ฟุบ..!!!
ฟ้าว..!!!!!!!
ฉึก..!!!!!!
เมื่อพูดจบประโยค ผมก็หมุนตัวบิดเอว ก่อนจะเหวี่ยงแขนปามีดออกไป มีดที่หมุนควงอยู่หลายตลบ พุ่งทะยานปักเข้าไปยังเก้าอี้ที่เอสกำลังนั่งอยู่ ห่างจากใบหน้าของเขาไปเพียงแค่ไม่กี่เซนติเมตร..
“กรุณารักษาเกียรติ..ไม่ใช่ในฐานะขุนนาง แต่เป็นในฐานะลูกผู้ชาย…”ผมที่พูดกับเอส ในเวลานี้บนใบหน้าของเขาปรากฏเหงื่อเม็ดโตที่ผุดขึ้นมา ไหลจากขมับลงสู่ปลายคาง ถึงผมจะไม่รู้ว่าเขาเป็นขุนนางจริงๆหรือเปล่า แต่ดูจากคฤหาสถ์หลังใหญ่นี้ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น..
“คลาย..!!”
เป๊าะ..!!
ผมที่ดีดนิ้วคลายมต์สะกดจึงทำให้ร่างทั้งสองนั้นสามารถกลับมาขยับตัวได้อีกครั้ง
“แก..!!!!”
“เดรียโบ..!!”
ทันทีที่อัศวินชุดดำหลุดออกจากมนต์สะกด มันก็คิดที่จะเข้ามาโจมตีผม แต่ก็ต้องถูกเอสที่พูดขัดเอาไว้เสียก่อน..
แกร๊ก..
“ดะ..เดี๋ยวก่อน..”เอสที่เปลี่ยนท่าทีไปราวกับเป็นคนละคนลุกพรวดขึ้นมา พร้อมทั้งส่งเสียงเรียกในขณะที่ผมกำลังเปิดประตูและจะเดินออกจากห้องไป..
“ผมไม่ได้เป็นคนจูบลูกสาวของคุณ นอกเสียจากลูกสาวของคุณจะเป็นคนมาจูบผมเอง..”
ปัง..
ผมที่พูดทิ้งท้ายกับเอสเอาไว้ ก่อนจะเดินออกจากห้องและปิดประตูลง
ตุบ..
หลังจากที่ช้างนั้นจากไป เอสก็ค่อยๆทิ้งตัวลงกลับไปนั่งบนเก้าอี้ ใบหน้าของเขาในเวลานี้กำลังรู้สึกตะลึงอยู่ไม่ใช่น้อย จากเหตุการณ์ทั้งหมดที่พึ่งจะเกิดขึ้น..
“เดรียโบ..ในสายตาของเจ้า เจ้าว่าชายคนเมื่อครู่เป็นยังไงบ้าง..?”เอสที่หันไปตั้งคำถามกับจิตวิญญาณอัญเชิญระดับ 3 ดาวของตน ที่ในเวลานี้มันกำลังยกดาบสีทมิฬขึ้นมาจ้องมองด้วยความแปลกใจ..
“เป็นชายที่ถ้ามองดูเผินๆ จะเหมือนคนโง่เขลา แต่มันกลับไม่ใช่ เขานั้นช่างเป็นคนที่กล้าหาญ..”
“หืม..ชายคนนั้นช่างน่าสนใจจริงๆ ถึงขนาดที่เจ้าให้การยอมรับ..”เอสที่พูดขึ้น..ก่อนจะดึงมีดที่ปักอยู่ข้างๆออกมา..
“เอส..เจ้ารู้หรือเปล่า..? ว่าเมื่อกี้ข้าทนไม่ไหวลงดาบเฉือนคอของเจ้านั่นไปแล้ว..แต่ดาบของข้ากลับเฉือนคอของมันไม่เข้า..”เดรียโบที่พูดขึ้น ถึงกับทำให้ดวงตาของเอสพลันต้องเบิกกว้าง..
“ปะ..เป็นความจริงงั้นหรอ..?”เอสที่ถามออกมาอย่างตะกุกตะกัก เพราะไม่คิดว่าจิตวิญญาณของตนจะทำเช่นนั้นจริงๆ
“จริง..”
ฟุบ..!!
ฉับ..!!!
เดรียโบที่พยักหน้าพร้อมกับให้คำตอบ ก่อนที่มันจะสบัดวาดดาบฟันเข้าไปยังเก้าอี้ตรงหน้าของเอส ผลปรากฏว่าทันทีที่คมดาบวาดผ่าน เก้าอี้ก็ถูกตัดขาดออกเป็นสองท่อนในทันที..
“ดูเหมือนเจ้านั่นจะไม่ใช่คนธรรมดา มันมีพลังลึกลับซ่อนเอาไว้อยู่..”เดรียโบที่พูดทิ้งท้ายเอาไว้ ก่อนที่ร่างของมันจะกลายเป็นเงาและอันตธารหายไป..
“สงสัยฉันคงจะต้องเรียกลาเต้มาคุยเป็นการส่วนตัว..”
เมื่อพูดจบเอสก็ค่อยๆเดินอ้อมไปยังประตูอีกบานที่ซ่อนอยู่ไม่ไกล ก่อนจะเปิดมันและย่างกายเดินออกจากห้องแห่งนี้ไป
ตัดกลับมาที่ทางด้านของช้าง..
แกร๊ก..
ทันทีที่ผมเปิดประตูออกมา ก็พบว่าชบากำลังยืนรออยู่ ส่วนลาเต้ในตอนนี้หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้
“เป็นยังไงมั้ง..?”ชบาที่เอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ก็เป็นแค่พ่อทั่วๆไปที่หวงลูกสาว..พวกเราก็ไปกันเถอะ ฉันอำลากับเจ้าของคฤหาสถ์เรียบร้อยแล้ว..”
“อะ..อ้าว จะไม่ไปบอกลาเต้สักหน่อยหรอ..?”
“ฉันฝากพ่อของเธอไปบอกแล้วล่ะ..”ผมที่หลบสายตาของชบาและบอกเธอ
“เกิดอะไรขึ้น..บอกความจริงมาอย่าโกหก..”
“เฮ้อ..เอาไว้เราออกไปจากที่นี่ก่อน เดี๋ยวฉันจะเล่าให้ฟัง..”ผมที่ถอนหายใจออกมา ก่อนจะเดินนำชบาไป..
ณ ห้องรับแขกของคฤหาสถ์คอฟฟี่..
ภายในห้องที่หรูหราและกว้างขว้าง ใจกลางของห้องมีโซฟาหนังถูกวางเอาไว้อยู่สองตัวด้วยกัน มันถูกวางในลักษณะที่หันหน้าเข้าหากัน..
“มาแล้วสินะ..”เอสที่ชำเลืองสายตามองไปยังร่างทั้งสองที่กำลังเดินเข้ามา ซึ่งนั่นก็คือลาเต้กับมาเรียที่กำลังเดินเข้ามาภายในห้อง..
“เขาเป็นยังไงบ้างท่านพ่อ..?”ลาเต้ที่กล่าวถามออกมาอย่างเริงร่า พลางมองไปที่ผู้เป็นพ่อที่กำลังนั่งไขว่ห้างเอนกายอยู่บนโซฟา..
“นั่งลง..เรามีเรื่องที่ต้องคุยกัน..”เอสที่พูดกับลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนด้วยสีหน้าดุดัน ถึงกับทำให้ลาเต้กลืนน้ำลายลงคอและเริ่มที่จะสังหรณ์ใจไม่ดี..
5 นาทีต่อมา..
“ลาเต้..!!! เป็นเพราะเจ้า..ถ้าจะเล่าทำไมไม่เล่าให้มันชัดเจน เจ้าเป็นคนไปจูบเขาเองแล้วทำไมถึงไม่บอก..”
หลังจากที่ลาเต้เล่าเรื่องทั้งหมดให้เอสฟัง เขาก็โกรธจัด ก่อนจะต่อว่าและอบรมสั่งสอนบุตรสาวไปชุดใหญ่ ซึ่งลาเต้ก็ได้แต่นั่งก้มหน้าสำนึกผิด โดยมีมาเรียที่ยืนก้มหน้าสำนึกผิดอยู่ข้างๆ เพราะเธอเองก็ไม่ได้บอกความจริงให้กับเอสฟังตั้งแต่ทีแรก..
“มาเรีย..ไปพาชายคนนั้นมา ฉันจะต้องขอโทษเขาเป็นการส่วนตัว..”
“จะ..เจ้าค่ะ นะ..นายท่าน..”มาเรียที่ก้มหัวโค้งตัวลงจนตัวแทบพับ ก่อนจะวิ่งออกจากห้องเพื่อไปพาตัวช้างมาหาเอส..
“ฟู้ว..ดีจัง~”ลาเต้ที่ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก..
“อะไรที่ว่าดี..?”เอสที่ยังคงรู้สึกโกรธกล่าวถามลาเต้ด้วยสีหน้าที่แสดงออกถึงความไม่สบอารมณ์..
“ดี..ที่ท่านพ่อยังไม่ได้ฆ่าช้าง..”
“หึ..เจ้ารู้หรือเปล่าว่าไอ้ช้างนั่น..มันต่างหากที่จะเป็นฝ่ายฆ่าพ่อ..”เอสที่พูดออกมาแบบตรงๆ โดยที่ไม่กลัวเสียฟอร์ม..
“ของมันแน่อยู่แล้ว..เขาสามารถฆ่าจิตวิญญาณอัญเชิญระดับ 2 ดาว ได้ด้วยมือเปล่า อย่างท่านพ่อน่ะไม่คณามือของเขาหรอก..”ลาเต้ที่ตอบกลับ การสนทนาของครอบครัวนี้เป็นอะไรที่ยากเกินจะเข้าใจ..
“ปะ..เป็นความจริงงั้นหรอ..? มะ..มือเปล่าเนี่ยนะ..?”เอสที่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นระรัวและไม่อยากจะเชื่อ..
“เห็นมากับตาเลยล่ะ..แถมจิตวิญญาณอัญเชิญของเขา ยังเป็นจิตวิญญาณอัญเชิญระดับ 6 ดาว ถ้าให้เดาเขาอาจจะเป็น 1 ใน 4 จตุรเทพของอาณาจักรไหนสักอาณาจักร..”
“ยะ..แย่ละสิ..พ่อล่วงเกินเข้าไปตั้งเยอะ ถ้าเป็น 1 ใน 4 จตุรเทพจริงๆล่ะก็ หายนะมาเยือนตระกูลของเราแน่ๆ เป็นเพราะเจ้าที่ไม่ยอมเล่าเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ทีแรก เฮ้อ..ข้าจะบ้าตาย”เอสที่พลันต้องยกมือขึ้นมากุมขมับอย่างเคร่งเครียด..
“ไม่ได้การล่ะ..พ่อคงจะต้องไปขอโทษเขาด้วยตัวเอง..”
“แย่แล้วค่ะ..คุณหนู นายท่าน..!!”
พูดจบเอสก็ชันตัวลุกขึ้น แต่ในช่วงจังหวะนั้นมาเรียก็วิ่งหน้าตื่นเข้ามาภายในห้อง
“เกิดอะไรขึ้น..?”เอสที่กล่าวถามด้วยความร้อนรนใจ..
“คุณช้างกับคุณชบาไม่อยู่แล้วค่ะ..”
“ว่ายังไงนะ..!!”ลาเต้ที่ลุกพรวดขึ้นมา พร้อมกับส่งเสียงกู่ร้อง
ตัดกลับมาที่ทางด้านของช้าง..~
หลังจากที่ผมและชบาเดินทางออกมาจากคฤหาสถ์คอฟฟี่ ผมก็ต้องตกตะลึงจนตาค้าง ทันทีที่ได้เห็นเมืองหลวงที่ผมกำลังอยู่ มันเป็นเมืองที่ดูเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก
ถนนทางเดินถูกปูด้วยอิฐเป็นล็อกๆ ร้านขายของส่วนใหญ่ก็ดูต่างจากเมืองฟาเซียอย่างลิบลับ อีกทั้งยังมีทหารเกาะหนักที่คอยเดินตรวจตราลาดตระเวนอยู่ภายในเมืองตลอดเวลา
อาคารบ้านเรือนต่างๆมากมายที่อยู่โดยรอบถูกสรรค์สร้างขึ้นมาจากวัสดุชั้นดี แถมถ้ามองออกไปไกลๆจะพบว่ากำแพงเมืองนั้นมีขนาดที่สูงใหญ่และมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา ช่างเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจ..
ต่อจากนั้นผมและชบาก็พากันเดินชมรอบๆเมือง มีผู้คนมากมายที่เดินสวนทางกันไปมา ภายในเมืองนั้นดูสงบสุข
“เรื่องทั้งหมดก็เป็นแบบนี้แหละ..”ผมที่เล่าเรื่องราวให้ชบาได้รับฟัง ในเวลานี้เราสองคนกำลังนั่งอยู่ที่ขอบน้ำผุ ในสวนสารธาณะที่ไหนสักแห่งภายในเมือง สารธาณะแห่งนี้มันดูเงียบๆแถมยังไม่มีใครมาเดินเล่นด้วย บรรยากาศมันเลยดีๆสุดไปเลย..
“ก็น่าจะบอกลาเต้สักนิด ดูเหมือนเธอจะชอบนายเอามากๆเลยนะ 1 อาทิตย์ที่นายหมดสติไป เธอก็แวะมาหานายอยู่ตั้งหลายครั้ง..”
“งั้นเหรอ แต่ฉันเฉยๆ..”
“เถอะน่า..กลับไปบอกเธอสักหน่อย..นี่เป็นโอกาสทองของนายเลยนะ..”ชบาที่ดูเหมือนจะคะยั้นคะยอผมมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วพูดขึ้น..
“โอกาสทองอะไร..?”
“ความฝันที่นายอยากจะมีเมียสัก 10 คนไง..แถมลาเต้ก็ยังสวยด้วย..”ชบาที่พูดอย่างยิ้มๆ
“อุ๊บ..ฮ่าๆ ๆ งั้นหรอ..งั้นหรอ ไม่อ่ะ..ยัยนั่นไม่ได้อยู่ในสเป็คของผู้หญิงที่ฉันชอบ..”ผมที่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา เมื่อรู้ว่าสิ่งที่ผมเคยพูดเล่นๆ ชบากลับเอามันมาใส่ใจ
“ชิ..เรื่องมาก และก็เลือกมากจังแห๊ะ..แล้วนายชอบผู้หญิงแบบไหนกันล่ะ..?”
ฟุบ..!!!
“แบบเธอไง..”ผมที่ฉวยโอกาสโอบร่างของชบาที่นั่งอยู่ข้างๆเข้ามาสวมกอด ก่อนจะค่อยๆเขยื้อนใบหน้าเข้าไปใกล้เธอ
“นะ..นาย..อุ๊บ..”ชบาที่หน้าแดงก่ำพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้พูดอะไรมากไปกว่านี้ ผมก็ค่อยๆเขยื้อนใบหน้าเข้าไป ก่อนจะประทับริมฝีปากของเธออย่างแผ่วเบา..
“อื้อ..~”
ริมฝีปากของเราทั้งสองที่ผสานเข้าหากัน โดยที่ชบาก็ไม่ได้ปฏิเสธ ผมที่ค่อยๆสอดแทรกลิ้นเข้าไปสัมผัสกับลิ้นของชบา ก่อนที่ลิ้นของเราสองจะผสานพัวพันกัน มันช่างเป็นสัมผัสที่วิเศษ และเมื่อผมทำในสิ่งที่ต้องการจนพอใจ ผมจึงค่อยๆถอนริมฝีปากออกมาอย่างช้าๆ..
“ถ้าอยากจะช่วยทำให้ความฝันของฉันเป็นจริงล่ะก็ เธอช่วยมาเป็นเมียคนแรกของฉันจะได้หรือเปล่า..?”
เอ๊ะ..? นี่ผมขอลัดขั้นตอนไปหรือเปล่านะ..? จริงๆแล้ว มันจะต้องเริ่มจากคบก่อนสิ เล่นขอเป็นเมียเลยเธอคงจะยอมหรอก ไอ้บ้าเอ๊ย..!!
“ชะ..ช่วยไม่ได้ ถะ..ถ้าอย่างนั้น ฉะ..ฉัน ฉัน..”ชบาที่พูดออกมาอย่างตะกุกตะกัก ใบหน้าของเธอกำลังแดงก่ำ แถมดวงตายังกลอกกลิ้งไปมา..
“ฉันตกลง..”ชบาที่ให้คำตอบ ถ้าใส่เอ็ฟเฟ็คให้เธอได้ ในตอนนี้เธอก็คงจะเขินจนมีควันลอยออกมาจากตัว..
“จะ..จริงนะ..ฉันไม่เคยมีแฟนมาก่อนเลย เธอคือคนแรกเลยนะ..”ผมที่ก็รู้สึกเขินไม่ต่างอะไรกับชบา ความดีใจทำให้ร่างกายของผมอยู่ไม่เป็นสุข ได้แต่นั่งเอานิ้วชี้มาจิ้มกันเพื่อเก็บอาการ..
ติ๊ง..!!!
[เงื่อนไขในการปลดล็อคจิตวิญญาณตนที่ 2 :ช่วงชิงริมฝีปากของจิตวิญญาณอัญเชิญชบา 1/2 ]
หมายเหตุ:ถ้าผู้อัญเชิญเป็นฝ่ายถูกจิตวิญญาณอัญเชิญช่วงชิงจะถือว่าเป็นโมฆะ
เมื่อกี้นี้ระบบมันบอกอะไรอ่านไม่ทัน จู่ๆมันก็เด้งขึ้นมาแล้วก็หายวับไปในทันที เหมือนมันจงใจจะไม่ต้องการให้ผมอ่าน..
“นี่..ทำไมถึงเลือกฉันล่ะ..?”ชบาที่ถามขึ้น ดึงสติของผมให้คืนกลับมา..
“อืม..ทำไมนะ..? เอ๋..?”ผมที่ได้ยินในคำถามก็ยกฝ่ามือขึ้นมาชายคางตัวเอง พลางชำเลืองสายตามองชบาและอมยิ้ม..
“บอกมานะ..อยะ..อย่าแกล้งฉันสิ..”
“ถ้างั้นฉันขอถามเธอก่อนว่าเธอชอบฉันหรือเปล่า..?”
“ชะ..ชอบ..”
“เหตุผลที่ฉันเลือกเธอ เป็นเพราะว่าเธอไม่ได้ถูกมนต์สะกดของฉันยังไงกันล่ะ..”ผมที่อธิบายให้ชบาฟัง ซึ่งเมื่อได้รับคำตอบเธอก็มีสีหน้างุนงง
“ไม่เข้าใจ..?”
แพล็บ..
ผมที่ค่อยๆแลบลิ้นออกมา เมื่อชบาเห็นเช่นนั้นดวงตาของเธอก็เบิกกว้างขึ้น จากตัวอักขระสีทองที่ถูกสลักอยู่บนลิ้นของผม
“สาริกาลิ้นทอง..สรรพคุณมหาเสน่ห์..เธอไม่แปลกใจหรอว่าทั้งๆที่ลาเต้พึ่งจะเจอฉัน ทำไมเธอถึงหลงฉันมากขนาดนี้..?”
เหตุผลที่ผมอธิบายให้ชบาฟัง มันน่าจะเป็นไปตามการคาดเดา เพราะตั้งแต่ตอนที่ได้สติบนรถม้า ผมก็เริ่มที่จะทดลองใช้สาริกา ถึงแม้มันจะไม่ได้ให้ผลลุ่มหลงขั้นรุนแรง แต่มันก็สามารถที่จะทำให้ลาเต้รู้สึกหวั่นไหวได้ง่ายขึ้น
แต่ยันต์สาริกานี้ หลังจากที่ใช้มันไม่ได้เด้งขึ้นมาในระบบสเตตัส มันอาจจะเป็นเพราะยันต์นี้ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ เหตุผลเป็นเพราะว่าในตอนที่ผมสักมัน ผมนั้นแบกรับความเจ็บปวดไม่ไหว จึงสักได้เพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น
และนอกเหนือจากนี้ สิ่งที่ผมรู้เพิ่มเติมขึ้นมาอีกก็คือถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้เปิดใช้งานยันต์ที่เหลือ แต่มันก็ยังคงสำแดงพลังออกมาให้ได้เห็น ถ้าไม่ติดว่าผมมีอีก 5 ยันต์ที่ให้สรรพคุณคงกระพันชาตรี ป่านนี้หัวของผมก็คงจะขาดไป ตั้งแต่ในตอนที่อัศวินทมิฬนั้นเผลอหลงดาบใส่คอของผม..
“งั้นเองสินะ.. อะ..เอ๊ะ อย่าบอกนะว่าฉันก็..”
“ไม่หรอก..คืนนั้นเธอแอบจูบฉัน ก่อนที่ฉันจะรู้เกี่ยวกับเรื่องพลังของยันต์เสียอีก..”
“นะ..นี่นาย ยะ..ยังไม่หลับหรอคืนนั้น..?”ชบาที่หน้าแดงยิ่งกว่าเดิมกล่าวถามผม ซึ่งผมก็ได้แต่อมยิ้มกรุ้มกริ่ม..
“ขี้โกงชะมัด..”
“ฉันเคยบอกเธอไปแล้วว่าตอนนี้เธอคือครอบครัวเพียงคนเดียวที่ฉันเหลืออยู่..”ผมที่จับมือของชบา ก่อนจะค่อยชันตัวลุกขึ้นยืน
“ต่อจากนี้เราจะต้องพบเจอกับอันตรายและอุปสรรค์อีกมาก..ชีวิตที่เหลืออยู่ของฉันขอฝากมันเอาไว้กับเธอ..”ผมที่พูดกับชบา เมื่ออีกฝ่ายได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งเงียบไปชั่วขณะ ก่อนที่เธอจะค่อยๆฉีกรอยยิ้มออกมา..
“ทางนี้ก็เช่นกัน..”
และหลังจากเหตุการณ์ในวันนี้ ความรู้สึกของผมกับชบาก็เปลี่ยนไป ขอโทษนะครับคุณปู่..ถ้ายังเฝ้ามองผมอยู่ ผมอยากจะบอกคุณปู่ว่าผมได้เมียเป็นกระสือ..ดังคำสุภาษิตที่ว่า..หมอผีได้ผีคืออภิมหาสุดยอดหมอผี..!!